ตอนที่ 61 ปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามา

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

การกินหม้อไฟมีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือสามารถตอบสนองรสชาติของคนมากมายได้ เครื่องปรุงรสทุกอย่างถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ต้องการรสเค็มหรือรสจืดก็แล้วแต่ผู้ปรุง วัตถุดิบทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว จะใส่อะไรก็ขึ้นอยู่กับคนปรุงจะชื่นชอบ อีกอย่างเหยาเยี่ยนอวี่ยังเตรียมพริกน้ำมันที่คั่วกับงาและถั่วลิสงไว้โดยเฉพาะ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบในรสชาติจัดจ้าน

เฉกเช่นอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ที่เป็นสตรีที่ไม่โปรดปรานในรสชาติจัดจ้าน ทีแรกสีหน้าของนางยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชา ทว่าพอได้ลิ้มลองพริกน้ำมันที่เหยาเยี่ยนอวี่ได้จัดเตรียมเป็นพิเศษ ดวงตาของนางจึงเป็นประกาย “พริกคั่วนี้ทอดได้ดียิ่งนัก ยังมีอีกหรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางพูดตอบ “ยังมีอีกมากเพคะ หากจวิ้นจู่โปรดปราน ตอนเสด็จกลับเมืองหลวง ก็นำกลับไปเสวยหนึ่งกระปุกเถิด”

“ตกลง” สีหน้าของอวิ๋นเหยาแดงระเรื่อเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะกินพริกคั่วรสจัดจ้านมากเกินไป

มื้อนี้ไม่ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่เลิศหรูสักเท่าใด ทว่ากลับทำให้กลายเป็นงานเลี้ยงที่พิเศษจนทำให้เหล่าสตรีที่มาจากจวนต่างๆ ต่างก็กินอย่างพึงพอใจ

หลังจากที่กินจนอิ่ม เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้คนมาเก็บหม้อออกไป จากนั้นก็ตั้งผลไม้และของว่างใหม่ น้ำชากลับเปลี่ยนเป็นน้ำเก๊กฮวย

ส่วนบนตั่งไม้ด้านข้างก็กำลังเตรียมวัตถุดิบของหม้อไฟใหม่ เพื่อจัดเตรียมให้เหล่าสาวใช้ข้างกายคุณหนูที่มาจากจวนต่างๆ ส่วนโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมให้เหล่าผัวจื่อ สาวใช้รุ่นเยาว์ที่คอยหิ้วสัมภาระ อีกทั้งบรรดาคนขับรถม้าและพวกผู้คุ้มกันจะถูกจัดไว้อยู่ในเรือนหลังเล็ก หลี่จงที่เหยาเฟิ่งเกอส่งตัวมากับบ่าวผู้ภักดีที่สุดของเหยาเยี่ยนอวี่นามว่าเฝิงโหย่วฉุน ทั้งสองกล่าวทักทายกันด้วยความเต็มใจ และทางฝั่งจวิ้นจู่และเหล่าคุณหนูก็ได้สั่งให้คนยกกู่เจิงมา จากนั้นก็ขบคิดถึงเพลงที่ตนเองจะบรรเลงในอีกสักครู่

ซูอวี้เหิงอุ้มกู่เจิงหางไหม้สี่สายของตนมา แล้วลองดีดเพื่อฟังความผิดเพี้ยนของเสียงดูเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วบอกชุ่ยเวยบางอย่าง ท้ายสุดก็ยิ้มพลางถามขึ้น “พี่เหยา กู่เจิงของท่านล่ะ?”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ฝีมือการเล่นกู่เจิงของข้าไม่ดีจริงๆ มิกล้าแสดงความอัปลักษณ์ต่อหน้าทุกท่าน”

“นี่หาใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเราทุกคนก็แค่มาเล่นสนุกกันเท่านั้น ใครจะประลองเอาชัยกันจริงจังเล่า” ขณะที่กล่าวขึ้น ซูอวี้เหิงก็สั่งชุ่ยเวย “เจ้าไปเอากู่เจิงของพี่เหยามา”

ชุ่ยเวยกำลังครุ่นคิดด้วยความลำบากใจ ทักษะพื้นฐานการเล่นกู่เจิงของคุณหนูตนเองถือว่าไม่มีเลยด้วยซ้ำ เรื่องกู่เจิง…ถึงแม้ว่าของใช้ส่วนตัวที่ถูกเตรียมไว้เป็นสินสอดจากจวนข้าหลวงใหญ่จะจัดเตรียมมา เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังเก็บของชิ้นนี้ไว้ในเรือนเก็บของในเรือนฉีเสียงที่จวนติ้งโหว คุณหนูใหญ่ไม่ได้สั่งให้คนส่งมา

ซูอวี้เหิงเห็นชุ่ยเวยไม่ตอบสนองใดๆ คิ้วอันงดงามขมวดเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามขึ้น “กู่เจิงยังอยู่ในจวน ไม่ได้เอามาหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางกล่าวขึ้น “ฝีมือของข้าไม่ดีจริงๆ เหิงเอ๋อร์เจ้าก็ปล่อยข้าไปเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะรับบทลงโทษจากเจ้าเอง”

ซูอวี้เหิงเม้มปาก แล้วพูดด้วยความไม่เต็มใจ “มีใครทำเช่นนี้กันเล่า ยังไม่ทันได้เริ่ม ก็จะยอมรับบทลงโทษเสียแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางอธิบายขึ้น “ข้ายอมถูกลงโทษ ก็จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้า ทุกคนได้โปรดเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของข้าหน่อยเถอะ”

หันหมิงชั่นจึงยิ้มแล้วเอ่ยพูด “นี่มิใช่เรื่องที่ร้ายแรงอันใด หลายวันมานี้คุณหนูเหยาก็ลำบากมามากพอแล้ว วันนี้ก็ยังต้องเหน็ดเหนื่อยอีก อีกอย่างนางเองก็บอกว่านางไม่มีฝีมือในการเล่นกู่เจิง ไหนๆ นางก็ยอมรับโทษแล้ว เหิงเอ๋อร์ก็อย่าได้จ้องจะหาเรื่องนางเลย”

“ในเมื่อพี่หญิงกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำตามสิ่งที่พี่เหยาพูด ว่าแต่…จะลงโทษอย่างไรดี?” ซูอวี้เหิงเงยหน้าขึ้นพลางมองลูกพลับแดงก่ำที่อยู่บนต้นไม้ แล้วเปรยในขณะที่ครุ่นคิด “เยี่ยงนั้นก็ลงโทษพี่เหยาโดยการใช้ลูกพลับนี้เป็นหัวข้อแต่งกลอนออกมาหนึ่งบท”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มอันขมขื่นออกมา ในใจกำลังครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด การแต่งกลอนก็ไม่ได้ง่ายไปกว่าการเล่นกู่เจิงเลย!

ทว่ายังโชคดีที่นางนึกถึงเรื่องนี้มาล่วงหน้าหลายวันแล้ว นางรู้ดีว่าตนเองไม่อยากเล่นกู่เจิง ก็จำต้องแสดงความสามารถอะไรบางอย่างออกมาสักหน่อย ดังนั้นจึงเตรียมเพลงไว้ร้องหนึ่งเพลง บทกลอนโบราณหนึ่งบท และอักษรดีๆ ไว้เขียนหนึ่งคำ และคิดไว้ว่าหากถึงเวลา นางไม่อาจปฏิเสธได้ก็สามารถนำอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาใช้ได้ ซึ่งก็ไม่ได้เหนือไปจากการคาดเดาของนางเลย ซูอวี้เหิงถึงได้ต้องการให้แต่งกลอน

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ นางก็ได้เตรียมการไว้ในสมองแต่เนิ่นๆ แล้ว ทว่าหากเป็นการเล่นกู่เจิง ก็คงต้องแสดงสด นางคงไม่อาจทำการบ้านมาก่อน เกิดเป็นคนจำต้องหัดซ่อนความโง่เขลาของตนเองไว้หน่อย แม้กระทั่งคุณหนูเหยาเองก็ไม่ถูกยกเว้น

วันนี้ซูอวี้เหิงเป็นเจ้าภาพ บทเพลงแรกก็จำต้องเป็นนางที่เริ่มก่อน

ฝีมือการเล่นกู่เจิงของคุณหนูสามตระกูลซูเยี่ยมยอดยิ่งนัก อีกอย่างเสียงที่ดีดออกมาคล้ายคลึงกับอุปนิสัยของนางเหลือเกิน เสียงกู่เจิงอันไพเราะจับใจค่อยๆ พลิ้วไหวออกมาจากปลายนิ้วอย่างช้าๆ บทเพลง ‘ดอกเหมยงามวิไล’ นั้นช่างเยือกเย็นและสง่างาม ดังก้องกังวานไปทั่วผืนพนา ประดุจเสียงไผ่ลิ่วลมในพงไพร และดุจดั่งเสียงนทีในฤดูใบไม้ผลิที่ไหลเชี่ยว

เสียงเพลงที่บรรเลงออกมานั้นไหลลื่นรื่นหูตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเสียงเพลงที่ทรงพลังจนโบยบินไปกับสายลม หลังจากบรรเลงจบไปหนึ่งเพลง ทุกคนที่นั่งชมกลับไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาในชั่วขณะ เพราะวิญญาณของทุกคนถูกฉุดกระชากไปพร้อมกับเสียงบรรเลงของนางเสียแล้ว

ผ่านไปสักพัก หันหมิงชั่นอุทานขึ้นเป็นคนแรก “ฝีมือการบรรเลงกู่เจิงของเหิงเอ๋อร์พัฒนาขึ้นมาก! สามารถเห็นได้ว่าช่วงนี้เจ้าไม่ได้แอบเกียจคร้านจริงๆ”

ซูอวี้เหิงคลี่ยิ้มอันเก้อเขินออกมา “พี่หญิงพูดจาขบขันอีกแล้ว หากจะประลองกู่เจิง ก็ไม่มีใครกล้าไปเทียบกับคุณหนูรองหรอก” ขณะที่พูด นางก็ปรายตามองอวิ๋นซีที่เป็นบุตรีอนุภรรยาของเยี่ยนอ๋อง

เยี่ยนอ๋องนามว่าอวิ๋นเสิ้นถิ่ง ปู่ของเขาเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันกับเสด็จปู่ของฮ่องเต้ บิดาของเยี่ยนอ๋องหรือท่านเยี่ยนอ๋องผู้เฒ่าเคยสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ เมื่อครั้นที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ หากเทียบกับท่านอ๋องคนอื่นที่มาจากสายตระกูลอื่นๆ ถึงแม้ฐานันดรศักดิ์ของอวิ๋นเสิ้นถิ่งจะไม่เทียบเท่าน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้อย่างเฉิงอ๋อง ทว่าก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องในหนังสือพระราชโองการด้วยเช่นกัน

ตอนที่บุตรีภรรยาเอกของเยี่ยนอ๋องนามว่าอวิ๋นเคอมีอายุสิบสามปีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ เมื่อครั้นที่ไทเฮาทรงพระชนม์อยู่ ก็ถือว่าทรงใกล้ชิดและโปรดปรานบุตรีอนุภรรยาของเยี่ยนอ๋องทั้งสองนางที่มีนามว่าอวิ๋นซีและอวิ๋นยั่งอยู่เหมือนกัน

อีกทั้งบุตรีของท่านเยี่ยนอ๋องผู้เฒ่านามว่าหลิงซีจวิ้นจู่ก็ได้สมรสกับบุตรชายของอัครเสนาบดีเฟิง และเฟิงจื่ออวิ๋นคือน้องชายทางสายเลือดของฮองเฮา หลิงซีจวิ้นจู่จึงเป็นฮูหยินของน้องชายฮองเฮา หากนึกถึงเช่นนี้ ผู้ที่เป็นสายเลือดของเยี่ยนอ๋องก็ถือว่าสำคัญขึ้นมาทันที

อวิ๋นซีก็ไม่ได้ทำตัวชักช้า จึงปรับเสียงของกู่เจิงทันที นางมีสีหน้าที่ดูนิ่งสงบ จากนั้นก็เริ่มบรรเลงบทเพลง ‘จวงโจวฝันเป็นผีเสื้อ’ ปลายนิ้วมือของนางเหมือนดีดไปเรื่อยเปื่อย ทว่าเสียงกู่เจิงนั้นช่างไพเราะเสนาะหู หนักแน่นและลึกซึ้งกินใจ ลักษณะในการบรรเลงนั้นไม่เหมือนซูอวี้เหิงแม้แต่น้อย เสียงกู่เจิงที่ไร้ซึ่งตัวตน กลับทำให้คนค่อยๆ สัมผัสถึงการที่ตนเองล่องลอยไปอยู่ในความคิดคำนึงเชิงปรัชญาเกี่ยวกับเงื่อนปมของชีวิตและความตาย ซึ่งเราจำแนกออกจากกันไม่ได้

พอบทเพลงนี้จบสิ้นลง เหยาเยี่ยนอวี่แอบอุทานในใจ หญิงสาวเหล่านี้ช่างน่าภูมิใจยิ่งนัก ทุกคนต่างก็มีอายุเพียงสิบกว่าปี ฝีมือก็สามารถบรรลุได้ถึงขั้นนี้แล้ว ทำให้นางที่เป็นหญิงทะลุมิติมาอดไม่นับถือและไม่เลื่อมใสไม่ได้

หันหมิงชั่นจึงเป็นคนเอ่ยชมก่อน “ฟังบทเพลงที่ซีเอ๋อร์บรรเลง พวกข้าคงไม่มีใครกล้าแสดงความอับอายของตนเองออกมาได้อีก”

“พี่หญิงหันก็กล่าวเกินจริง” อวิ๋นซียังอายุน้อย จึงได้เคารพนับถือหันหมิงชั่นที่เป็นญาติผู้พี่มาโดยตลอด

อวิ๋นเคอเป็นพี่สาวต่างมารดาของอวิ๋นซี นางจึงยิ้มพลางพูดด้วยความถ่อมตน “ทุกท่านก็ไม่ได้ถือว่าย่ำแย่หรอก แค่ทุกคนต่างก็แสดงลีลาและลักษณะที่ไม่เหมือนกัน ซีเอ๋อร์ยังเล็ก จะน้อมรับคำเอ่ยชมเช่นนี้ของพี่หญิงหันไว้ได้อย่างไร”

เวลานี้ทุกคนต่างก็แสดงความสามารถในการบรรเลงกู่เจิงของตนเองออกมาจนหมด แล้วบางคนก็ยกชาผลไม้มาแสดงความชื่นชมอวิ๋นซี บางคนก็ถามสหายที่อยู่ข้างๆ ว่าจะบรรเลงบทเพลงอะไรต่ออีกดี และบางคนก็แอบออกจากงานไปอย่างเงียบๆ และถามสาวใช้ในบ้านนาว่าสามารถไปล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ที่ใด

“ข้าก็จะบรรเลงหนึ่งบทเพลง” อวิ๋นเหยาพูดขึ้น และยกมือขึ้นเอาผ้าเปียกเช็ดมือของตนเอง จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้เอากู่เจิงของตนเองมา

สาวใช้ของอวิ๋นเหยาจึงหอบกู่เจิง ‘ต้าเสิ้งหยียิน[1]’ ซึ่งเป็นกู่เจิงที่ล้ำค่าที่สุดของอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ ในพริบตาแรกที่ซูอวี้เหิงเห็นกู่เจิงนี้ นัยน์ตาของนางจึงเปล่งประกายสว่างขึ้น

กู่เจิงนี้มีรูปร่างเป็นลักษณะเสินหนง ซึ่งทำจากไม้ถงเคลือบสีเปลือกเกาลัด ตัวฐานกู่เจิงมีสีพื้นเป็นสีดำ และเก็บรายละเอียดด้วยสีแดงอมน้ำตาล ซึ่งฐานของกู่เจิงจะทำจากเขากวางและเป็นลายหนังท้องงูคละเคล้าด้วยขนโค ซึ่งด้านบนช่องเสียงหน้าของกู่เจิงสลักสี่ตัวอักษร “ต้าเสิ้งหยียิน” และห่างจากด้านหลังของช่องเสียงหน้าไปสองนิ้วมีตราประทับที่เป็นตัวอักษร “เปาหัน” สองคำ ทั้งสองข้างของช่องเสียงได้เขียนตัวอักษรที่ซึ่งเป็นกลอนสี่ที่อุปมาถึงลักษณะกู่เจิงที่ดีด้วยตัวอักษรสีทองสิบหกพยางค์ “เสียงบรรเลงเสนาะหูของกู่เจิงมีลักษณะที่เหมือนดั่งภูเขาลูกโตที่เปี่ยมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ที่แปรเปลี่ยนไปเป็นสีฤดูใบไม้ร่วง และเปรียบดั่งจันทราที่สะท้อนเงาลงไปบนผืนน้ำอันเย็นเฉียบ และเสียงของกู่เจิงดุจดั่งเสียงธรรมชาติที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกรื่นเริง”

หันหมิงชั่นเหลือบตามองไปสองครา แล้วยิ้มบางๆ พลางพูดขึ้น “กู่เจิงของจวิ้นจู่เป็นของหายากยิ่งนัก”

อวิ๋นเหยายิ้มจางๆ “นี่เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระพันปีทรงมอบให้ข้าตอนพิธีปักปิ่น”

[1] ต้าเสิ้งหยียิน เป็นกู่เจิงที่ดีและล้ำค่าที่สุดในราชวงศ์ถัง