บทที่ 55 การแบ่งแยกขั้นพลัง[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 55 การแบ่งแยกขั้นพลัง[รีไรท์]

ไป๋เหรินฉงไม่อยากจะก้มหัวเป็นลูกน้องใคร เขาเคยสาบานกับตัวเองว่าสักวันเขาจะต้องเป็นบุคคลที่น่าเกรงขาม แต่น่าเกรงขามไม่ได้หมายถึงวีรบุรุษ วีรบุรุษต้องเพียบพร้อมทั้งสองด้านมีจิตใจที่กล้าหาญรักความยุติธรรมและชอบช่วยเหลือผู้อื่นไม่สนใจแม้กระทั่งชีวิตตนเอง

เพื่อช่วยคนอื่นต้องไม่หวาดกลัวต่อความตาย มันไม่เหมือนกับคนที่น่าเกรงขาม ความน่าเกรงขาม คือ ความหวงแหนชีวิต รู้จักวิธีการเอาตัวรอด ซึ่งเหมือนกับเขาตอนนี้ที่ยอมลดศักดิ์ศรีอันสูงส่งและก้มหัวลงเพียงแค่ให้ตัวเองหนีออกมาได้ เขายังรู้สึกเลยว่าการแสดงของตัวเองสมจริงจนไร้ที่ติ

“ลูกพี่คำพูดของคนแบบนี้เชื่อถือไม่ได้ ถ้าตอนนี้มันกลับออกไปโดยได้ สักวันมันต้องพาคนมาเอาคืนพวกเราแน่” ซูฟานพูด

ฉู่ชวิ๋นโบกมือและมองไปยังไป๋เหรินฉงก่อนพูดอย่างเย็นชา “แกยอมสวามิภักดิ์จริง ๆ หรือเปล่า?”

“ฉันยอมสวามิภักดิ์แล้วจริง ๆ นายท่านได้โปรดเชื่อฉันเถอะ” ไป๋เหรินฉงพูดด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง

ฉู่ชวิ๋นใช้สายตาเหน็บแนมแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันเชื่อนาย แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งั้นเอาเลือดนายหยดหนึ่งคงไม่เป็นปัญหาอะไรใช่ไหม?”

ไป๋เหรินฉงเงยหน้าขึ้นและมองฉู่ชวิ๋นอย่างไม่เข้าใจฉู่ชวิ๋นเอื้อมมือออกไปแตะร่างของไป๋เหรินฉงเบา ๆ บนแขน จู่ ๆ เลือดของไป๋เหรินฉงก็ไหลออกมาเป็นสาย ฉู่ชวิ๋นชักมือกลับ เลือดหยดหนึ่งหยดได้ลอยขึ้นมาอย่างช้า ๆ และหยุดลงตรงหน้าของ  ไป๋เหรินฉง

นิ้วทั้งสิบขยับไปมาประสานเป็นอิน นิ้วงอลงเล็กน้อย หยดเลือดสีแดงสดลอยไปมากลายเป็นตราประทับบนใบหน้าของไป๋เหรินฉง

“การทำสัญญาทางวิญญาณเสร็จแล้ว” ฉู่ชวิ๋นพูดเสียงแผ่วเบาจากนั้นฉู่ชวิ๋นก็เอาหยดเลือดมาไว้บนฝ่ามือจู่ ๆ มันก็เปล่งประกายออกมา

สีแดงส่องสว่างเมื่อฉู่ชวิ๋นหงายฝ่ามือขึ้นหยดเลือดก็หายไป ไป๋เหรินฉงสีหน้าเปลี่ยนไป หน้าผากปรากฏเหงื่อซึมออกมา

“ท่านทำอะไรกับฉัน” ไป๋เหรินฉงถามฉู่ชวิ๋นอย่างสงสัย

“สัญญาทางวิญญาณ แค่สั่ง ก็สามารถทำให้แกมอดไหม้ได้แล้ว” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะ

ไป๋เหรินฉงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งสายตาเหยียดหยามออกมา เรื่องแบบนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และเขาไม่เชื่อ นอกจากเฉินฮั่นหลงแล้ว สีหน้าของคนอื่น ๆ ที่ได้รับฟัง ต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็แปลกประหลาดมากเกินไป

ฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ แล้วดีดนิ้ว

“อ๊ากก” ไป๋เหรินฉง ร้องออกมาอย่างทรมาน มือทั้งสองกุมขมับหัวไว้แน่น ก่อนจะกลิ้งลงไปกับพื้น สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว คนอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ต่างก็ตกใจกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ช่วย…ไว้ชีวิตด้วย ผมผิดไปแล้ว ท่านได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วย…..” ไป๋เหรินฉงตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวด กัดฟันดัง “กึก…กึก”

“คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เรียกนายท่านว่าท่านเฉย ๆ งั้นเหรอ พี่ชายของแกไป๋เหรินเจี๋ย ยังเรียกนายท่านอย่างเคารพเลย” เฉินฮั่นหลงยิ้มแล้วพูดออกมา

ไป๋เหรินฉงเจ็บปวดไปทั้งร่างกายเสื้อผ้าเปียกไปด้วยเหงื่อ ขณะพูดเสียงสั่น ๆ “นายท่าน…ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วย ได้โปรดไว้ชีวิต”

ฉู่ชวิ๋นสายตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น

ก่อนดีดนิ้วอีกครั้ง ความเจ็บปวดอันทุกข์ทรมานของ ไป๋เหรินฉงเมื่อครู่หายไป เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างกายยังคงสั่นไม่หยุด สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ยากจะฟื้นตัวกลับมาได้

หลายคนต่างสั่นผวาไปด้วยรู้สึกเช่นเดียวกัน ภาพของไป๋เหรินฉงที่เหมือนตายทั้งเป็นเมื่อครู่ ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจากใจจริง

“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน” เมื่อรู้สึกว่าร่างกายกลับมาฟื้นตัวไป๋เหรินฉงจึงรีบคลานเข้าไปอยู่ข้างเท้าของฉู่ชวิ๋น

“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ฉู่ชวิ๋นถาม

ไป๋เหรินฉงสั่นมากยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดอันทรมานนี้ มันเหมือนกับเปลวไฟกำลังเผาไหม้อวัยวะภายในของเขาอยู่ ความเจ็บปวดแบบนี้ เขายอมตายดีกว่า และในชีวิตนี้เขาไม่คิดอยากลิ้มลองมันเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว

“นายลุกขึ้นได้แล้ว!”

“ขอบคุณนายท่าน!” ไป๋เหรินฉงถอยออกแล้วรีบลุกขึ้นมา

“พี่ชายของนายไม่เหมาะสมเป็นผู้นำตระกูลไป๋ เข้าใจไหมว่าฉันหมายความว่าอย่างไร?” ฉู่ชวิ๋นพูดความแฝง

“เข้าใจครับ นายท่านไว้ใจได้ ผมสัญญาว่าจะลงมืออย่างสุดความสามารถ…..” เขายังพูดไม่ทันจบก็โดนฉู่ชวิ๋นโบกมือขัดจังหวะซะก่อน

“พวกนายสามารถร่วมมือกันได้ เพื่อให้ได้ซึ่งตำแหน่งผู้นำตระกูลไป๋มา ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกนายสองคนแล้วว่าใครจะเหนือกว่ากัน” ไป๋เหรินฉงแสดงสีหน้าดีขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าแผนการยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลจะต้องล้มเลิกไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังมีความหวัง เขาจึงรีบพูดด้วยเสียงนอบน้อม “นายท่านวางใจได้เลย ผมจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง”

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย โบกมือบอกให้ไปได้ ไป๋เหรินฉงโค้งคำนับทำความเคารพแล้วคลานถอยออกไปสิบกว่าเมตรก่อนจะยืนขึ้น

….…

“ลูกพี่ คุณเป็นเทพรึเปล่า? แบบนี้เก่งเกินแล้ว เมื่อกี้ฉันยังกังวลแทนพี่อยู่ว่าจะควบคุมคนคนนี้ไม่ได้ซะแล้ว”

“ยังเทียบไม่ได้กับเทพ นี่เป็นเพียงแค่ลูกเล่นง่าย ๆ” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นเบา ๆ

“แค่ลูกเล่นง่าย ๆ? งั้นถ้าลูกเล่นยาก ๆ คงทำให้ตกใจจนช็อกตายได้เลยสินะ? สัญญานั้นเป็นของจริงเหรอ? แค่คิดก็สามารถทำให้คนเจ็บปวดแทบตายได้แล้วงั้นเหรอ”

“งั้นนายลองดูไหม?” ฉู่ชวิ๋นถามหยอกเล่น

“ฮ๋า?” ซูฟานตกใจผวาจนกระโดดถอยหลัง โบกมืออย่างลุกลี้ลุกลนแล้วรีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไรดีกว่า ฉันเชื่อแล้ว ก็พอเมื่อกี้เห็นคนคนนั้นเจ็บจนแทบตายแล้ว ฉันในตอนนี้ยังใจผวาเนื้อเต้นอยู่เลย”

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะจากนั้นหันตัวกลับไปทางชายชราที่บาดเจ็บอยู่ ชายชรามองเห็นฉู่ชวิ๋นเดินเข้าก็ตกใจ แต่ก็กลับมาผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว และหัวเราะออกมาอย่างเจ็บปวด

“ถ้ายังไงก็ลงมืออย่าให้ฉันต้องเจ็บปวดเลยนะ”

“อาจารย์!” ผู้คุมเหลยตกใจจนขาอ่อนแรง แต่คราวนี้ไม่ได้สะดุ้งอะไร แล้ววิ่งเข้าไปบังอยู่ด้านหน้าของชายชรา แล้วขอร้องอ้อนวอน

“ขอร้องอย่าทำร้ายอาจารย์ของฉันเลย ฉันเองที่ทำให้คุณขุ่นเคือง อยากจะฆ่าก็มาฆ่าฉันเลย”

“เจ้าเหลย แกทำอะไรอยู่รู้ตัวไหม? นี่ชีวิตของฉัน แกรีบถอยออกไป” ชายชรารีบตะโกนขึ้น

ผู้คุมเหลยตัดสินใจแล้วส่ายหัวไปมาก่อนพูดขึ้น “อาจารย์ ถ้าไม่ได้ท่านช่วยผมคงจะตายไปในวันที่หนาวจัดบนพื้นเต็มที่ไปด้วยหิมะในวันนั้นแล้ว ท่านช่วยชีวิตผมเอาไว้ และท่านยังสอนวิชาการพนันให้ผมอีก ท่านทำให้ผมมีชีวิตอยู่อย่างสูงส่งมาหลายปีมันเพียงพอแล้ว”

ผู้คุมเหลยพูดจบก็คุกเข่าให้ฉู่ชวิ๋น “ได้โปรดอย่าทำร้ายอาจารย์ของฉันเลย เป็นฉันที่มีตาหาได้มีแววไม่ ทำให้คุณขุ่นเคืองเข้า อยากจะฆ่าฉันนั้นไม่มีปัญหาแต่ขอเพียงอย่างเดียว ปล่อยอาจารย์ฉันไปเถอะ ท่านแก่มากแล้ว”

ฉู่ชวิ๋นหยักคิ้วขึ้นและโบกมือเป็นคลื่นพลังแล้วปล่อยใส่ผู้คุมเหลย หลังจากนั้นก็ไปนั่งยอง ๆ ด้านข้างชายชราแล้วใช้มือตบลงบนอกชายชรา

ชายชราหลับตาลงด้วยความโศกเศร้า ในขณะที่เขารอความตายนั้น พลังปราณที่นุ่มนวลก็ไหลผ่านเข้าไปในร่างกายของชายชราและเริ่มซ่อมแซมอวัยวะภายในรวมทั้งจุดสำคัญของเขา นั่นทำให้ชายชราดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและทันได้เห็นฉู่ชวิ๋นเก็บมือกลับเข้าไปพอดี หลังได้รับลมปราณจากฉู่ชวิ๋น บาดแผลของชายชราก็อาการดีขึ้นมาก จนตกใจและไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ทำไม

“อาจารย์!” เมื่อเห็นชายชราอาการดีขึ้น ผู้คุมเหลยทั้งประหลาดใจและดีใจ ชายชราชูมือขึ้นแสดงให้เห็นว่า ตนเองไม่เป็นไรและเงยหน้ามองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาที่สงสัย

“ความแข็งแกร่งของคุณก็ไม่เลวนัก” ฉู่ชวิ๋นพูดจากใจจริง ชายชราคนนี้สามารถรับมือกับเขาได้จนถึงตอนนี้ได้ก็ไม่เลวเลย

ชายชราตกใจและพูดอย่างขื่นขม “ไม่หรอก ฉันมันน่าละอายใจยิ่งนัก!”

ฉู่ชวิ๋นมีเรื่องที่สงสัยและอยากจะถาม เขาจึงถามขึ้น “พลังของคุณถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่ขาดวิชาดี ๆ แบบนั้นจะช่วยให้คุณแข็งแกร่งขึ้นมากเลยว่าแต่เมื่อกี้ทำไมถึงใช้แค่พลังชีพจร ทำไมไม่ใช้ลมปราณออกมา?”

ถ้าหากว่าชายชราต่อสู้อย่างฉลาดแล้วใช้พลังภายนอกและลมปราณผสมผสานกันก็คงไม่พ่ายแพ้รวดเร็วขนาดนี้ ชายชรามองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาแปลกๆ หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “เมื่อกี้ที่ใช้ไปคือวิชากำปั้นพิฆาต”

ชายชรารู้สึกหดหู่ในใจ เขายังไม่ได้ใช้กระบวนท่าอื่นเลย แต่ก็แพ้ไปซะก่อน ฉู่ชวิ๋นตกใจกระบวนท่าเมื่อกี้ของชายชรานับเป็นทักษะยุทธ์ด้วยเหรอ? เขาคิดว่าเป็นท่าเด็กเล่นซะอีก เพราะมันดูธรรมดามาก “บอกฉันหน่อยพลังของพวกคุณแบ่งระดับกันยังไง?”

ฉู่ชวิ๋นถามออกมาตรง ๆ เขาไม่เข้าใจระดับพลังขอโลกมนุษย์เลยแถมไม่มีเวลาไปทำความเข้าใจกับมันด้วย ตอนนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่ามันยังไงกันแน่

“หรือว่าคุณเป็นนักพรต?”

ชายชราสังเกตถึงคำพูดของฉู่ชวิ๋นที่จู่ ๆ ก็ถามถึงระดับพลังออกมาทำให้ชายชราถามออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าบอกว่าเป็น นักพรต ชายชราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฝีมือของฉู่ชวิ๋นถึงได้ร้ายกาจและใช้วิชาแปลกประหลาดได้

“นักพรต?” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างแปลกใจ “บอกรายละเอียดหน่อยได้ไหม?”

ชายชราดูแปลกไป หรือว่าที่จริงแล้วฉู่ชวิ๋นไม่ใช่นักพรต?

“การฝึกยุทธ์นั้นเรื่องง่ายมาก แต่มันยากที่จะใช้ลมปราณออกมา นอกจากความขยันแล้วการฝึกยุทธ์ต้องฝึกฝนอย่างหนักแถมยังต้องมีพรสวรรค์กับรากฐานที่มั่นคง เรื่องนี้ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นแล้วคนที่ใช้ลมปราณออกมาภายนอกร่างกายได้มีไม่มากหรอกนะ”

ชายชราคร่ำครวญและพูดต่อ

“คนแบบพวกเราถูกเรียกว่า ผู้ฝึกยุทธ์ ฉันเป็น นักสู้พลังชีพจร ที่เธอถามว่าทำไมฉันไม่ใช้ลมปราณออกมาคำตอบก็คือมีเพียงขั้นปรมาจารย์ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะใช้ลมปราณได้ และพวกเขาจะถูกเรียกว่าจอมยุทธ์! นอกจากนี้ยังมีหนึ่งประเภทคือ นักพรต มีข่าวลือว่าพวกเขาเคร่งครัดศาสนาในตลอดชีวิตและใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อค้นหาเต๋าของตัวเอง พวกเขามีความสามารถในการรักษาผู้คนนอกจากนี้ยังสามารถสังหารผู้คนได้ง่ายราวสะบัดมือ พวกเขาแข็งแกร่งไร้เทียบทาน เคยมีคนเห็นว่า มีนักพรตคนหนึ่งใช้มือเคลื่อนย้ายภูเขา แถมยังมีน้ำอมฤตที่ทำให้คนฟื้นจากความตายได้ นักพรตเลยเป็นราวกับเทพเจ้า แต่พวกเขาไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะสามารถพบเจอได้ง่าย ๆ หรอกนะ”

ฉู่ชวิ๋นตกใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าบนโลกมีเพียงแค่การฝึกยุทธ์เท่านั้น ไม่คิดว่ายังมีนักพรตอีก เขาไม่รู้ว่านักพรตฝีมือเก่งกาจขนาดไหน? และมีการสู้แบบใดบ้าง แต่มันก็น่าสนใจดี

ดูเหมือนพลังของโลกจะเรียกว่าการฝึกยุทธ์ เป็นการฝึกฝน ตามมาตรฐานเชื่อฟังต่อโชคชะตาและการปฏิบัติตามกฎ อธิบายง่าย ๆ ก็คือเป็นการฝึกวิชาที่มีวิธีชัดเจนและมีแบบแผนตายตัว ส่วนของเขาคือการฝึกตนเป็นเซียน มันคือการปล่อยตัวไปตามโชคชะตาและต่อสู้เพื่อให้ได้พลังมาครอบครอง ซึ่งอย่างหลังน่าจะดีกว่า

เปรียบเทียบได้กับปลาที่อยู่ในแม่น้ำลอยตามกระแสน้ำยังไงก็ทำได้แค่ว่ายตามทางของตัวเอง แต่เขาคือปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำ อาจเป็นปลาเหมือนกันแต่ว่าเป็นปลาที่สามารถกระโดดได้ด้วย มันมีความแตกต่างระหว่างทั้งสองสายนี้อยู่

จิตใจของฉู่ชวิ๋นที่สงบนิ่งเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา เพราะแม้จะฝึกคนละสายแต่เป้าหมายก็คือความแข็งแกร่งเหมือนกัน ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าคนที่แข็งแกร่งไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว

“คุณยังไม่ได้พูดถึงการแบ่งขั้นพลังของการฝึกยุทธ์เลย?” ฉู่ชวิ๋นถาม

“หา! ลูกพี่ ฉันละสงสัยจริง ๆ ว่าพี่ข้ามมิติมารึเปล่า?” ชายชรายังไม่ทันได้พูด ซูฟานก็พูดแทรกซะก่อน

ฉู่ชวิ๋นตกใจจนต้องหันไปมองซูฟานแล้วถามขึ้น “หมายความว่ายังไง?”

“ก็ลูกพี่เก่ง ซะขนาดนี้แต่ทำไมไม่รู้เรื่องการแบ่งขั้นพลังของการฝึกยุทธ์? เรื่องนี้ขนาดฉันยังรู้เลย” ซูฟานแปลกใจและมองฉู่ชวิ๋น “การฝึกยุทธ์แบ่งออกเป็น ขั้นนักสู้พลังชีพจร ขั้นปรมาจารย์ และขั้นจักรพรรดิ”

“จบแล้ว?” ฉู่ชวิ๋นมึนงง

“จบแล้ว” ซูฟานพูดอย่างจริงใจ “นี่เป็นสิ่งที่คุณปู่บอกฉันมาอย่างนี้”

“ผู้ชายคนนี้พูดก็ถูก แต่ไม่ทั้งหมด” ในขณะที่ฉู่ชวิ๋นเกิดความสงสัยอยู่นั้นชายชราก็พูดขึ้น

“ยังไง?” มีคนปฏิเสธในคำพูดของเขาทำให้ ซูฟานซักถามอย่างไม่พอใจ

“ที่จริงแล้ว เหนือกว่าขั้นจักรพรรดิไปคือ ดินแดนสวรรค์ ซึ่งแบ่งออกเป็น เซียน เซียนปฐพี และเซียนสวรรค์” ตอนที่ชายชราพูดถึงเรื่องเซียนนั้น เสียงเบาราวกับว่ากลัวเหล่าเซียนพวกนั้นจะได้ยิน

ฉู่ชวิ๋นแปลกใจ ชายชราพูดถึงเซียน! เซียนแบบเดียวกับเขาอย่างงั้นเหรอ? ฉู่ชวิ๋นได้แต่คาดเดา

“งั้นฉันถามหน่อย ฉันในตอนนี้เป็นขั้นไหน?” ฉู่ชวิ๋นถามขึ้น ซูฟานและชายชราส่ายหัวพร้อมกัน

“ฝีมือแบบเธอแข็งแกร่งชนิดไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ยากจะคาดเดาได้สายตาของคนอย่างฉันดูไม่ออกเลยจริงๆ” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงที่หดหู่

“แล้วตอนนี้คุณอยู่ขั้นไหน?” ฉู่ชวิ๋นถามกลับ

“ยากที่จะพูด เมื่อ 10 ปีก่อน ฉันเป็นขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 9 ห่างขั้นปรมาจารย์เพียงแค่ก้าวเดียว ดูเหมือนจะง่ายแต่ความจริงนั้นยากที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไป มีคนบางคนตลอดชีวิตก็ยังติดอยู่ขั้นนักสู้พลังชีพจร ถ้าอยากขึ้นเป็นขั้นปรมาจารย์ นอกจากจะต้องมีความอดทนต่อความยากลำบากแล้ว ยังต้องมีโอกาสที่ดีด้วย”

“ขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 9” ซูฟานกับนักพนันหญิงตกใจพร้อมกัน ฉู่ชวิ๋นมองพวกเขาอย่างแปลกใจไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเขาถึงได้ตกใจ?

“ขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 9 ไม่ธรรมดาเลย นับถือ ๆ!” ซูฟานตกตะลึงพร้อมกับอธิบายให้ฉู่ชวิ๋นฟัง

“ลูกพี่ คุณอาจยังไม่รู้นักสู้พลังชีพจรจากหนึ่งในร้อยนั้น จะมีแค่คนเดียวที่ได้เป็นขั้นปรมาจารย์! แล้วคิดดูสิลูกพี่ ตรงหน้าเราคือขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 9 ซึ่งห่างจากขั้นปรมาจารย์เพียงแค่ก้าวเดียว ถึงแม้จะสู้กับลูกพี่ไม่ได้แต่ก็แข็งแกร่งมาก ๆ ท่านลุงสุดยอดมากเลยครับ”

ซูฟานเปลี่ยนนามเรียกชายชราทันที

“ชายผู้นี้พูดเกินไปแล้ว ฝีมือแค่นี้ไม่อยู่ในสายตาของเธอหรอก” ชายชราพูดอย่างละอายใจแล้วมองไปที่ฉู่ชวิ๋น

แต่ไม่นานทุกคนก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อคิดถึงความจริงที่ว่า ชายชราเป็นถึงนักสู้พลังชีพจรระดับ 9 ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก แต่ก็ยังแพ้ให้กับฉู่ชวิ๋น งั้นระดับพลังของฉู่ชวิ๋นสูงระดับไหนกันแน่

“ขั้นปรมาจารย์?” เมื่อคิดถึงคำนี้ทุกคนก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึก ๆ