บทที่ 67 เขาเป็นใคร?

ราชาซากศพ

บทที่ 67 เขาเป็นใคร?

“นอกเหนือจากการเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แล้ว เขายังเป็นจ้าวแห่งวิญญาณ และเขายังเป็นจ้าวแห่งจิตวิญญาณ ในลักษณะผู้อัญเชิญอีกด้วย และตอนนี้ระดับพลังของเขามาถึงนักรบขั้นสี่ระดับสี่แล้ว น่าแปลกใจบ้างหรือไม่? พอจะทำให้เจ้านั้นอ้าปากค้างจนหุบไม่ลงหรือไม่? “เย่ห่าวนั้นไม่ได้ล้อเล่น เขาเปิดปากและพูดว่าหลินเว่ยแข็งแกร่งอย่างไร ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ลืมที่จะเย้าแหย่เย่ชิงเฟิง

“โอ้!” หลังจากฟังคำพูดของเย่ห่าวในครั้งนี้ เย่ชิงเฟิงรู้สึกสะเทือนใจจริง ๆ แม้ว่า การฝึกฝนแบบหยูหลิงฉีจะหาได้ยาก แต่ก็ยังมีข้อเสียบางอย่าง เนื่องจากมีปรมาจารย์หยูหลิงฉีหลายคนในตระกูลเย่ แต่พวกเขาล้วนเป็นคนธาตุเบา
ที่มีระดับการฝึกฝนที่ไม่สูงเกินไป มีเพียงนักรบขั้นหนึ่งและขั้นสอง

สิ่งที่กระตุ้นความสงสัยเขาได้อย่างแท้จริงคือ เขาได้ยินว่าหลินเว่ยฝึกฝนทั้งสองอย่างพร้อมกัน และเลื่อนขั้นมาถึงระดับที่สี่ในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้ว่าพรสวรรค์ระดับปรมาจารย์จิตวิญญาณของเขาจะเป็นเพียงระดับ 4
สำหรับเย่ชิงเฟิงเอง ตัวเขานั้นยังไม่สามารถก้าวข้ามขั้นขุนศึกได้ และอีกฝ่ายที่ฝึกฝนพลังทั้งสองแบบไปพร้อม ๆ กันก็ยิ่งยากกว่าร้อยเท่า ด้วยวิธีนี้เขาสามารถต่อสู้กับผู้อื่นได้ดีมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากในการต่อสู้นั้นอัญเชิญสัตว์อสูรออกมาร่วมต่อสู้ด้วย หากจะฝึกฝนพลังจนก้าวข้ามและสามารถกลายเป็นอมตะได้ อาจถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ และอาจสามารถต่อสู้กับผู้ที่มีพลังเหนือกว่าตนเองได้อีกด้วย
สำหรับการต่อสู้ข้ามระดับนั้น เย่ชิงเฟิงไม่กล้าใฝ่ฝันเรื่องนี้ ท้ายที่สุดมันเป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

“ฮ่าๆ! ท่านลุงได้ทดสอบความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนั้นแล้วหรือไม่?” หลังจากที่เย่ชิงเฟิงสงบใจลงเล็กน้อย เขาก็ถามด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่าคนที่ทำมันไม่ใช่ตัวข้า แต่เป็นซุยอู่จี้มันคือสงครามที่ทำให้ข้ารู้ว่ายังมีคนชั่วแบบนี้อยู่ในโลก” ใบหน้าของเย่ห่าวจริงจัง พยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“โอ้…ท่านลุง ได้รับการช่วยเหลือจากชายหนุ่มคนนี้ได้อย่างไรกัน เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่” เมื่อเห็นท่าทางของเย่ห่าว เย่ชิงเฟิงก็เชื่ออย่างสุดหัวใจ
“อืม! เขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยเราเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราเข้าไปขัดขวางการฝึกฝนของเขาโดยบังเอิญ
พวกตระกูลซุยต้องการสังหารหลินเว่ยและสังหารเรา แต่กลับต้องมาถูกสังหารลงไปเสียก่อน แม้หลินเว่ยจะไม่ได้ตั้งใจช่วยเราเอาไว้ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเย่ไปแล้ว ตระกูลเย่ไม่สามารถลืมสิ่งนั้นได้ ”

เย่ห่าวมองไปที่เย่ชิงเฟิงอย่างจริงจัง และน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณหลินเว่ย เขาพูดอีกครั้งว่า“ นอกจากนี้หลินเว่ยช่วยเราไว้ถึงสองครั้ง ถ้าเขาไม่ได้รับปากว่าจะพาพวกเรากลับมาที่นี่ เกรงว่าพวกเราจะต้องตายอยู่ในท้องของสัตว์อสูรแล้ว ”

“ไม่ต้องห่วงท่านลุง เขาชื่อหลินเว่ยหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ห่าว เย่ชิงเฟิงก็พยักหน้าและนั่งตัวตรง หลังจากรู้ชื่อของหลินเว่ยจากปากของเย่ห่าว เย่ชิงเฟิงก็พูดอย่างเคร่งขรึม “หลินเย่ช่วยพวกเราตระกูลเย่ไว้ถึง 2 ครั้ง
เป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่และต่อไปจะเขาจะกลายเป็นผู้มีพระคุณของทั้งตระกูลของเรา”

“อืม! ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ได้ ข้าก็โล่งใจ ที่อีกฝ่ายกลับมากับเราในครั้งนี้ เพราะอาเหิงสัญญากับเขาว่าจะให้เขาเลือกสมบัติจากตระกูลเย่ของเรา เย่ห่าวพอใจกับท่าทีของเย่ชิงเฟิงมาก และจากนั้นก็เริ่มที่จะพูดคุยเกี่ยวกับ ของกำนัลที่ได้พูดโอ้อวดเอาไว้
ถึงเวลาที่ต้องมอบออกมา อย่างไรก็ตามความเห็นของเย่ชิงเฟิงยังคงจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ แม้ว่าความเป็นอาวุโสของเขาจะสูงกว่าของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้นำของตระกูล

“สมบัติ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ห่าว เย่ชิงเฟิงก็ตกใจทันที หลังจากได้สติเขาก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ และพูดอย่างกล้าหาญ: “ไม่มีปัญหา ข้าตกลงตามนี้ มันเป็นแค่ของนอกกาย ข้าจะไปบอกให้เปิดคลังสมบัติประจำตระกูลให้เขา อยากได้อะไรก็ให้เขาเอาไปเถอะ! ”

“ดี! เจ้าเลือกได้ดีมาก หวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในฐานะผู้นำตระกูลตามที่คาดหวังไว้ ข้าที่เป็นลุงก็รู้สึกพึงพอใจเหลือเกินที่ได้อบรมสั่งสอนเจ้ามาได้ดีจริง ๆ” เย่ห่าวรู้สึกยินดีและพอใจกับเย่ชิงเฟิงทันที ดวงตาของเขาชื่นชมเย่ชิงเฟิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฮ่า!” ขอบคุณสำหรับคำชมของท่าน เย่ชิงเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร เพราะมันกล่าวถึง ตัวของเย่ห่าวด้วย
…………

“ก๊อก ๆ!” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเล็กน้อย หลินเว่ยเปิดประตูและจับจ้องไปที่คนที่อยู่เบื้องหน้า เป็นหญิงสาวกำลังยืนอยู่ที่ประตู พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

เด็กสาวคนนี้คือเย่ถงเสวี่ย นางยืนอยู่ที่นั่นอย่างขลาดอาย เมื่อนางเห็นหลินเว่ยดวงตาก็พลันสดใสขึ้น และใบหน้าของนางก็มีรอยแดงจาง ๆ นางพูดอย่างขัดเขินว่า “คุณชายหลิน ท่านพ่อของข้าอยากเจอผู้มีพระคุณ ตามข้ามาเร็ว” หลังจากนั้น
โดยไม่รอให้หลินเว่ยอ้าปาก นางก็ก้าวไปข้างหน้าและคว้ามือของหลินเว่ย ไม่ว่าหลินเว่ยต้องการจะไปหรือไม่ ก็มีเพียงต้องตามนางไปเท่านั้น

“ข้า…!” หลินเว่ยถูกเย่ถงเสวี่ยดึงมือและวิ่งอย่างดุเดือด มุมปากของเขากระตุก และหน้าผากของเขาปกคลุมด้วยเส้นสีดำด้วยความหงุดหงิด อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คัดค้าน ท้ายที่สุดถ้าเขาต้องการดิ้นรน
เย่ถงเสวี่ยจะได้รับบาดเจ็บจากพลังปราณของเขา ดังนั้นหลินเว่ยจึงเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
“คุณชายหลิน! ท่าน … ” เย่ถงเสวี่ยจับมือหลินเว่ยและวิ่งตรงเข้าไป
เมื่อเย่ห่าวและคนอื่น ๆ เห็นฉากนี้ พวกเขาก็แสดงท่าทางประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เหิงยกนิ้วโป้งให้หลินเว่ยและขยิบตาให้เขา เย่ถงเสวี่ยโกรธมากเมื่อนางเห็นแบบนั้น

“แค่ก ๆ!” เมื่อเห็นเย่เหิงส่งเสียงดัง เย่ชิงเฟิงก็ไอสองครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงไอพวกเขาก็กลายเป็นสงบนิ่งทันทีและเดินไปอีกด้านหนึ่ง ทิ้งหลินเว่ยไว้คนเดียวเพื่อเผชิญหน้ากับดวงตาของเย่ชิงเฟิง

หลังจากที่พวกเขาจ้องมองกันสักพัก ดวงตาของเย่ชิงเฟิงก็แสดงความประหลาดใจ เขาลูบเคราที่คางของเขา พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและยิ้มแย้ม เขากล่าวอย่างมั่นใจว่า: “นี่ต้องเป็นคุณชายหลิน! ตามที่คาดไว้ เป็นคนที่มีความสามารถที่ดูดี
มีเงาของมังกรและหงส์อยู่เบื้องหลัง อนาคตจะต้องก้าวไกลอย่างแน่นอน ข้าคือเย่ชิงเฟิง ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือท่านลุง อาเหิง และบุตรสาวของข้า

“ไม่ ท่านผู้นำเย่เกรงใจเกินไป ข้าเพียงทำงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความดีความชอบ” หลินเว่ยส่ายหัวและกล่าวอย่างสุภาพ แม้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะทำให้เขามีความสุขมาก แต่เขาก็จะไม่ลืมจุดประสงค์ในครั้งนี้
ในใจของเขาของกำนัลสำคัญที่สุด เพราะเขาไม่ใช่หลงไปในคำชื่นชม แต่เป็นเพราะเขายากจนเกินไป กระเป๋าเงินของเขานั้นเหี่ยวแฟบ และการเลื่อนขั้นสำหรับเขายังต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงหูฉี่ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ไม่รู้ว่าคุณชายหลินมาจากที่ใด แต่ว่าท่านสามารถมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ได้เสมอ ขอแค่ท่านเอ่ยปาก หากมีเรื่องเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ ข้ายินดีช่วย อิทธิพลในเมืองเฮยสุ่ยของตระกูลเย่ ไม่แข็งแกร่งเกินไป ไม่อ่อนแอเกินไป”
เย่ชิงเฟิงสงสัยเกี่ยวกับที่มาที่ไปของหลินเว่ย

“ข้าเป็นแค่คนชนบทขอบคุณมากที่ท่านผู้นำที่ต้อนรับข้า ข้านั้นอพยพมาจากเมืองหมั่นฉี เนื่องจากกองทัพสัตว์อสูรออกอาละวาด จึงต้องอพยพมาตั้งรกรากที่เมืองเฮยสุ่ยชั่วคราว” หลินเว่ยกล่าวตรง ๆ เพราะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่ปกปิด ด้วยอิทธิพลของตระกูลเย่
ในเมืองเฮยสุ่ย ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็สามารถตรวจสอบสิ่งที่ต้องการได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปกปิด