ภาคที่ 3 บทที่ 27 งานเลี้ยง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 27 งานเลี้ยง

“ยินดีด้วย !”

คืนนั้นเอง เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีก็ดังออกมาจากคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง

ข่าวการเปลี่ยนถ่ายอำนาจโดยฉับพลันภายในกรมพลังต้นกำเนิดแพร่สะพัดไปในเมืองธารน้ำใสภายในวันเดียว ใครที่มีอำนาจในมือหน่อยย่อมได้ยินข่าวกันทั้งสิ้น

ทุกคนรู้ความหมายที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองมีงานเลี้ยงฉลองดี

ดังนั้นแขกที่ได้รับเชิญจึงมากันหนาแน่นว่องไว เดินทางมาแสดงความยินดีกับอันซื่อหยวน

แน่นอนว่าอันซื่อหยวนไม่อาจบอกได้ว่างานฉลองครั้งนี้มีขึ้นเพราะสามารถกุมอำนาจในกรมพลังต้นกำเนิดไว้ในมือได้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงอ้างว่าเป็นงานฉลองวันเกิดนางบำเรอคนหนึ่งของเขาแทน

แขกเหรื่อพากันมาไม่ขาดสาย ในห้องโถงมีหัวเราะพูดคุยดังขึ้นเป็นระยะ และยังมีเสียงกล่าวคำยินดีไม่หยุด

อันซื่อหยวนนั่งอยู่บนที่นั่งสูงอันทรงเกียรติ ด้านซ้ายคือชายใบหน้ากว้าง จมูกโด่ง มือคล้ายกรงเล็บเหยี่ยว ใบหน้านิ่งขรึม เขามีนามว่า หลู่ชิงกวง เป็นหัวหน้าที่ว่าการอำเภอและลูกน้องฝีมือดีที่อันซื่อหยวนเชื่อใจมากที่สุด ด้านขวาอันซื่อหยวนคือซูเฉิน มองเช่นนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าเขาได้กลายเป็นมือขวาอันซื่อหยวนไปแล้ว

“ผู้จัดการความรู้ซูกล้าหาญนัก จัดการตระกูลเหลียนและตระกูลหลงได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างไม่ลังเล อีกทั้งยังทำสำเร็จ ช่างกล้าหาญเกินอายุอานามเสียจริง !” อันซื่อหยวนหัวเราะแล้วยกจอกขึ้นดื่มให้ซูเฉิน

“ขอบคุณท่านเจ้าเมืองที่ชม” ซูเฉินยกจอกขึ้นเช่นกัน “แต่จากนี้ต่อไป ซูเฉินไม่เพียงต้องรับมือกับตระกูลเหลียนและตระกูลหลง แต่จะเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมด หากไม่ได้การคุ้มครองจากท่านเจ้าเมือง ซูเฉินก็คงไม่อาจทำงานสำเร็จได้”

การต่อสู้เมื่อครั้งก่อนของซูเฉินเป็นเพียงเรื่องเบาะแว้งส่วนตัวระหว่างเขากับตระกูลเหลียนและตระกูลหลง อีกแปดตระกูลยังไม่ได้เข้าร่วมด้วย

หากแต่การชิงอำนาจในกรมพลังต้นกำเนิดและผูกมิตรกับอันซื่อหยวนกลับเปลี่ยนเรื่องราวไปในพลัน

กรมพลังต้นกำเนิดไม่ได้ตกอยู่ในกำมือของตระกูลเหลียนและตระกูลหลงเพียงสอง แต่ถูกควบคุมโดยตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบต่างหาก

ดังนั้นชายหนุ่มทำเช่นนี้ก็นับว่าล่วงเกินทั้งสิบตระกูลไปในคราเดียว

คือสิ่งที่ต้องเสียไปเมื่อคิดเปิดศึกกันซึ่งหน้า

ในขณะที่เขาได้รับแรงสนับสนุนจากอันซื่อหยวน แต่ก็สร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเช่นกัน

“ผู้จัดการความรู้ซู”

จังหวะนั้นเอง คนอื่น ๆ ยังคงพูดคุยกันสนุกสนาน แต่หลู่ชิงกวงเอ่ยขึ้น “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ”

“หัวหน้าหลู่โปรดกล่าว”

“ตอนการต่อสู้ที่ศาลาสิบลี้ ผู้จัดการความรู้ซูสังหารหลิ่วอู๋หยา จากนั้นหลบรอดเงื้อมือหลงชิงเจียงมาได้ นับว่ามหัศจรรย์นัก แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นได้อย่างไม่มีเหตุผลเช่นนั้น ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง แต่ผู้จัดการความรู้ซูอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าท่านทำอย่างไร ?”

ซูเฉินคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ย่อมได้ เรื่องบางอย่างพูดตามตรงออกมาเลยดีกว่า อีกทั้งยังไม่มีเหตุผลให้ข้าต้องปิดบัง เริ่มจากเรื่องที่เกิดในคฤหาสน์ตระกูลหลี่ก่อนก็แล้วกัน……”

ซูเฉินเริ่มเล่าจากตอนที่เขาได้ยินว่ามีเรื่องประหลาดเกินขึ้นที่คฤหาสน์ตระกูลหลี่เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น “พอข้าได้ยินเรื่องนั้นก็อยากลองมาตรวจสอบดูให้แน่ชัด ดังนั้นจึงส่งคนมาซื้อคฤหาสน์ไว้ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนมาแย่งซื้อ……”

ซูเฉินเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา

แม้ในห้องโถงจะมีคนมากมาย ซูเฉินก็สามารถคุมระดับเสียงไม่ให้ลอยไปไกล ได้ยินกันเพียงอันซื่อหยวน หลู่ชิงกวง และบัณฑิตนามอี้หยางที่นั่งอยู่ด้านล่าง เป็นมันสมองของอันซื่อหยวน ที่ได้ยินคำของเขา

เมื่อได้ยินซูเฉินวิเคราะห์สถานการณ์มาแล้ว หลู่ชิงกวงก็ออกปากชม “คุณชายซู่มีความคิดซับซ้อนนัก ข้าขอชื่นชม”

“เว่ยเหลียนเฉิงเป็นใครกันแน่ ? เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องคฤหาสน์ตระกูลหลี่ ?” อันซื่อหยวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน

ซูเฉินส่ายหัว “เรื่องนั้นข้าไม่มั่นใจ แต่หากเขาต้องการก้อนโลหะนั่น ไม่นานก็คงกลับมาหาข้าอีก ถึงเวลาก็คงได้รู้เอง”

“ก็จริง” อันซื่อหยวนพยักหน้า

เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขามากมายนัก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดถามไถ่ให้มากความ

เจ้าบ้านกับแขกยังคงสนทนากันต่อไปอย่างรื่นรมย์ หลังจากเหล้าหมดไป 3 จอก ซูเฉินก็บอกลาแล้วขอตัวกลับ

แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้กลับไปเพียงคนเดียว ยังมีกองทหารเกราะโลหิตตามกลับไปด้วย ซูเฉินมีผู้เชี่ยวชาญจากกรมพลังต้นกำเนิด 3 คน และผู้ฝึกยุทธ์อีกราว 20 คนติดตามกลับไปด้วย จึงกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่ขาดแรงคนอีกต่อไปแล้ว

หลังงานเลี้ยงจบลง หลู่ชิงกวงก็ยังไม่จากไป อันซื่อหยวนรั้งตัวเขาไว้ พวกเขาไปนั่งจิบชากันอยู่ที่สวนด้านหลัง

อันซื่อหยวนถือถ้วยชาไว้ในมือ ยืนอยู่เบื้องหน้าพุ่มดอกไม้ ใช้มือเรี่ยละดอกไม้ไปมาไร้จุดหมาย “ชิงกวง เจ้าว่าผู้จัดการความรู้ซูเป็นอย่างไร ?”

หลู่ชิงกวงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูจากข้อมูลที่พวกเรามี หลงเฉ่าโหยวถูกคำสาปประหลาดในการต่อสู่ที่ศาลาสิบลี้ จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติ สิ้นใจตายได้ทุกเมื่อ มองจากมุมนี้แล้ว ซูเฉินไม่น่าจะใช่คนของพวกเขา”

อันซื่อหยวนหัวเราะ “ฮ่า ๆ เจ้าก็คิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้สงสัยเรื่องนั้นเสียหน่อย ตระกูลกระจ้อยร่อยเท่านั้นไม่สามารถมีอำนาจไปไกลถึงในสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้หรอก แต่เจ้าไม่คิดหรือว่าที่ผู้จัดการความรู้ซูตรงไปตรงมาเช่นนี้มันน่าประหลาดหรือ ?”

“ท่านเจ้าเมืองหมายความว่า……”

“เห็นกันชัด ๆ ว่าเว่ยเหลียนเฉิงไม่ธรรมดา ก้อนโลหะก็ไม่ธรรมดา หากเจ้าถาม คนอื่นก็คงตอบมาเพียงไม่กี่ประโยค แต่เขากลับอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นโดยละเอียด ใช่แล้ว อี้หยาง เจ้ามีวิชาจับคำลวง เขาได้โกหกบ้างหรือไม่ ?”

บัณฑิตอี้หยางตอบ “ไม่เลยขอรับ ทุกคำที่เขาพูดคือความจริง”

“เห็นไหมเล่า ! เป็นความซื่อสัตย์จริงใจทั้งสิ้น !” อันซื่อหยวนออกท่าทาง

หลู่ชิงกวงยังฉงนสงสัย “แล้วมันไม่ดีหรือ ? เหตุใดท่านเจ้าเมืองจึงกล่าวเช่นั้น ?”

อันซื่อหยวนหัวร่อ “ความเปิดเผยเช่นนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี ปกติแล้วมักจะเห็นได้ในคนที่มีความคิดเรียบง่ายซื่อตรง ชิงกวง เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนเช่นนั้นหรือไม่เล่า ?”

หลู่ชิงกวงตอบ “คนที่สามารถรวบคนที่ไม่รู้จักไว้ในแผนตนเองได้อย่างแยบยลแล้วดำเนินการทีละขั้นอย่างละเอียดรอบคอบน่ะหรือ ? ไม่มีทาง เรียกว่าหลักแหลมมีไหวพริบจะเหมาะกว่า”

“ใช่หรือไม่เล่า !” นิ้วมืออันซื่อหยวนยิ่งไล้กิ่งดอกไม้เร็วขึ้น “เจ้าว่ามันไม่แปลกหรือ คนที่สามารถบีบให้ ตระกูลหลงตกที่นั่งลำบากได้ด้วยการวางกลยุทธอันแยบคาย จู่ ๆ จะกลายเป็นคนเปิดเผยไปเลยได้หรือ ?”

“หรือเขาจะมองว่าเราเป็นแรงหนุน อยากได้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากเราให้มากขึ้นเพื่อสานไมตรี ?”

“ไม่ใช่ !” อันซื่อหยวนส่ายหัว “เจ้าไม่เข้าใจคนอย่างเขา คนอย่างซูเฉินไม่ใส่ใจเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจจากเราเพื่อสานสัมพันธ์หรอก หากข้าสงสัยในความภักดีของเขา เขาก็จะคิดหาทางหั่นหัวหลงชิงเจียงมามอบให้ข้าเพื่อแสดงจุดยืน ไม่ใช่มาทำตัวเปิดเผยกับข้า”

ก่อนหน้านั้น เหตุใดจึงไม่มีท่าทีเปิดเผยเช่นนี้มาก่อนเลยเล่า ?

หลู่ชิงกวงได้ยินแล้วก็ไม่แปลกใจ “เช่นนั้นท่านหมายความว่า……”

อันซื่อหยวนส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่ข้ารู้สึกว่าเว่ยเหลียนเฉิงผู้นี้ไม่ธรรมดา ซูเฉินอาจรู้เบื้องหลังบางอย่างของคนผู้นี้ อาจจะรู้สึกเกรงเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายบอกเราเรื่องเว่ยเหลียนเฉิงผู้นี้ก่อน…… ไม่แน่ว่าอาจอยากให้พวกเราสืบข้อมูลหรือกระทั่งรับมือคนผู้นั้นให้เขา”

หลู่ชิงกวงชะงักไป “ข้าไม่คิดว่าซูเฉินเป็นคนขลาดกลัว หากเขาไม่เกรงกลัวกระทั่งสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง เช่นนั้นเขาจะ…… หรือว่า ?”

“ถูกต้อง ความหวั่นเกรงของเขาที่มีต่อเว่ยเหลียนเฉิงนั้นมีมากกว่าที่เขาหวั่นเกรงสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง” อันซื่อหยวนเอ่ย