ตอนที่ 60 งานเลี้ยงหรูหราในป่าต้นพลับ

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

คุณหนูเหยาไม่ได้เชิญแขกเหรื่อเข้าไปในเรือนของตนเอง เหตุเพราะเรือนหลังนี้มีขนาดเล็กมาก ไม่อาจรองรับเหล่าคุณหนูและสาวใช้นับสี่สิบห้าสิบคนเข้าไปนั่งจิบชาได้ อีกทั้งจากเรือนที่นางอยู่ ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงจะเดินมาถึงที่นี่ เหยาเยี่ยนอวี่เกรงว่าถนนหนทางเช่นนั้นจะทำให้รองเท้าปักลายบุปผาของเหล่าคุณหนูต้องแปดเปื้อน

เมื่อรถม้าเทียบจอด ผัวจื่อก็ได้นำพรมสีเขียวแกมเทาออกมาหนึ่งม้วน จากนั้นเดินขึ้นหน้าแล้วคลี่ออก นางปูพรมผืนนั้นตรงหน้ารถม้าทุกคัน คุณหนูทั้งสิบหกคนเดินลงจากรถม้า เท้าที่พวกนางเหยียบย่ำลงบนพรมผืนสะอาด ไม่เปื้อนดินโคลนแม้แต่น้อย

ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใด เพียงแค่สีหน้าอันแสนเย่อหยิ่งของอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ก็จางหายลงไปมากแล้ว

จากนั้นก็ตามด้วยอวิ๋นเคอจวิ้นจู่และน้องสาวของนาง-อวิ๋นซี ซึ่งเป็นหลานสาวของเยี่ยนอ๋อง โดยสตรีทั้งสองนั้นเป็นบุตรีอนุภรรยา พวกนางเงยหน้าขึ้นมองป่าพลับตรงหน้าที่แดงงดงามอร่าม  อดไม่ได้ที่พูดขึ้น “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าทิวทัศน์นอกเมืองจะงดงามถึงเพียงนี้”

อวิ๋นยั่งเดินขึ้นหน้า คลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “ปกติ จานชามเครื่องเคลือบดินเผาก็มักจะวาดหรือแกะสลักลายลูกพลับ ซึ่งจะมีความหมายว่า ‘ขอให้สมดั่งใจปรารถนาในทุกสิ่ง’ มาวันนี้ต้นพลับในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ช่างสอดคล้องกับประโยคนี้ยิ่งนัก”

อวิ๋นเคอคลี่ยิ้ม นางหันไปมองดูน้องสาวบุตรีอนุภรรยาวัยสิบเอ็ดปี แล้วพูดขึ้น “เจ้ากล่าวไม่ผิดเลย”

ซูอวี้เหิงเป็นผู้นำเดินไปถึงตรงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่แล้ว นางดึงมือเหยาเยี่ยนอวี่มาให้พบกับหันหมิงชั่นอีกครั้ง

หันหมิงชั่นกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ พร้อมกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน “ได้ยินว่าเจ้าล้มป่วย เวลานี้ดีขึ้นหรือยัง เหิงเอ๋อร์ช่างดื้อรั้นยิ่งนักที่ให้เจ้าเป็นผู้จัดการดูแลเรื่องนี้ทั้งหมด ทำให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยและลำบากเสียแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดีว่าฮูหยินติ้งโหวกับอาสะใภ้ของหันหมิงชั่นนั้นเป็นพี่น้องทางสายเลือดเดียวกัน ตระกูลหันและจวนติ้งโหวก็ถือว่าเป็นเครือญาติที่เกี่ยวดองกัน อีกทั้งความสัมพันธ์ที่เป็นป้าหลานกันขององค์หญิงต้าจั่งและองค์หญิงใหญ่ก็ถือว่าดี ดังนั้นทั้งสองตระกูลจึงสนิทสนมกันอย่างมาก การที่หันหมิงชั่นผู้เป็นพี่สาวกล่าวด้วยความเกรงใจแทนซูอวี้เหิงนั้น จึงเป็นเรื่องที่สมควร ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด ของที่ใช้ในการจัดการ องค์หญิงต้าจั่งก็ทรงส่งมาให้ ข้าเพียงแค่คอยดูความเรียบร้อยในการทำงานของสาวใช้และผัวจื่อก็เท่านั้น”

หันหมิงชั่นประทับใจในตัวของเหยาเยี่ยนอวี่ รู้สึกว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นสตรีที่ใจกว้างและหนักแน่นมั่นคง ทั้งยังเป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบพูดสิ่งใดให้มากความ เป็นสตรีที่พูดน้อย มาวันนี้เมื่อเห็นนางทำงานอย่างละเอียดและรอบคอบ หันหมิงชั่นรู้สึกประทับใจในตัวเหยาเยี่ยนอวี่มากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

จากนั้นซูอวี้เหิงก็แนะนำคุณหนูจากตระกูลต่างๆ ให้เหยาเยี่ยนอวี่รู้จัก เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวทักทายทุกคนแล้วเชื้อเชิญให้พวกนางเข้ามานั่งด้านใน

เหนือศีรษะของพวกนางเต็มไปด้วยผลพลับสีแดงก่ำ ใต้ฝ่าเท้าคือพรมแดงสด ทางทิศตะวันตกคือฉากกั้นสิบสองพับขนาดใหญ่ที่แกะสลักวิหคนับร้อยตัวซึ่งทำจากไม้จันทน์ ส่วนฉากกั้นสิบสองพับที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือทำจากไม้ประดู่และวาดลายเทือกเขาหิมะ บนตั่งไม้เตี้ยปูด้วยเบาะขนแกะและหมอนพิงเป็นผ้าสีครามปักลายพฤกษา ด้านบนยังมีโต๊ะเตี้ยไม้จันทร์ตัวยาวตั้งอยู่ บนโต๊ะทุกตัวจะมีผลไม้สี่สี ผลไม้แห้งสี่สี ของหวานสี่สีและผลไม้แช่อิ่มสี่สีวางเรียงราย

เหล่าสตรีต่างพาสหายสนิทไปนั่งบนตั่งไม้ แล้วถึงจะสั่งให้สาวใช้ยกน้ำชามาได้

สตรีที่นั่งบนตั่งไม้หลักได้แก่อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่และอวิ๋นเคอจวิ้นจู่ แล้วยังมีหันหมิงชั่นกับซูอวี้เหิงนั่งเป็นเพื่อน

นับตั้งแต่หันหมิงชั่นลงจากรถม้า นางก็ได้สังเกตการทำงานของเหยาเยี่ยนอวี่ ตลอดจนถึงตอนที่ยกน้ำชาขึ้นมา ภายในใจของนางรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก

ในความเป็นจริง รายละเอียดการจัดงานเลี้ยงต้อนรับต่างๆ สำหรับคุณหนูตระกูลชนชั้นสูงนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าสิ่งที่ยากก็คือที่แห่งนี้อยู่ในป่าเขา ไม่ใช่ศาลาในจวน เมื่อครั้นอยู่ที่จวน ข้าวของมากมายล้วนเพียบพร้อม ทำให้ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมอะไรมากมาย ทว่าพออยู่กลางป่าเขา แม้นจะเป็นเพียงกระโถนบ้วนน้ำลายหรือถ้วยน้ำชาก็ตาม ล้วนต้องใส่ใจทุกรายละเอียด จึงจะนึกถึงของใช้เหล่านี้ได้ แต่เหยาเยี่ยนอวี่กลับทำทุกอย่างได้ดีจนไม่เกิดข้อผิดพลาด เช่นนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่านางมีความสามารถในการจัดเตรียมงานต่างๆ

ด้านข้างตั่งไม้เตี้ยตัวหลัก เหยาเยี่ยนอวี่นั่งร่วมโต๊ะกับอวิ๋นซี อวิ๋นยั่งและอวิ๋นเหมยผู้เป็นบุตรีอนุภรรยาของจวนอ๋อง พวกนางสนทนากันอย่างสุภาพเรียบร้อย

“เยี่ยนอวี่ ข้าได้ลิ้มลองชาที่เจ้าจัดเตรียมแล้ว คล้ายจะไม่เหมือนน้ำชาที่พวกเราดื่มสักเท่าใด ชาที่มีรสเปรี้ยวอมหวานนี้คือชาอะไรหรือ” หันหมิงชั่นหันไปเอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่

“นี่คือชาผลไม้ที่นำผลส้มโอ สับปะรดและชาแดงมาต้มด้วยกัน” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางพูดอธิบาย “ว่ากันว่าประโยชน์บางอย่างของผลไม้ หากนำไปต้มก็จะส่งผลดีต่ออวัยวะภายในทั้งห้า ทั้งทางเหนือยังมีสภาพอากาศเหน็บหนาว จึงควรที่จะดื่มชาให้มาก”

อวิ๋นเคอคลี่ยิ้มทันที “ฟังจากที่เจ้าพูด ก็ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก ประเดี๋ยวบอกสูตรชาผลไม้นี้กับข้าที ข้าจะได้นำกลับไปบอกสาวใช้แล้วสั่งพวกนางต้มมาให้ข้าดื่ม”

“ได้สิ” เหยาเยี่ยนอวี่ขานรับในทันที “ความเป็นจริง สูตรชาผลไม้นี้ง่ายมาก ข้าเพียงแค่พูด ทุกคนก็ล้วนทำเป็นในทันที”

อวิ๋นเหยาปรายตามองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในแววตาของนางยังคงแสดงความดูถูก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะยกน้ำชาขึ้นจิบ

แน่นอนว่าหันหมิงชั่นต้องไม่พลาดที่จะเห็นสีหน้าของอวิ๋นเหยา ด้วยเหตุนี้นางจึงหัวเราะแล้วเอ่ยถาม “จวิ้นจู่คิดว่าเป็นอย่างไร”

อวิ๋นเหยาเหลือบมองหันหมิงชั่นด้วยสายตาเรียบเฉย เหตุเพราะเห็นแก่เกียรติขององค์หญิงใหญ่นางจึงไม่อาจถือสาหันหมิงชั่น นางทำได้เพียงพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ก็ดี”

หันหมิงชั่นยิ้มแล้วพูดขึ้นทันที “ได้รับการชื่นชมเพียงคำเดียวจากจวิ้นจู่ ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่เยี่ยนอวี่เหนื่อยเพื่องานนี้”

แม้แต่อวิ๋นเหยายังพูดเช่นนี้ ผู้อื่นจึงยิ่งไม่อาจพูดสิ่งใดอีก ด้วยเหตุนี้เหล่าคุณหนูก็ได้พากันเอ่ยชมถึงรสชาติของน้ำชา ทางด้านเหยาเยี่ยนอวี่ก็มองทุกการกระทำของพวกนางอย่างชัดเจน ภายในใจของนางก็ครุ่นคิด ไม่แปลกเลยที่เขามักจะว่ากันว่า ที่ใดมีผู้คนมากมาย ที่นั่นก็ย่อมมีการแย่งชิง วางอำนาจ การกระทำที่เจ้าเล่ห์และเสแสร้ง ดูท่าแล้วคำพูดนี้ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

ซูอวี้เหิงคือตัวเอกของงานเลี้ยงในครั้งนี้ ซูอวี้เหิงช่ำชองด้านการเล่นกู่เจิง ความสามารถของนางถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของยอดสตรีในเมืองอวิ๋น เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากให้บทสนทนาของพวกนางพูดถึงแต่เรื่องของตน อีกทั้งนี่ก็ใกล้ถึงเวลากินมื้อเที่ยงแล้ว หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ ก็คือช่วงเวลาในการประลองกู่เจิง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่เห็นว่าทุกคนดื่มชาจนหมด จึงเอ่ยถามความคิดเห็นซูอวี้เหิง “เราเริ่มงานเลี้ยงก่อนดีหรือไม่”

ซูอวี้เหิงเอ่ยถามหันหมิงชั่น “พี่หญิง พวกเราเริ่มงานเลี้ยงกันก่อนเถิด หลังจากที่กินดื่มจนอิ่มหนำสำราญแล้ว จะได้ประลองกู่เจิงได้อย่างดี ท่านว่าจริงไหม”

หันหมิงชั่นคลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เดินทางมาที่นี่แต่เช้าตรู่ ข้าเองก็รู้สึกหิวแล้ว”

อวิ๋นเคอเองก็ยิ้มพลางพยักหน้าแล้วมองไปที่อวิ๋นเหยา และเอ่ยถามขึ้น “เหยาเอ๋อร์ว่าอย่างไร ข้าเองก็เริ่มหิวแล้ว เริ่มงานเลี้ยงกันก่อนเถิด”

หลังจากสั่งการเสร็จ พวกสาวใช้ก็เริ่มจัดงาน โดยพวกนางยกผลไม้และของหวานออกไปก่อน จากนั้นก็ยกหม้อไฟที่ใช้ถ่านเผา ภายในหม้อไฟมีน้ำแกงสีขาวน้ำนมพร้อมโชยกลิ่นหอมยั่วยวนยิ่งนัก

หลังจากที่ยกหม้อไฟมาวางลงไป ก็เริ่มยกเครื่องปรุงรส น้ำจิ้มต่างๆ มา พวกสาวใช้ทยอยยกกล่องอาหาร แล้วยืนอยู่ตรงด้านข้างตั่งไม้ จากนั้นเปิดกล่องอาหาร ด้านในเป็นเนื้อแกะหั่นเป็นแผ่นบางที่วางซ้อนกันอย่างงดงาม

“ดิบ?” อวิ๋นเคอมองดูแผ่นเนื้อสีแดงสดที่วางอยู่บนก้อนน้ำแข็ง แล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตกใจ

“เป็นเช่นนั้น” เหยาเยี่ยนอวี่ยกจานเนื้อแกะออกมาไว้ในมือหนึ่งจาน จากนั้นใส่เนื้อแกะแผ่นบางลงไปในน้ำแกงภายในหม้อไฟ พร้อมเอ่ยขึ้น “นี่คือการทำให้สุกแล้วกินทันที เนื้อที่เพิ่งต้มเสร็จจะนุ่มละมุน รสชาติก็อร่อยอย่างมาก”

หลายวันมานี้บุตรีภรรยาเอกเกาเสวี่ยเจียวแห่งจวนจิ้งโหวเป็นร้อนใน จึงกล่าวด้วยเสียงเศร้า “หลายวันมานี้ข้าเป็นร้อนใน เกรงว่าคงไม่มีลาภปากได้กินแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไร ในน้ำแกงนี้ ข้าใส่ดอกสายน้ำผึ้งและเมล็ดบัวขาวลงไปด้วย ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้่มีสรรพคุณช่วยคลายร้อน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราไม่เพียงแต่มีเนื้อวัวและเนื้อแกะ แต่ยังมีเต้าหู้และผักสดหลากหลายอย่าง คุณหนูเกากินเนื้อแกะเสียหน่อย ประเดี๋ยวค่อยกินเต้าหู้และผัก เช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะร้อนในแล้ว”

ขณะที่พูด เกาเสวี่ยซูที่คีบเนื้อแกะลวกสุกขึ้นและจุ่มลงในน้ำจิ้ม นางลิ้มลองรสชาติ จากนั้นคลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อื้ม! ช่างเลิศรสเหลือเกิน!”

เมื่อมีคนกล่าวชม จึงได้มีคนอยากลิ้มลอง กลิ่นหอมฉุยของน้ำแกงที่เดือดพล่านทำให้ดูน่าอร่อย เดิมทีก็ทำให้ไม่อาจทนรอได้แล้ว หากยังไม่เริ่มกินเวลานี้ แล้วยังจะรออะไรอยู่อีก