“หือ?” ชายร่างกำยำมองจินเฟยเหยาเก็บหมัดกลับคืนอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร ค้อนยักษ์ในมือส่งเสียงดัง พลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ค้อนและด้ามจับทั้งหมดกลายเป็นเศษเล็กๆ ร่วงลงสู่พื้น ชายร่างกำยำจ้องมองเศษซากสองชิ้นที่มือสองข้างกุมไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยาอีกครั้งอย่างฉงน มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ข้าบอกแล้วว่าจะให้เจ้าตาย” จินเฟยเหยาพุ่งเข้าใส่ สองหมัดจุดไฟสีฟ้าชกใบหน้าของชายร่างกำยำ เห็นเพียงเงาร่างหมัดจำนวนนับไม่ถ้วนต่อยเข้าใส่ใบหน้าเขาอย่างแรงดุจห่าฝน

ภายในไม่กี่อึดใจ จินเฟยเหยาก็ต่อยใส่ใบหน้าเขานับร้อยหมัด จากนั้นยกขาขึ้นเตะเขาลอยออกไปอย่างแรง ชายร่างกำยำลอยออกไป ร่างฝังลงในเวทีศิลา ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด

“แบบนี้เจ้าพอใจแล้วสินะ ตอนนี้เจ้าดูกำยำกว่าข้ามากนัก” จินเฟยเหยาเดินไปเบื้องหน้าเขา มองชายร่างกำยำที่นอนอยู่บนพื้นมีศีรษะบวมโตดุจโต่ว[1]แล้วเอ่ยว่า

“พั่งจื่อ หยิบหินมาก้อนหนึ่ง ขอใหญ่ๆ”

“อ๊บ” พั่งจื่อตอบรับ เหลียวซ้ายแลขวา คิดจะหาหินก้อนใหญ่ๆ แล้วมันก็หาหินก้อนที่น่าพอใจพบ

มันตวัดลิ้นยาว รัดเวทีศิลาอีกส่วนที่แตกออกไป ใช้ลิ้นฉุดดึง เศษศิลาขนาดเกือบหนึ่งหมู่ก็ลอยออกมา จินเฟยเหยาใช้มือรับเศษเวทีไว้โดยไม่หันหน้าไป

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน นางใช้มือเดียวยกเศษเวทีขึ้นเหนือศีรษะ เอ่ยกับชายร่างกำยำที่ยังมีลมหายใจอยู่ว่า “เจ้าบอกว่าข้าใช้ก้อนหินทุบสตรีที่เจ้าชอบใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็ลองลิ้มรสดูบ้าง”

“ช้าก่อน ข้ายอม…” ชายร่างกำยำดิ้นรนอยากจะลุกขึ้น คิดจะตะโกนเสียงดังว่ายอมแพ้

“ตายเสียเถอะ” จินเฟยเหยาไม่ให้โอกาสเขายอมแพ้ ด่าทอพลางทุบเศษเวทีลงไป จากนั้นกระโดดเหินร่างขึ้นบนเศษซากเวที กระทืบหลายครั้งอย่างแรง ได้ยินเพียงเสียงดังกร๊อบ เศษเวทีสองชิ้นก็ถูกกดทับเข้าด้วยกันอย่างแนบสนิทเหมือนโร่วเจียหมัว[2]ขนาดยักษ์

จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว ตบพั่งจื่ออย่างอารมณ์ดี “ในที่สุดก็ได้ระบายโทสะ ตอนนี้สบายใจขึ้นมาก ไป พวกเราไปหาที่กินของว่างมื้อดึกกัน”

ผู้ตัดสินส่ายศีรษะขีดฆ่าหมายเลขของชายร่างกำยำทิ้ง มองเศษซากเต็มพื้น เขาโยนยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งออกไป ให้คนมาจัดการเวทีประลองใหม่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางประลองต่อไปได้

จินเฟยเหยาชนะอีกหนึ่งรอบ ทั้งสองครั้งล้วนไม่เคยใช้พละกำลังที่แท้จริง ถึงจะเป็นขั้นฝึกปราณช่วงปลายเช่นเดียวกัน ทว่าวิธีการบำเพ็ญเพียรแตกต่างกัน พละกำลังย่อมแตกต่างกันบ้าง ตลอดมาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมักจะเน้นด้านการสร้างใบหน้าและร่างกายอันงดงาม เคล็ดวิชาที่ฝึกบำเพ็ญมักจะมีแนวโน้มไปทางสวยงามหรือสง่างาม ทำให้ประโยชน์ใช้สอยลดลง

ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษ ส่วนมากก็เพียงให้ความสำคัญกับสิ่งของนอกร่างกาย เช่น ของวิเศษ เวทมนตร์ และสัตว์ภูติที่ร้ายกาจ พลังการบำเพ็ญเพียรของตนเอง ถูกจำกัดอยู่ที่พลังวิญญาณและการรับรู้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณอาจจะต่อสู้ประชิดตัวได้มากหน่อย พอหลังขั้นสร้างฐาน การโจมตีประชิดตัวจะลดลง

พลังการบำเพ็ญเพียรยิ่งสูง เวทมนตร์และของวิเศษที่สามารถใช้ได้ก็ยิ่งร้ายกาจ ย้ายภูผาพลิกทะเลก็เพียงแค่พริบตาเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เสียเวลาไปศึกษาการต่อสู้ประชิดตัวอีก นี่เป็นสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเซียนเข้าโจมตีประชิดตัวแบบจินเฟยเหยาและซานเชียนจื่อมีน้อย

ดังนั้นหลังจากผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านเห็นซานเชียนจื่อและจินเฟยเหยาประลองก็แค่ตกตะลึงไปทันที จากนั้นก็หัวเราะเยาะการโจมตีแบบพวกเขา ในความเห็นของพวกเขาเส้นทางที่จินเฟยเหยาเดินมิใช่หนทางที่ถูกต้อง ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่ง ก็ยังป้องกันของวิเศษหรือเวทมนตร์ไม่ได้ ได้เปรียบเฉพาะแค่ในตอนนี้ สุดท้ายก็มิใช่หนทางที่ถูกต้องอยู่ดี

ทว่านางและซานเชียนจื่อถูกบันทึกลงในใจของทุกคน โดยรวมแล้วในยามนี้ทั้งสองคนต่างเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมืออย่างยิ่ง

จินเฟยเหยานำพั่งจื่อเดินไปที่กระโจมของหอฝูหลิง ศิลาวิญญาณที่นางเดิมพันข้างซานเชียนจื่อยังไม่ได้ขึ้นเงิน เพิ่งเข้าไปในกระโจมใหญ่ของหอฝูหลิง นางก็ถูกสภาพด้านในขู่ขวัญ

กระโจมที่ด้านนอกดูแล้วมีขนาดปกติ หลังจากเข้าไปจึงพบว่า กระโจมนี้ก็ซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้ ด้านนอกกินบริเวณสองหมู่ ด้านในกลับมีถึงห้าสิบหมู่เต็มๆ ภายในกระโจม ด้านในมีคันฉ่องจันทราวารีขนาดใหญ่สิบกว่าชิ้น ด้านในกำลังพิมพ์สถานการณ์การประลองของเวทีสิบกว่าแห่งภายในลานประลองหมายเลขสี่ออกมา

รอบกระโจมยังตั้งโต๊ะไม้จำนวนมากชั่วคราว ด้านบนใช้ฉากบังลมอันงดงามกั้นเป็นห้องเล็กๆ ด้านในมองเห็นโต๊ะและเก้าอี้อันแสนสบายตั้งอยู่รางๆ ทว่ากลางกระโจมไม่ได้ตั้งเครื่องเรือนอื่นๆ แค่ปูพรมลายดอกไม้หนาๆ ไว้ ให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนนั่งหรือยืนมองการประลองในคันฉ่องจันทราวารีด้านบน บ่อยครั้งเมื่อการประลองรู้ผล ก็จะเห็นผู้บำเพ็ญเซียนบางคนตื่นเต้นยินดี บางคนหน้าม่อยคอตก ตอนลงเดิมพันมากเกินไปยังด่าทอด้วยโทสะหลายประโยค

จินเฟยเหยามองอยู่ครู่หนึ่งอย่างสงสัย จึงพบว่าดูการประลองที่นี่ดีกว่าดูในลานประลองจริงๆ ข้างนอกมากนักตอนประลองด้านนอกรู้แค่หมายเลขที่ตะโกนบอก เหมือนจินเฟยเหยาที่ไม่รู้ว่าเจ้าโร่วเจียหมัวคนนั้นชื่ออะไร ไม่รู้เลยสักนิดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระหรือเป็นศิษย์มีสำนัก

อยู่ที่นี่ไม่เหมือนกัน ทุกครั้งที่มีคนขึ้นเวที คันฉ่องจันทราวารีก็จะบอกตัวอย่างสภาพรายละเอียดของคนผู้นี้ออกมา ให้คนที่ลงเดิมพันเปรียบเทียบเอง

หอฝูหลิงไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่เพียงมีชื่อแซ่และพลังการบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญเซียน บางคนขนาดสำนักอะไร ปีนี้อายุเท่าไร เวทมนตร์ที่ใช้บ่อยคืออะไรก็ยังมีบันทึกไว้

คิดไม่ถึงว่าขนาดอีกฝ่ายเป็นเวทมนตร์อะไร ใช้อาวุธอะไรก็มีประกาศ จะเทพเกินไปแล้ว จินเฟยเหยามองคันฉ่องจันทราวารีเหล่านั้นอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตอนถึงรอบของตนเอง มีเคล็ดวิชาแนะนำหรือไม่ ใช่จะประกาศเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญของตนเองให้สาธารณชนรับรู้หรือไม่ ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าการประลองครั้งนี้อีก คือไม่รู้ว่าในข้อมูลที่คันฉ่องจันทราวารีประกาศออกมา คือลักษณะของตนเองในอดีตหรือในตอนนี้

เห็นในหอฝูหลิงมีข้อมูลการประลองขาย จินเฟยเหยาจึงรีบล้วงศิลาวิญญาณห้าสิบก้อนออกมาซื้อหนึ่งชุด นี่คือม้วนภาพเวทมนตร์ชั่วคราว หลังจากเปิดม้วนภาพดู บนกระดาษภาพด้านในมีหมายเลขแน่นขนัดปรากฏขึ้น

โชคดีที่แบ่งลานประลอง นางค้นหาหมายเลขของตนเองพบอย่างยากเย็น จึงรีบกดเข้าไปดู ภาพเสมือนจริงด้านในคือลักษณะของตนเองในตอนนี้ ด้านข้างเขียนอักษร ‘ชาย’  ศิษย์สำนักเฉวียนเซียน เคล็ดวิชาไม่ทราบแน่ชัด ตรงอาวุธเวทที่อยู่ด้านล่างเคล็ดวิชาก็เขียนไว้ว่าไม่ทราบแน่ชัด สิ่งที่เขียนไว้ตรงสัตว์ภูติคือกบผานอวิ๋น จินเฟยเหยาโล่งอก ที่แท้เพิ่งบันทึกตอนสมัคร เช่นนั้นก็คงไม่ดึงดูดความสนใจของหอชิงซวี เห็นตรงเคล็ดวิชาเขียนไว้ว่าไม่ทราบแน่ชัด นางยังยิ้ม ในโลกนี้น่าจะมีไม่กี่คนที่รู้ว่าตนเองฝึกเคล็ดวิชาอะไร ขณะที่คิดเช่นนี้ อักษรคำว่าเคล็ดวิชาไม่ทราบแน่ชัดพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา สุดท้ายกลายเป็นอักษร ‘เคล็ดวิชาเรี่ยวแรงสัตว์ป่า’

เรี่ยวแรงสัตว์ป่า จินเฟยเหยามองแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สัตว์ภูติประเภทนี้บวกกับเคล็ดวิชา ผู้บำเพ็ญเซียนที่เห็นข้อมูลของนาง คงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ถึงแม้ข้อมูลส่วนมากจะไม่ทราบแน่ชัด แต่กลับพบว่าด้านล่างเขียนอักษรไว้สองบรรทัดเปิดโปงความแข็งแกร่งของนาง

รอบที่หนึ่ง ชนะชุนเนียง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลาย

รอบที่สอง ชนะหร่วนลี่หนาน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลาย

“หร่วนลี่หนาน หร่วนลี่หนาน…หร่วนลี่หนาน[3]” มิน่าเล่าเขาจึงต้องฝึกให้ทั่วร่างมีกล้ามเนื้อ ที่แท้เป็นเพราะชื่อทำร้ายนี่เอง

คิดไม่ถึงว่าม้วนภาพนี้จะเปลี่ยนข้อมูลให้ทันสมัยได้เอง สิ่งของเหล่านี้ต้องให้ผู้บำเพ็ญเซียนควบคุมของวิเศษหลักจึงสามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในม้วนภาพชั่วคราวเหล่านี้ได้ เพื่อให้ทุกคนสะดวกในการลงเดิมพัน คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีแบบนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ควบคุมของวิเศษหลัก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขั้นหลอมรวมหรือขั้นกำเนิดใหม่

จินเฟยเหยาใช้ยันต์แลกศิลาวิญญาณชั้นล่างสี่สิบก้อนที่หน้าโต๊ะ จึงเดินออกจากหอฝูหลิง นางไม่คิดจะเสียเวลาไปกับเรื่องนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ลงเดิมพันด้านในส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานขึ้นไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณไปลงชื่อสมัครกันหมดแล้ว มีเพียงพวกเขาที่อยู่ว่างจนเบื่อหน่าย จึงว่างเล่นแบบนี้อยู่ที่นี่

จินเฟยเหยาหาสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งนั่งลง เปิดม้วนภาพออกดู นางเปิดเวทีหมายเลขหนึ่งก่อน คิดจะดูว่าหลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิงสู้เป็นอย่างไรบ้าง พลิกเปิดอยู่นาน จึงเห็นชื่อของคนทั้งสอง ทั้งสองคนยังไม่ถูกคัดออก เพียงแต่หลิ่วฉี่ปอเพิ่งสู้ไปรอบเดียว ส่วนติงเทียนเฉิงผ่านไปสองรอบแล้ว ขอเพียงผ่านอีกรอบ ก็จะสามารถแย่งชิงยาสร้างฐานได้

พลิกไปหน้าท้ายๆ เห็นชื่อของคนคุ้นเคยจำนวนมาก ทว่าพลิกไปถึงท้ายสุด กลับไม่เห็นชื่อของหวาซี

“เอ๋? หรือว่าเจ้าหมอนี่จะแพ้เร็วขนาดนี้เลย? ไม่น่าจะเป็นไปได้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ใช่แค่นี้” จินเฟยเหยาสงสัยอยู่บ้าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงยาสร้างฐานของนาง ย่อมต้องใส่ใจเป็นธรรมดา คิดอยากจะส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงไปถามเขา ทว่ายันต์สื่อสารที่หวาซีให้นางไว้ครั้งก่อนถูกเผาไปนานแล้ว ได้แต่ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงไปยังที่อยู่ของเขา ทว่าก็ยังหาตัวพบยาก

ช่างเถอะ รอจนเสร็จสิ้นการประลองแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียต่อให้เขาไม่ผ่านการประลอง ก็ไปปล้นฆ่ามาให้ข้าเม็ดหนึ่งได้ จินเฟยเหยาเก็บม้วนภาพ ไม่สนใจเรื่องของหวาซีอีก นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นเริ่มพ่นลมหายใจ เตรียมขึ้นเวทีได้ทุกเมื่อ

รอจนส่งเวทีใหม่มา การประลองก็เริ่มต่อ ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำถูกคัดทิ้ง การประลองช่วงท้ายๆ ยิ่งมายิ่งยอดเยี่ยม การต่อสู้ยิ่งมายิ่งโหดร้าย ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมตะโกนว่ายอมแพ้ เพื่อรักษาชีวิตได้แต่ฉวยโอกาสกระโดดลงจากเวที โชคดีที่การประลองครั้งนี้แค่คัดเลือกผู้มีความสามารถสร้างฐาน ไม่ใช่คิดจะฆ่าผู้เยาว์รุ่นหลังให้เกลี้ยง ดังนั้นการบาดเจ็บล้มตายยังควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่สามารถรับได้

แบบจินเฟยเหยาและซานเชียนจื่อที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสตะโกนว่ายอมแพ้ก็ถูกสังหารอย่างรวดเร็วมีไม่มากนัก การประลองต่อไป จินเฟยเหยาพบกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ไม่รู้ว่าคนผู้นี้ผ่านการประลองสองครั้งแรกมาได้อย่างไร ถึงรอบเขาขึ้นเวที พอเห็นว่าคู่ต่อสู้คือจินเฟยเหยา เขาก็ขลาดกลัวร้องขอความเมตตาไม่หยุด

จินเฟยเหยารู้สึกประหลาดใจ ถ้ากลัวขนาดนี้ ก็กระโดดลงเวทีไปเองก็พอมิใช่หรือ จะขอให้ละเว้นชีวิตทำไม

เห็นจินเฟยเหยาไม่สนใจเขา เขาก็หยิบกระเป๋าสัตว์ภูติออกมาตบหนึ่งครั้ง อสรพิษนับพันตัวร่วงลงเต็มพื้นเวที มีหลากหลายชนิดและสีสันสดใส ทุกตัวแลบลิ้นห้อมล้อมจินเฟยเหยาเอาไว้

พอเห็นงูเต็มเวที จินเฟยเหยารู้สึกว่าคนผู้นี้ต้องเคยศึกษามาแน่นอน ว่าตนเองใช้เรี่ยวแรงสัตว์ป่า ร่างของงูอ่อนนุ่ม ทั้งยังมีปริมาณมาก ตนเองต้องรับมือไม่ได้แน่

“พั่งจื่อ ฝากด้วย” จินเฟยเหยาโบกมือให้พั่งจื่อ ตนเองถอยไปอยู่ด้านหลัง

“งูกินกบ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะให้กบผานอวิ๋นมาต่อกรกับงูจำนวนมากมาย งูพวกนี้ของข้ากินกบผานอวิ๋นมาจนโต ต่อให้สัตว์ภูติเจ้ามีขนาดใหญ่กว่านี้ก็เป็นแค่กบผานอวิ๋น” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เห็นจินเฟยเหยาทิ้งเขาไว้กับกบตัวหนึ่ง เดิมทีเขาคิดจะแสร้งทำเป็นอ่อนแอ กลับรู้สึกถูกเหยียดหยามอย่างมาก

จินเฟยเหยาคร้านจะสนใจเขา นั่งขัดสมาธิบนพื้น หยิบม้วนภาพออกมาคิดจะดูว่าเจ้าหมอนี่เป็นใคร