บทที่ 26 กองทหาร
ภายในคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง
“นับแต่นี้ไป กรมพลังต้นกำเนิดจะใช้ชื่อว่า ‘อัน’ หรือ…… ฮ่า ๆ กล่าวได้ดีนัก !” อันซื่อหยวนลูบหัวล้านตนหัวเราะลั่น
จากนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นอย่างมีกำลังวังชา “กรมพลังต้นกำเนิดที่หลิ่วอู๋หยากับสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงครองร่วมกันทำให้กลายเป็นกรมไร้กฎหมายไป ตอนนี้ซูเฉินสงหารหลิ่วอู๋หยาและกวาดล้างที่นั่นแล้ว ตอนนี้นับว่ากรมพลังต้นกำเนิดเป็นของเรา เขาจัดการเรื่องได้ชาญลาดทีเดียว”
บัณฑิตด้านหลังอันซื่อหยวนเอ่นขึ้น “ท่านเจ้าเมืองพูดถูก ซูเฉินจัดการปัญหาได้อย่างชาญฉลาดนัก แต่เรื่องมันยังไม่จบเท่านี้”
“อืม เจ้าหมายความว่า…..”
“ในฐานะผู้จัดการความรู้ ตอนนี้ซูเฉินทำหน้าที่เป็นคนควบคุมกรมพลังต้นกำเนิด ระยะสั้นก็นับว่าไร้ปัญหา แต่หากระยะยาวสถานการณ์อาจเปลี่ยน ดังนั้นเราจึงต้องรีบหาตำแหน่งถาวรให้เขา”
“อืม อี้หยาง เจ้าพูดถูก ข้าจะนำเรื่องไปแจ้งเบื้องบนและเสนอเลื่อนขั้นให้ซูเฉิน”
“ตอนนี้เขาล่วงเกินตระกูลหลง อีกฝ่ายย่อมไม่ปล่อยเขาไปโดยง่ายแน่ ซูเฉินอาจหลอกตระกูลหลงได้ครั้งหนึ่ง แต่ทำไปตลอดไม่ได้ หลอกลวงเท่านี้ไม่อาจกำจัดตระกูลหลงได้”
อันซื่อหยวนพยักหน้า “ข้ารู้ เขาเพียงกล่าวว่ากรมพลังต้นกำเนิดจะใช้ชื่อ ‘อัน’ เพื่อดึงข้ามาพัวพันด้วยเท่านั้น เขาสร้างผลงานมากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังประกาศตนว่าอยู่ฝั่งข้าอย่างเข้มแข็ง หากข้าไม่ช่วยเขา ต่อไปใครจะฟังคำข้าอีก ? เอาล่ะ มอบกองทหารเกราะโลหิตให้เขา 2 กอง”
“ขอรับ !”
กองทหารเกราะโลหิตเป็นกองทหารชั้นดีที่อันซื่อหยวนฝึกมาเองกับมือ แม้จะมีจำนวนไม่มาก หากแต่ละคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณขั้นสูง หัวหน้ากองอยู่ด่านกลั่นโลหิต แม้จะมีพละกำลังไม่โดดเด่น แต่ก็สามัคคีกันมาก อีกทั้งยังมีวิชาและยาลับที่สามารถเปิดใช้ทักษะลับได้ หากใช้ทักษะที่มีทั้งหมดในคราเดียว ใช้กองทหารเกราะโลหิต 10 นายก็สามารถประมือกับด่านทะลวงลมปราณคนหนึ่งได้ นับเป็นทหารอารักขาที่ดียิ่ง
อันซื่อหยวนมอบทหาร 2 กองให้ชายหนุ่มเพื่อเป็นการแสดงถึงความสำคัญในตัวซูเฉิน ทำเช่นนี้คือต้องการปกป้องซูเฉิน และในเวลาเดียวกันก็ต้องการกุมอำนาจในกรมพลังต้นกำเนิดไว้ให้มั่น นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“แล้วก็ เงินที่กักไว้ของกรมพลังต้นกำเนิดคืนให้เขาได้” อันซื่อหยวนว่า
ในฐานะเจ้าเมือง อันซื่อหยวนก็มีอำนาจพอตัว เรื่องการเงินก็เช่นกัน
เป็นเพราะเมื่อก่อนกรมพลังต้นกำเนิดไม่ถูกกับอันซื่อหยวน อันซื่อหยวนจึงตัดเงินกรมพลังต้นกำเนิด หลายปีที่ผ่านมาเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบที่ออกเงินให้กรมพลังต้นกำเนิด แม้เรื่องนี้จะทำให้หลิ่วอู๋หยาตกที่นั่งลำบาก แต่ก็ทำให้คนในกรมพลังต้นกำเนิดไม่เต็มใจรับคำสั่งจากอันซื่อหยวน ในเมื่อไม่ให้ข้าวกินแล้ว เหตุใดต้องเชื่อฟัง ?
แต่ตอนนี้ซูเฉินชิงเอากรมพลังต้นกำเนิดกลับคืนมาได้ อันซื่อหยวนย่อมมอบเงินที่ตัดไว้ให้ทันที ทั้งช่วยเหลือซูเฉินเองและช่วยเรื่องความคิดคนในกรมด้วย เพราะอย่างไรใช้กำลังคุมกรมพลังต้นกำเนิดก็ทำได้เพียงระยะหนึ่ง ในระยะยาวจำต้องใช้กลยุทธ์ผูกมิตรจะดีกว่า
แต่ก็แน่นอนว่าจากนี้ไปไม่อาจรับผลประโยชน์จากตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบได้อีกแล้ว
“สุดท้าย บอกเจ้าหน้าที่จูว่าพรุ่งนี้เราจะจัดงานฉลอง ข้าต้องแสดงความยินดีกับซูเฉินสักหน่อย !”
“ขอรับท่านเจ้าเมือง !”
————————————————
“โหยวเอ๋อร์ โหยวเอ๋อร์ !” หลงชิงเจียงร้องโหยหวนด้วยความสงสารเมื่อจ้องมองไปยังบุตรชายตนที่นอนอยู่บนเตียง
หลงเฉ่าโหยวนอนอยู่บนเตียงยังไม่ได้สติ ใบหน้าถูกปราณดำกัดกิน ที่น่ากลัวที่สุดคือปราณดำบนใบหน้าหลงเฉ่าโหยว บางครั้งก็เปลี่ยนรูปร่างไป บ้างเป็นรูปปีศาจน่าขวัญผวา บ้างเกิดเป็นรูปสนามรบนองเลือด ราวกับมีคนกำลังเปิดโรงละครอยู่บนใบหน้าเขา มองได้แตะไม่ได้
หลังจากถูกช่วยออกมาจากหมอกดำนั่นได้ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่ว่าหลงชิงเจียงจะคิดหาทางเช่นไรก็ไม่อาจขจัดปราณดำประหลาดออกจากร่างหลงเฉ่าโหยได้เลย อีกทั้งเขายังไม่ฟื้นคืนสติสักที
ท่านหมอด้านข้างมองแล้วก็ส่ายหัว “ข้าไร้ความสามารถ ไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน”
“ท่านหมอเจียง ท่านเป็นหมอฝีมือดีที่สุดในเมืองธารน้ำใส ช่วยคิดหาทางหน่อยเถอะ !” หลงชิงเจียงเอ่ยเสียงกังวล
ท่านหมอเจียงยังคงส่ายหน้า “ขออภัยด้วย แต่ข้าไม่เคยพบโรคเช่นนี้มาก่อน แล้วจะรักษาอย่างไรได้ ? ผู้นำตระกูลหลง ท่านไปหาหมอคนอื่นที่มีฝีมือกว่าข้าเถอะ”
ว่าแล้วก็เริ่มเก็บข้าวของ
หลงชิงเจียงเริ่มร้อนรน “ท่านหมอเจียง ท่านเป็นหมอมือดีที่สุดในเมืองธารน้ำใสแล้ว ! หากท่านรักษาไม่ได้แล้วใครจะทำได้อีก ?”
ท่านหมอเจียงเอ่ยเสียงไม่พอใจ “ท่านบอกข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็เห็นแล้ว นี่มันไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บ แต่เป็นผลประหลาดอันเนื่องมาจากทักษะต้นกำเนิด ใต้หล้ามีทักษะต้นกำเนิดประหลาดพิลึกมากมาย ส่วนมากใช้ยารักษาไม่ได้ ข้าคิดว่ามันคงจะเป็นคำสาปบางอย่าง ข้าช่วยเหลือท่านไม่ได้แล้ว ท่านไปหาคนที่ร่ายคำสาปนี้ใส่เขาเสียจะดีกว่า”
พูดแล้วก็ถือย่ามยาแล้วจากไป
หลงชิงเจียง สิ้นหวัง ทำได้เพียงออกจากห้องไปแล้วร้องหาบริวาร “พวกเจ้า !”
“ผู้นำตระกูล !” ซางเม่าหยวนรุดเข้ามา
“ไปเรียกทหาร แขก ข้ารับใช้ทั้งหลายมาทั้งหมด มุ่งหน้าไปคฤหาสน์ซู ข้าจะสังหารซูเฉินเสียวันนี้เลย !” หลงชิงเจียงว่า ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสังหาร
“เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้วขอรับ” ซางเม่าหยวนก้มหน้าลง
“เจ้าว่าอะไรนะ ?”
ซางเม่าหยวนตอบ “ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่าซูเฉินจากไป ก็ไม่ได้กลับไปยังคฤหาสน์ซู แต่มุ่งหน้าไปกรมพลังต้นกำเนิด”
“กรมพลังต้นกำเนิด ?” หลงชิงเจียง ชะงัก นึกบางอย่างขึ้นได้ก่อนร้องตะโกนออกมา “ไม่ดีแล้ว ! หรือว่า……”
“ขอรับ เขารวบรวมผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดและผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด ทำทีว่าเป็นคำสั่งของหลิ่วอู๋หยา ใช้กลยุทธ์ตีให้แตกแล้วเอาชนะ สังหารเจี่ยงฮั่วหลี่ หลิวถง และคนอื่น ๆ ไป จากนั้นก็ไม่ทราบว่าใช้วิธีใดสยบหยวนเลี่ยหยาง เขากระทั่งประกาศต่อหน้าคนว่าเขาจะไม่คัดค้านที่ซูเฉินเข้ามาคุมกรมพลังต้นกำเนิด สุดท้ายเขาก็……”
“เขาก็อะไร ?”
“ส่งคนไปแจ้งอันซื่อหยวนว่าจากนี้ไปกรมพลังต้นกำเนิดจะอยู่ในนามของอันซื่อหยวนขอรับ”
“บัดซบ !” หลงชิงเจียงซัดพลังออกไป ต้นไม้อายุร้อยปีโค่นลงมาในพลัน
“ข้าจะสังหารมัน !!!” หลงชิงเจียงตวาดลั่น
ซางเม่าหยวนรู้ว่าหากยิ่งพูดคงยิ่งทำให้หลงชิงเจียงโกรธ แต่ก็ต้องทำใจแข็งแล้วเอ่ยต่อไป “หลังอันซื่อหยวนรู้เรื่อง เขาจึงส่งกองทหารเกราะโลหิต 2 กองให้เขาทันที”
“โครม !” หลงชิงเจียงซัดพลังออกไปอีก ซางเม่าหยวนร่างปลิวไป กระดูกหักไปสองแห่ง ก่อนจะร่วงลงกระแทกพื้น
หลงชิงเจียงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายกระหายเลือด
“เจ้าจะบอกว่าถึงอยากฆ่ามันตอนนี้ก็ทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ ?”
กองทหารเกราะโลหิตไม่ได้หมายถึงความแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องหมายแสดงศักดิ์ของทางการ ไม่ใช่ว่าหลงชิงเจียงไม่อาจสังหารซูเฉินที่มีกองทหารเกราะโลหิตได้ แต่หากเขาทำเช่นนั้นก็นับว่าเป็นการเปิดสงคราม !
อีกทั้งผลที่ตามมาจะหนักหนาสาหัสนัก
ซางเม่าหยวนก้มหน้าลงเงียบเชียบ
เขาเอ่ยทุกอย่างไปแล้ว ส่วนอำนาจการตัดสินใจนั้นอยู่ที่หลงชิงเจียง
แม้เขาจะอยากจับตัวซูเฉินมาแก้แค้นเรื่องบุตรชายมากเท่าไร หลงชิงเจียงก็รู้ดีว่ามันทำได้ยากเพียงไหน
เขาครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายเอ่ยออกมาเพียง “ส่งคำสั่งให้ทางเรามุ่งค้นหาตัวเว่ยเหลียนเฉิงก่อน เราต้องจับมันให้ได้เป็นอย่างแรก เรื่องโหยวเอ๋อร์จะได้เป็นความรับผิดชอบของมันแทน”
ซางเม่าหยวนตอบ “พวกเราออกตามหาแล้วขอรับ แต่เว่ยเหลียนเฉิงผู้นี้อยู่ด่านทะลวงลมปราณ หากต้องการก็หนีจากเมืองธารน้ำใสไปได้ทุกเมื่อ ค้นหาตัวเขายากเกินกำลังขอรับ”
หลงชิงเจียงเริ่มแผ่ไอสังหารในนัยน์ตาออกมาอีกครา “เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าตามหาตัวเว่ยเหลียนเฉิงก็ไมได้เช่นกันงั้นหรือ ?”
ซางเม่าหยวนรีบตอบ “ไม่ใช่ขอรับ จากเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้ ดูท่าเว่ยเหลียนเฉิงจะช่วยซูเฉิน เพราะซูเฉินมีสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นจึงปล่อยให้ซูเฉินตายไม่ได้”
หลงชิงเจียงชะงักไป “เจ้าหมายความว่า……”
“เว่ยเหลียนเฉิงย่อมต้องมาถามเอาของกับซูเฉิน หากจับตามองซูเฉินไว้ก็จะพบตัวเว่ยเหลียนเฉิงขอรับ”
“ดีมาก ไปจัดการเสีย ครั้งนี้อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีก”