ภาคที่ 3 บทที่ 25 ควบคุม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 25 ควบคุม

นอกจากหลิ่วอู๋หยาแล้ว หยวนเลี่ยหยางคือผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณในกรมพลังต้นกำเนิดอีกคนหนึ่ง

เขาไม่ได้เป็นผู้ติดตามหลิ่วอู๋หยา ความสัมพันธ์กับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายก็ไม่แนบแน่น แต่นั่นก็หมายความได้เพียงว่าสองฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์กันจำกัดเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเลย ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทุกคนในกรมล้วนหาทางเอาผลประโยชน์จากตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็อาจไม่รอดตัว และหากต้องการมากกว่านี้ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็อาจไม่เต็มใจหยิบยื่นให้

หยวนเลี่ยหยางเป็นคนเช่นนั้น

เขาไมได้สนับสนุนหลิ่วอู๋หยาจนออกหน้าออกตา แต่ก็รับผลประโยชน์จากสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงเช่นกัน ไม่ได้ภักดีต่อหลิ่วอู๋หยาทั้งหมด แต่ก็ไม่เคยต่อต้าน เพียงแต่มีความคิดเป็นของตนเองเท่านั้น

ที่เขาไม่พอใจซูเฉิน เป็นเพราะเรื่องที่อีกฝ่ายชิงเอาตำแหน่งผู้จัดการความรู้ที่เขาหมายตาไว้ไป ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง

แม้จะมีตำแหน่งต่ำกว่าซูเฉิน แต่พลังของคนด่านทะลวงลมปราณนั้นไม่อาจมองเมินได้

ดังนั้นหากชายหนุ่มไม่จัดการเรื่องหยวนเลี่ยหยาง ซูเฉินก็ไม่อาจควบคุมกรมพลังต้นกำเนิดอย่างแท้จริงได้

หยวนเลี่ยหยางเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้

เฉาเจิ้งจวินฉลาดนัก เข้าใจเป้าหมายของซูเฉิน เหลือคนที่รับมือยากที่สุดไว้เป็นคนสุดท้าย ให้ซูเฉินได้จัดการพืชหญ้าเสียก่อนที่จะมาจัดการกับหยวนเลี่ยหยางในคราหลัง

เมื่อหยวนเลี่ยหยางมาถึง ห้องโถงก็เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ส่วนสวนด้านหน้าก็เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์มากมาย

เมื่อเห็นว่ามีคนมากเขาก็ชะงักไป และเมื่อเห็นซูเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้เจ้ากรม ใบหน้าก็ยิ่งซับซ้อนกว่าเดิม

“เจ้า……”

เขาชี้ซูเฉินก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “ซูเฉิน เจ้าทำอะไรของเจ้า ?”

จากนั้นหันมองคนอื่น ๆ “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? ไม่เห็นหรือว่าซูเฉินนั่งเก้าอี้ของเจ้ากรมหลิ่ว ? ไม่บอกให้เขาลองมาหรือ ?”

ซูเฉินตอบให้ “ไม่จำเป็นหรอกใต้เท้าหยวน เจ้ากรมหลิ่วไม่อยู่แล้ว ข้าเป็นผู้จัดการความรู้จึงต้องดูแลตำแหน่งนี้ไว้ชั่วคราว”

“เจ้าว่าอะไรนะ ?” หยวนเลี่ยหยางจ้องซูเฉินสายตาตะลึง “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากรมหลิ่ว ?”

“เขาตายอย่างไรเล่า”

“ตาย ?” หยวนเลี่ยหยางทวนคำ ก่อนตั้งสติได้ “ตายหรือ ? ตายได้อย่างไรกัน ?”

“ตระกูลหลงแห่งเมืองธารน้ำใสไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง เข้าโจมตีเจ้ากรมหลิ่ว เจ้ากรมหลิ่วรับมือกับพวกคนทรยศบ้านเมือง แต่ไม่คิดว่าจะถูกโจมตี ดังนั้นจึงเสียชีวิตในหน้าที่”

“ตระกูลหลง !” หยวนเลี่ยหยางร้องขึ้น

นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน ?

แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ “เจ้าสังหารหลิ่วอู๋หยาหรือ ?”

ซูเฉินถือถ้วยชาหมุนไปมา “ใต้เท้าหยวน คำหลุดปากมักสร้างปัญหา ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้ากรมหลิ่วตายด้วยเงื้อมือตระกูลหลง หากท่านยังยืนกรานว่าข้าเป็นคนสังหารเขาก็เท่ากับว่าท่านว่าร้ายหัวหน้ากระมัง ?”

หยวนเลี่ยหยางรีบเก็บอารมณ์ตนทันที เขามองไปทางคนอื่น ๆ “พวกเจ้าก็เห็นเป็นเช่นนั้นหรือ ?”

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งโค้งคำนับ “ตอบใต้เท้า ในเมื่อผู้จัดการความรู้ซูกล่าวถึงขนาดนี้ ก็คงจะเป็นไปตามนั้น”

คนผู้นี้มีนามว่าต้วนเฟิง ตำแหน่งในกรมพลังต้นกำเนิดไม่สูงนัก แต่ก่อนเคยล่วงเกินหลิ่วอู๋หยาไว้ ดังนั้นจึงถูกกดดันมาตลอด หลังหลิ่วอู๋หยาตายไป เขาเป็นคนแรกที่ยอมรับตำแหน่งของซูเฉิน

นับเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงนัก เลือกข้างรวดเร็วในขณะที่สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน หากลมเปลี่ยนทิศก็คงมีชะตาย่ำแย่ ระยะสั้นก็คงมีการตอบโต้จากตระกูลสายเลือดชั้นสูง และตอนนี้หยวนเลี่ยหยางนั้นก็ยังอยู่ด่านทะลวงลมปราณ ส่วนซูเฉิน ยังอยู่ด่านกลั่นโลหิต นับว่าต่างชั้นกันลิบลับ

แต่ต้วนเฟิงก็เลือกทางเดินนี้อยู่ดี

เขาเคยเห็นความแกร่งของหลิ่วอู๋หยามาก่อน อีกทั้งยังเห็นซูเฉินสังหารคนด่านกลั่นโลหิตที่สนับสนุนหลิ่วอู๋หยาได้ในกระบวนท่าเดียว ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าซูเฉินทำเช่นนี้เพื่อรนหาที่ตาย

เพราะหากกล้าทำ ก็แปลว่ามั่นใจว่าต้องทำได้

ดังนั้นเขาจึงเลือกสนับสนุนซูเฉินโดยไม่ลังเล

แม้จะเสี่ยง แต่ผลตอบแทนย่อมสูง

หยวนเลี่ยหยางคำรามต่ำ “แล้วเจี่ยงฮั่วหลี่ หลิวถง และคนอื่น ๆ เล่า ? เหตุใดจึงไม่เห็น ?”

“ตอนนั้นพวกเขาอยู่กับเจ้ากรมหลิ่วอู๋หยา คงจะประสบชะตากรรมเดียวกัน” ซูเฉินตอบ

แววตาหยวนเลี่ยหยางสะท้านไปเล็กน้อย

ชั่วร้ายนัก !

ซูเฉินผู้นี้สังหารหลิ่วอู๋หยาไปไม่ทันไร แต่กลับกวาดล้างคนของหลิ่วอู๋หยาราวกับเป็นขยะไร้ค่า ทั้งความเร็วและความเด็ดขาดนี้ทำให้หยวนเลี่ยหยางตกใจไม่น้อย

คำถามคือ ทำได้อย่างไร ?

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตสังหารหลิ่วอู๋หยา เจี่ยงฮั่วหลี่ และคนอื่น ๆ ได้อย่างไรกัน ?

เขาเหลือบมองผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดพลันเข้าใจ ริมฝีปากขยับเล็กน้อย กล่าวคำส่งไปถึงหูหยวนเลี่ยหยาง เล่าเรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดให้เขาฟัง

ซูเฉินเห็น แต่ก็ไม่ขัดขวาง แต่จดจำใบหน้ารูปร่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไว้ในใจ

เป็นตอนนั้นที่หยวนเลี่ยหยางพบว่าตนมาถึงเป็นคนสุดท้าย

“เฉาเจิ้งจวิน !” เขาตวัดสายตามองเฉาเจิ้งจวินอย่างดุร้าย

เฉาเจิ้งจวินกลัวจนขาอ่อนลงกับพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เพียงหวังว่าซูเฉินจะมีแผนสำรองเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็อาจไม่รอดชีวิต

หยวนเลี่ยหยางจ้องซูเฉิน “เช่นนั้น ผู้จัดการความรู้ซูก็จะทำหน้าที่ดูแลกรมพลังต้นกำเนิดนับจากนี้ไปงั้นหรือ ?”

“เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องทำ !” ซูเฉินตอบ

หยวนเลี่ยหยางพยักหน้า “เช่นนั้นข้าอยากรู้ว่า ผู้จัดการความรู้ซูขึ้นดำรงตำแหน่งแล้วจะจัดการเรื่องราวอย่างไรต่อไป ?”

เขายังไม่ต่อต้านซูเฉินโดยตรง แต่กลับถามแผนการของซูเฉินเอาซึ่งหน้า ไม่มีใครเข้าใจจุดมุ่งหมายของเขา

ซูเฉินตอบตามตรง “ข้าย่อมอุทิศตนให้กับงาน ทำทุกอย่างเท่าที่ข้าจะทำได้”

ได้ยินดังนั้นหยวนเลี่ยหยางก็มีสีหน้าครุ่นคิด เงียบไปพักใหญ่

ผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ชอบเจ้า”

ยามคำเหล่านั้นออกมา ใจทุกคนในห้องโถงพลันถูกบีบ

หากแต่พริบตาต่อมา หยวนเลี่ยหยางก็ว่าต่อ “แต่อย่างไรเจ้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแห่งกรมพลังต้นกำเนิด ในเมื่อเจ้ากรมเสียชีวิตแล้ว ผู้จัดการความรู้ก็ควรดำรงตำแหน่งไว้ชั่วคราว เป็นไปตามกฎดี ข้าไม่ขอคัดค้าน”

ทุกคนพลันรู้สึกงุนงง

หยวนเลี่ยหยางพูดต่อ “เจ้ากรมหลิ่วตายอย่างไร หรือใครเป็นคนสังหาร ข้าไม่สนใจจะรู้ และไม่จำเป็นต้องรู้ หน้าที่ตามหาคนร้ายเป็นความรับผิดชอบของกรมวินิจฉัยคดี ไม่ใช่ของข้า ข้ารู้เพียงแต่หลิ่วอู๋หยามีอำนาจสั่งการยามอยู่ในตำแหน่ง ข้ามีหน้าที่ทำตาม หากคำสั่งไม่ไร้เหตุผล ข้าก็จะเชื่อฟัง”

“เมื่อเจ้าขึ้นคุมกรมพลังต้นกำเนิดก็จะยังเป็นดังเดิม หากคำสั่งสมเหตุผล ข้าก็จะปฏิบัติตาม แต่ข้าย่อมไม่ทำตามหรือสนับสนุนเจ้าโดยไร้เงื่อนไข ข้า หยวนเลี่ยหยาง เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดภายใต้กรมพลังต้นกำเนิด ไม่อยากผูกไมตรีกับคนกลุ่มใดเป็นพิเศษ หากมีเรื่องต้องต่อสู้ เจ้าก็สู้เอาเอง อย่าลากข้าไปพัวพัน ผู้จัดการความรู้ซูมีอะไรคัดค้านหรือไม่ ?”

ซูเฉินหัวเราะ

“ย่อมไม่มีสิ่งใดคัดค้าน สิ่งที่ใต้เท้าหยวนว่ามานั้นตรงกับความต้องการข้าพอดี ใต้เท้าหยวนไม่ต้องกังวล ข้าจะรักษาเกียรติของกรมพลังต้นกำเนิดเป็นอย่างไร ลงมือทำเรื่องที่ควรทำ”

“เช่นนั้นก็ดี หากไม่มีอย่างอื่นแล้วข้าขอตัว” หยวนเลี่ยหยางกล่าว จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป

ซูเฉินไม่ห้าม ใช้สายตามองตามหยวนเลี่ยหยางไป

หยวนเลี่ยหยางเดินเชื่องช้า ทุกย่างก้าวมั่นคงยิ่งนัก

จนกระทั่งเดินออกมาจากกรมพลังต้นกำเนิดนั้นเองที่ความรู้สึกราวกับมีคนเอามีดจ่อหลังอยู่พลันหายไป

หยวนเลี่ยหยางถอนหายใจยาว ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากออก เขาหันหลังไปมองเร็ว ๆ ก่อนจะรีบสับฝีเท้าเดินจากไป

ภายในห้องโถงใหญ่ กรมพลังต้นกำเนิด

หลังจากหยวนเลี่ยหยางจากไปแล้ว ซูเฉินจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องราวจบแล้ว ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน ทุกคนก็แยกย้ายได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงรีบแยกย้ายออกไปทันที

ไม่นานก็ไม่เหลือใครในห้องโถงอีก

ซูเฉินเอ่ย “เอาล่ะ เจ้าออกมาได้แล้ว”

ข้ารับใช้เงา 5 คนค่อย ๆ เผยกายออกมาให้เห็น

“นายท่าน !” กุยต้าซานเอ่ย “ดูเหมือนหยวนเลี่ยหยางจะจับสัมผัสพวกข้าได้”

“อืม คงจะมีวิชาตรวจจับใดเป็นแน่” ซูเฉินกล่าว “ต่อไปข้าคงต้องหาวิชาที่ช่วยซ่อนไอสังหารมาให้พวกเจ้าเสียแล้ว”

คนทั้งห้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง “ขอบพระคุณขอรับนายท่าน !”

แม้การติดตามซูเฉินจะทำให้พวกเขาเสียอิสรภาพไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ได้เห็นโลกกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องกล่าวถึงด้านอื่น ๆ เลย

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาภักดีอย่างแท้จริง ทัศนคติของการเป็นโจรป่ามานานหลายปีไม่อาจเปลี่ยนได้โดยง่าย แต่หากซูเฉินยังควบคุมพวกเขาไว้อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเรื่องการก่อกบฏ

“เรื่องราวจบแล้ว พวกเจ้ากลับไปฝึกฝนต่อเถอะ บอกฉางเอ้อร์ให้จับตาดูหยวนเลี่ยหยางไว้ หากไร้ไอสังหารก็ไม่น่าจะถูกหยวนเลี่ยหยางจับได้ ใช่แล้ว หาคนไปที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง บอกเขาว่า……”

ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “นับแต่นี้ไป กรมพลังต้นกำเนิดจะใช้ชื่อว่า ‘อัน’ ”