“หลี่หยวนเจิ้ง ศิษย์วังหมื่นอสรพิษ เชี่ยวชาญการใช้งูโจมตี” ที่แท้เป็นศิษย์ของวังหมื่นอสรพิษ มิน่าเล่าจึงมีงูมากมายปานนี้ จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองหลี่หยวนเจิ้งที่กำลังเป่าตี๋[1]ควบคุมฝูงงู

ด้านหลังพลันมีงูพิษพุ่งขึ้นมาห้าตัว จินเฟยเหยาโบกมือ ฟองเล็กๆ สีฟ้าลอยออกมาจากในมือเข้าหางูภูติที่พุ่งเข้ามาราวกับหมอกควัน

“เพี๊ยะ” ฟองปราณสีฟ้าลอยปกคลุมร่างงูพิษ มีเสียงดังมา ไฟสีฟ้าในฟองอากาศลุกไหม้ เผาร่างงูขาดออกจากกันในพริบตา เศษซากที่เหลือร่วงลงพื้นบิดตัวไม่หยุด

ฟองอากาศลอยวนรอบหนึ่ง แล้วหลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นฟองอากาศขนาดใหญ่ ปกคลุมจินเฟยเหยาไว้ภายในราวกับม่านแสง มีงูพิษพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าก็ได้แต่กลายเป็นเศษซากภายใต้อานุภาพของฟองแสงนรก

นี่คือการพัฒนาของเกล็ดหิมะนรกหลังจากนางบรรลุขั้นฝึกปราณช่วงปลาย จากดวงแสงเล็กๆ กลายเป็นฟองอากาศสีฟ้า ส่วนหัตถ์ไฟนรกก็มิใช่เปลวไฟอีก เป็นเพียงชั้นแสงสีฟ้าฉาบอยู่บนหมัด ดูแล้วยิ่งไม่เป็นจุดเด่นมากขึ้น

งูพิษเหล่านี้ส่วนมากเป็นงูภูติขั้นหนึ่ง มีส่วนน้อยเป็นขั้นสอง จินเฟยเหยาคาดเดาว่าน่าจะมีงูภูติขั้นสาม เกรงว่าคงจะซ่อนไว้เป็นไพ่ตาย อย่างไรเสียก็มอบให้เป็นหน้าที่พั่งจื่อแล้ว ดังนั้นนางไม่คิดจะสอดมือ ที่สำคัญคือคิดจะดูว่าพั่งจื่อร้ายกาจเพียงใด

พั่งจื่อนั่งอยู่บนเวทีอย่างสงบนิ่ง แลบลิ้นอย่างรวดเร็วไปตวัดงูภูติตัวหนึ่ง แล้วดูดกลืนลงท้อง ถ้ามีงูภูติจากตรงอื่นพุ่งเข้ามา ขาหน้าของพั่งจื่อก็จะตบมันลอยไป เหมือนงูภูติเหล่านี้ถูกปากของพั่งจื่อมาก มันจึงกินอย่างรวดเร็ว ความเร็วของลิ้นในการจับงูภูติยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เห็นเงาสายแล้วสายเล่า

หลี่หยวนเจิ้งมองกบผานอวิ๋นตัวนี้อย่างตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าจะไม่เกรงกลัวศัตรูตามธรรมชาติของมัน เห็นงูภูติเป็นเส้นบะหมี่กลืนลงไปทั้งเป็น

เห็นจำนวนงูภูติบนเวทีน้อยลงทุกที หลี่หยวนเจิ้งก็ร้อนใจ นี่เรียกว่าการประลองที่ไหน นี่คือส่งตัวไปเป็นอาหารต่างหาก เขาเป่าตี๋ทันที ให้ฝูงงูอยู่ห่างจากกบผานอวิ๋นประหลาดตัวนั้น แล้วไปโจมตีจินเฟยเหยาที่นั่งมองอยู่ทางด้านข้างแทน

งูภูติได้รับคำสั่ง ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นจินเฟยเหยา พวกมันเลื้อยบนเวทีอย่างรวดเร็ว กรูกันมาพุ่งเข้าใส่จินเฟยเหยาอย่างต่อเนื่อง เลี้อยมาถึงด้านหน้าพุ่งขึ้นไปอย่างขยันขันแข็ง ทั้งหมดถูกกดลงบนฟองแสงนรก

เสียงดังชี่ๆ งูที่ถูกกดลงเบื้องล่างไม่มีแม้แต่โอกาสดิ้นรน ก็ถูกฟองแสงนรกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา งูที่อยู่ด้านบนก็แตกซ่าน หลบไปอยู่ไกลๆ ไม่สนใจว่าตี๋จะเป่าอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าใกล้จินเฟยเหยาอีกแม้แต่ครึ่งก้าว

ส่วนพั่งจื่อตวัดงูภูติราวกับพายุเหมือนกวาดล้างครั้งใหญ่ หลี่หยวนเจิ้งกัดฟันนำงูภูติที่เตรียมไว้ใช้ตอนการแข่งขันรอบตัดสินออกมา

พอเปิดกระเป๋าสัตว์ภูติออก งูยักษ์ดุร้ายยาวห้าจั้งตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที ตลอดร่างสีดำสนิท ด้านบนเต็มไปด้วยลวดลายเหรียญทองแดงอันงดงามราวกับทองคำ ลำตัวตรงที่หยาบใหญ่ที่สุดมีขนาดกว้างกว่าถังน้ำนิดหน่อย บนหน้าผากมีเขาเดี่ยวๆ งอกหนึ่งเขา ตรงปลายหางมีหนามอันแหลมคมยาวประมาณฝ่ามืองอกอยู่เต็มไปหมดเป็นบริเวณครึ่งจั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นงูภูติเงินทองขั้นสามที่มีชีวิตอยู่มาเกินห้าร้อยปีขึ้นไป อีกทั้งยังอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นสาม ต่อให้บรรลุขั้นสี่ไม่ได้ เพราะมีชีวิตอยู่มานาน ความแข็งแกร่งจึงแตกต่างจากสัตว์ปิศาจขั้นสามโดยสิ้นเชิง

พอมันปรากฏตัว งูภูติเล็กๆ เหล่านั้นก็ถอยกลับไปหมด รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพวกมันเกรงกลัวงูภูติเงินทองตัวนี้อย่างยิ่ง

งูภูติตัวเล็กหลายพันตัว เกือบครึ่งถูกพั่งจื่อกลืนลงท้อง ทำให้หลี่หยวนเจิ้งเสียหายอย่างหนัก ส่วนงูภูติเงินทองที่ถูกบีบให้เรียกออกมาตัวนี้เป็นสัตว์ภูติที่อาจารย์ของเขาเลี้ยงดูมาตลอด ไม่นานมานี้เพิ่งมอบให้เขา เพราะว่าเขาไมได้เลี้ยงงูภูติเงินทองตัวนี้ตั้งแต่เล็กจนโต และงูตัวนี้ยังไม่ได้รับเจ้านาย ปกติตัวเขาจึงไม่กล้าสั่งการงูภูติตัวนี้

พองูภูติเงินทองตัวนี้ปรากฏขึ้น ก็ยึดครองเวทีส่วนใหญ่ไป จินเฟยเหยาขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน นางเดาว่าคนผู้นี้ต้องมีสัตว์ภูติขั้นสามแน่นอน ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะตัวใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เป็นสัตว์ปิศาจประเภทงูขั้นสี่ ก็มีขนาดไม่ใหญ่โตเช่นนี้

ดวงตาของพั่งจื่อที่ไม่ขยับมาตลอดในที่สุดก็กลอก มันเป็นแค่ครึ่งสัตว์ปิศาจกบที่เพิ่งกลายเป็นสัตว์ภูติขั้นหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายเป็นสัตว์ภูติขั้นสามที่ตัวใหญ่โตเช่นนี้ มันคิดจะไม่ขยับก็ลำบาก งูภูติเงินทองมองเห็นพั่งจื่อ ขนาดของกบผานอวิ๋นตัวนี้ใหญ่มาก ราวกับเป็นอาหารที่มีขนาดสำหรับมันโดยเฉพาะ

กบผานอวิ๋นธรรมดาตัวเล็กเกินไป ปกติมันกินคำละหลายสิบตัว ยังไม่ได้ลิ้มรสก็กลืนลงไปแล้ว เห็นเบื้องหน้ามีกบผานอวิ๋นที่มีขนาดพอเหมาะพอดี งูภูติเงินทองไม่ต้องให้หลี่หยวนเจิ้งสั่งการ ก็อ้าปากขนาดยักษ์พุ่งเข้าใส่พั่งจื่อ

“ตูม”

หลังจากเสียงดังสนั่นผ่านพ้นไป ตรงที่พั่งจื่อยืนอยู่ก่อนหน้านี้ถูกงูภูติเงินทองกระแทกจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ มันผงกหัวขึ้นในปากมีเศษหินติดมา พบว่าพั่งจื่อกระโดดไปอยู่ที่เวทีอีกส่วนแล้ว ดังนั้นจึงพุ่งเข้าใส่อีก

อย่าเห็นว่าตัวของงูภูติเงินทองมีขนาดใหญ่ ทว่าความเคลื่อนไหวกลับรวดเร็วอย่างยิ่ง ไล่ตามพั่งจื่ออย่างบ้าคลั่งบนเวที กระแทกบนเวทีจนเป็นหลุมใหญ่น้อย หลี่หยวนเจิ้งเดิมทีคิดจะให้งูภูติเงินทองโจมตีจินเฟยเหยาก่อน ถ้าเจ้านายตายแล้ว อย่างไรสัตว์ภูติก็เป็นเนื้อที่ปล่อยให้พวกเขาเข่นฆ่าได้ตามใจ ตอนนี้กลับไล่ตามแต่กบผานอวิ๋นเรียกว่าอะไร

ทว่าเห็นท่าทางตื่นเต้นยินดีของงูภูติเงินทอง เขาก็ไม่กล้าไปยั่วโทสะมัน ถ้ามันโกรธขึ้นมา แล้วกลืนตนเองลงไปจะทำอย่างไร อีกทั้งมันยังทำให้บรรยากาศบนเวทีอึมครึมไปหมด ก้อนหินปลิวว่อน ฝุ่นละอองปกคลุมไปทั่ว ไม่รู้ว่าต้องต่อสู้อย่างไรดี พั่งจื่อถูกงูภูติเงินทองไล่ตามจนหงุดหงิด ในขณะที่หลบหนี พลันพลิกตัวกลับมาใช้ขาหน้าฟาดหัวของงูภูติเงินทอง หัวงูอันใหญ่โตถูกมันตบเอียง ร่างเกือบจะล้มลง งูภูติเงินทองตะลึงงันอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิดจะทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเมื่อครู่ตนเองเจออะไรเข้า

รอจนรู้ว่าตนเองถูกอาหารฟาดตบ มันก็เดือดดาล ดุร้ายยิ่งขึ้น เงยหน้าร้องคำรามขึ้นฟ้าเสียงดัง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต กลิ่นคาวเข้มข้นแผ่กระจายออกมา

“แย่แล้ว!” หลี่หยวนเจิ้งเห็นงูภูติเงินทองแผ่รังสีสังหาร เกรงว่านอกจากอาจารย์มาเอง ตนเองไม่มีทางควบคุมมันได้เลย เขาร้อนใจจนกระทืบเท้า รีบนำตี๋สีทองออกมา ลังเลแล้วลังเลอีก จึงเป่าตี๋ใส่งูภูติเงินทอง

เขาไม่เป่าตี๋นั้นยังดี พอเขาเป่าตี๋ดวงตาสีแดงโลหิตของงูภูติเงินทองก็จ้องมองมา สะบัดหางฟาดหลี่หยวนเจิ้งลอยไปกลางอากาศ หลังจากกลิ้งหลายตลบก็กระแทกลงบนเวที อีกนิดเดียวเกือบจะกลิ้งตกเวที

หลี่หยวนเจิ้งคว้าขอบเวทีอย่างสุดกำลัง กระอักโลหิตแล้วปีนขึ้นมา ตะโกนเสียงดังใส่งูภูติเงินทอง “ท่านปู่งู ท่านอย่าอาละวาดสิ สงบสติอารมณ์หน่อย”

งูภูติเงินทองไหนเลยจะยอมฟัง ต่อสู้กับพั่งจื่อด้วยดวงตาแดงก่ำ ส่วนพั่งจื่อพอโจมตีสำเร็จ เดิมทีมีความกล้ามากอยู่แล้ว ยิ่งกล้ามากขึ้น ฉวยโอกาสที่ตนเองร่างเตี้ยเล็ก หลบหลีกอย่างว่องไวอยู่บนเวที ทั้งยังใช้ขาและลิ้นต่อยตีงูภูติเงินทองได้สำเร็จหลายครั้ง

งูภูติเงินทองจับพั่งจื่อไม่ได้เสียที ก็อับอายจนกลายเป็นโทสะ อ้าปากกว้าง เริ่มรวบรวมดวงแสงสีขาวไว้ในปาก

เสียงตูมดังสนั่น แสงสีขาวที่หยาบใหญ่เท่าถังน้ำพุ่งออกมาจากปากของมัน กวาดไปตลอดทางที่ติดตามร่องรอยพั่งจื่อ สถานที่ซึ่งแสงสีขาวผ่านไป พื้นศิลาปริแตกเสียหาย พั่งจื่อเผ่นถึงด้านล่างเวที หนีเข้าไปในฝูงชน ส่วนงูภูติเงินทองพ่นแสงสีขาว ไล่ตามพั่งจื่อเข้าไปในฝูงชนเช่นเดียวกัน ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านตกใจทยอยหลบหนีอย่างสับสนลนลาน ณ ที่นั้นสับสนอลหม่าน

ผู้ตัดสินบินอยู่กลางอากาศ ศีรษะพองโตดุจโต่ว เหตุใดลานประลองที่ตนเองดูแลมักจะเกิดเรื่องขึ้นเสมอ และทุกครั้งล้วนเพราะผู้บำเพ็ญเซียนที่ชื่อจินเฟยเหยาขึ้นเวที หรือว่าเจ้าหมอนี่เป็นดาวหายนะ? ถ้าเขารู้ว่าตอนจินเฟยเหยาลงสมัครใช้ชื่อปลอม เกรงว่าต้องมีโทสะจนควันออกหู

หลี่หยวนเจิ้งมองงูภูติเงินทองพุ่งเข้าไปในฝูงชนอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี มันทำร้ายผู้บำเพ็ญเซียนบาดเจ็บไปจำนวนมาก ทำให้ทุกคนเกิดความเคียดแค้น เพื่อปกป้องตนเอง และเพื่อระบายโทสะ ทุกคนเริ่มใช้อาวุธเวทและเวทมนตร์โยนเข้าใส่งูภูติเงินทองช่วยเหลือพั่งจื่อ

“จะทำอย่างไรดี อาจารย์ต้องตีข้าตายแน่ๆ” หลี่หยวนเจิ้งมองงูภูติเงินทองถูกผู้บำเพ็ญเซียนล้อมโจมตี ร้อนใจแทบตาย ทว่ากลับไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ เขากลัวว่าผู้บำเพ็ญเซียนจะพลั้งมือทุบตีตนเองตายไปด้วย

เขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง รู้แต่แรกตนเองคงไม่เข้าร่วมการประลองนี้ อาจารย์ให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้ ตอนสร้างฐานอาจารย์ย่อมต้องเตรียมยาสร้างฐานไว้ให้เขา ตอนนี้ดียิ่งนัก ทำสัตว์ภูติสุดที่รักที่อาจารย์มอบให้ตาย กลับไปอย่าว่าแต่ยาสร้างฐานเลย เกรงว่านับจากนี้ต้องถูกโยนไว้ในมุม ให้กวาดลานเรือนไปชั่วชีวิต

“สหายเซียน สัตว์ภูติของเจ้าดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้” ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยามายืนอยู่ข้างกายหลี่หยวนเจิ้งตั้งแต่เมื่อใด กอดอกเอ่ยถามอย่างสนิทสนม

หลี่หยวนเจิ้งพยักหน้า เอ่ยอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ใช่ เจ้านี่ไม่เชื่อฟังอย่างยิ่ง ข้าก็ทำอะไรมันไม่ได้”

“อา!” หลี่หยวนเจิ้งได้สติคืนมา ตะโกนเสียงดังลั่นคิดจะหนี

จินเฟยเหยาใช้หมัดเดียวทำลายม่านแสงของเขา หมัดโดนท้องของเขาอย่างหนักหน่วง หลี่หยวนเจิ้งรู้สึกเหมือนท้องถูกคนบิดและถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างรุนแรง เจ็บปวดจนต้องอ้าปาก พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

“สหายเซียนหลี่ ข้าว่าเจ้าโชคร้ายเพียงพอแล้ว อีกสักครู่ยังต้องรับมือกับบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ได้รับบาดเจ็บเพราะสัตว์ภูติของเจ้าอีก สิ่งของที่สัตว์ภูติตัวนั้นทำลายก็ต้องให้เจ้าชดใช้ เจ้าเป็นหนี้มากมายปานนี้ ถ้าข้าอัดเจ้าตาย ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นต้องกินข้าแน่ ข้าว่าเจ้ารีบลงจากเวทีไปแก้ไขเรื่องเหล่านี้เถอะ” จินเฟยเหยาหิ้วหลี่หยวนเจิ้งขึ้น แล้วอัดเขาอีกหลายหมัดอย่างแรง ต่อยเขาจนสลบไป จึงใช้มือโยนเขาลงจากเวที แล้วเข้าไปในสองร้อยอันดับแรกของเวทีประลองย่อยหมายเลขสี่อย่างสบายๆ

ส่วนหลี่หยวนเจิ้งเพิ่งถูกโยนลงจากเวทีก็ถูกผู้ตัดสินเรียกคนมาพาตัวไป งูภูติเงินทองของเขาทำเรื่องดีๆ เอาไว้มากมาย ต้องให้เขาที่เป็นเจ้านายมารับผิดชอบ

งูภูติเงินทองหาร่องรอยของพั่งจื่อในฝูงชนไม่พบนานแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านที่ได้รับผลกระทบจากมันต่างทุบตีหัวของมันอย่างบ้าคลั่ง

พั่งจื่อไม่รู้ว่าไปที่ใด ตัวงูภูติเงินทองถูกทุบตีจนตาแดงก่ำ ใช้แสงสีขาวยิงใส่สะเปะสะปะโดยไม่สนใจว่าเป็นใคร ไม่รู้ผู้ใดเห็นว่าการประลองสิ้นสุดลงและหลี่หยวนเจิ้งถูกผู้ตัดสินพาตัวไปแล้วจึงตะโกนเสียงดังบอกทุกคนว่า “ทุกคนลุย ฆ่าสัตว์ภูติขั้นสามตัวนี้เสียแบ่งวัตถุดิบกัน ผู้ใดหาตานสัตว์ปิศาจพบก็เป็นของคนนั้น”

พอปลุกปั่นยุยง ทุกคนยิ่งทุบตีอย่างสุดกำลัง คิดจะฉวยโอกาสแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่ง[2] ต่อให้งูภูติเงินทองร้ายกาจ ก็สู้การระดมทุบตีอย่างโหดร้ายของผู้บำเพ็ญเซียนมากมายขนาดนี้ไม่ไหว ในที่สุดหลังจากฉีกเวทีออกเป็นหกส่วน จึงล้มลงตายบนพื้นอย่างหนักหน่วงเพราะได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป

ทุกคนเห็นงูภูติเงินทองตายแล้ว ก็กรูกันเข้ามา เริ่มแบ่งสินสงคราม โดยเฉพาะหัวของงูภูติเงินทอง ผู้บำเพ็ญเซียนหลายสิบคนเฮโลกันเข้ามา คิดจะแย่งชิงตานสัตว์ปิศาจของมันไปก่อนหนึ่งก้าว

สถานการณ์วุ่นวายไม่น้อยไปกว่าเมื่อครู่เลยสักนิด ถึงกับมีแนวโน้มจะลงมือกับผู้บำเพ็ญเซียนด้วยกันเองเพื่อแย่งชิงวัตถุดิบดีๆ ในตัวงูภูติเงินทอง