ตอนที่ 66 ทะเลาะกับไอ้โรคจิตก็เหมือนการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 66 ทะเลาะกับไอ้โรคจิตก็เหมือนการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

ดูเหมือนว่าชายหนุ่มบนรถเข็นจะมองการกระทำบ่างอย่างของเจียงป่าวชิงออก เขาส่งเสียงหัวเราะเยาะเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางนึกในใจ ‘หากข้าทะเลาะกับไอ้โรคจิต มันก็เหมือนกับการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ…

ทะเลาะกับไอ้โรคจิตก็เหมือนการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ…

ทะเลาะกับไอ้โรคจิตก็เหมือนการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ…’

ไอ้โรคจิตสองคนนี้สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยตรง

เจียงป่าวชิงหลุบสายตาลง

ไป๋จีชะงักไปเล็กน้อย เขามองชายหนุ่มบนรถเข็นราวกับขอคำสั่ง แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ยังคงเป็นสีหน้าที่ตายด้านอยู่เช่นเดิม

“แม่นางเจียงอย่าได้นึกโกรธ” ไป๋จีพูดต่อ “ที่ข้าบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพราะอยากเตือนเจ้าสักเล็กน้อย เราได้ตรวจสอบประวัติตามความจริงของเจ้าอย่างละเอียดแล้ว หากว่าเจ้าทำอะไรบุ่มบ่ามและไม่สามารถรักษาเจ้านายของข้าให้หายได้ คนที่จะมีผลกระทบไปด้วยจะไม่ใช่แค่เจ้า”

เจียงป่าวชิงพยักหน้านิ่ง ๆ

ในสถานการณ์ความเป็นความตายนั้น นางจำเป็นต้องโยนไม้เด็ดของการฝังเข็มออกไปเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ ประกอบกับสถานการณ์ที่ถูกควบคุมและถูกข่มขู่โดยผู้อื่นในขณะนี้ ก็คงถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องจ่ายเพื่อการรอดชีวิตในครั้งนั้น

ไป๋จีพูดขึ้นอีกครั้ง “แม่นางเจียงไม่ต้องห่วง หากว่าเจ้าสามารถรักษาพิษของเจ้านายข้าให้หายได้ เจ้านายข้าไม่เพียงแต่จะไว้ชีวิตเจ้า แต่เขาจะยังให้เงินก้อนโตกับเจ้าเพื่อที่เจ้าและพี่ชายของเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไปในชีวิตนี้ด้วย”

เจียงป่าวชิงพูดเหน็บแนมเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณเจ้านายของเจ้าที่ใจกว้างเหมือนมหาสมุทรใช่หรือไม่ ?”

“ เจ้าปากเร็วเช่นนี้แล้วได้อะไรรึ ?” ชายหนุ่มบนรถเข็นเอ่ยขึ้นอย่างเฉื่อยชา “นอกจากทำให้ข้ารู้สึกว่าต้องระวังเจ้ามากขึ้น แล้วมีข้อดีอะไรอีก ?”

เจียงป่าวชิงจ้องชายหนุ่มบนรถเข็นเขม็ง “อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าเตือนข้า”

“อืม ไม่เป็นไร”ชายหนุ่มบนรถเข็นทำหน้านิ่ง เขาไม่สะทกสะท้านเลยแม้ว่าเจียงป่าวชิงจะประชดก็ตาม

เจียงป่าวชิงกำเข็มที่เอวไว้แน่น นางอยากแทงเข็มใส่ชายหนุ่มบนรถเข็นให้เขากลายเป็นตัวต่อเสียเดี๋ยวนั้น

ไป๋จีกระแอมไอขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดต่อ “เพียงแต่ข้ามีคำถามที่อยากจะถามแม่นางเจียงสักหน่อย และหวังว่าเจ้าจะตอบตามความจริง”

เนื่องจากรู้สึกไม่ถูกชะตาชายหนุ่มบนรถเข็น เจียงป่าวชิงจึงจ้องจับผิดผู้คุ้มกันที่ชื่อว่าไป๋จีคนนี้ จากนั้นนางก็พูดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ว่า “เชิญถามมาได้”

อาจเป็นเพราะไป๋จีรู้ว่าเจ้านายของเขากับตัวเขาเองนั้นไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไหร่ เขาจึงไม่พูดไรสาระและเลือกที่จะพูดออกไปอย่างตรงประเด็น “พวกเราอยากให้แม่นางเจียงอธิบายวิธีการปักเข็มของเจ้า…” เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเป็นคำที่เจียงป่าวชิงเพิ่งแก้ไขให้ถูกต้องเมื่อสักครู่ “เอ้อ… อ่า… ข้าหมายถึงฝังเข็ม เจ้าเรียนมาจากที่ไหนรึ ? จากการตรวจสอบของข้า ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนแม่นางเจียงยังสติปัญญาไม่ดีอยู่เลย แต่หลังจากที่หนีกลับมาจากการถูกขายไปเมื่อครั้งนั้น ไม่เพียงแต่สติปัญญาของเจ้าจะกลับมาเป็นปกติดีแล้ว เจ้ากลับยังชำนาญในการรักษาและการฝังเข็มอีกด้วย เอ่อ… มันออกจะมหัศจรรย์เกินไปหน่อย”

เจียงป่าวชิงรู้ดีว่าคนพวกนี้คงจะสืบเรื่องของนางมาอย่างละเอียดแล้ว ส่วนเรื่องวิธีในการรักษาและการฝังเข็มนั้น นางสามารถนำคำพูดที่ว่า ‘จำมาจากในหนังสือ’ มาหลอกคนที่ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างขอไปทีได้ แต่การหลอกลวงลักษณะนี้ ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับคนที่ฉลาดเฉียบแหลมอย่างพวกเขา

เจียงป่าวชิงเคยจินตนาการถึงสถานการณ์นี้มาก่อน และนางก็คิดคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว จึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “โธ่! ข้าจะบอกพวกเจ้าก็ได้ หลังจากที่สติปัญญาของข้าฟื้นคืนกลับมาแล้ว ข้าก็ออกไปขุดผักป่าเพื่อเอามากินที่ในป่าแห่งนี้ทุกวัน แต่ท้ายที่สุดคงเป็นเพราะข้าโชคดีและได้เจอกับคนวิเศษคนหนึ่ง เขาเห็นว่าโครงกระดูกของข้ามีลักษณะแปลกประหลาด ทั้งยังดูเหมือนสามารถอดทนและสั่งสอนอะไรบางอย่างได้ เขาจึงสอนเทคนิคในการรักษาและการฝังเข็มให้ข้า แต่เพราะเขาเป็นคนวิเศษ เขาจึงไม่อยากให้ข้าใช้ความสามารถเหล่านี้ไปหลอกลวงผู้อื่น เขาขอให้ข้าปกปิดความสามารถของตัวเองไว้และใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ วันนั้น ถ้าหากว่าข้าไม่ได้ตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ชี้ความเป็นความตาย ข้าก็คงจะไม่เปิดโปงทักษะการฝังเข็มของตัวข้าเอง”

นางพูดทั้งหมดนี้จบโดยน้ำเสียงและอารมณ์ที่ดีพร้อม จากนั้นเจียงป่าวชิงก็มองชายหนุ่มบนรถเข็นเล็กน้อย

ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นลางสังหรณ์ของตัวนางเองหรือเปล่า นางมักจะรู้สึกว่าชายหนุ่มบนรถเข็นจ้องมองนางด้วยสายตาที่ว่า ‘ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะแต่งเรื่องออกมาเช่นไร’ อย่างไรอย่างนั้น…

แต่ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะค่อนข้างไร้สาระอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่าเมื่อสืบสาวราวเรื่องอย่างละเอียดแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมเหล่านั้นมักจะชอบอยู่อย่างสันโดษในภูเขาและแม่น้ำ หรือไม่ก็พเนจรไปทุกที่ ไม่แน่อาจมีคนโชคดีเคยเจอคนประเภทนี้จริง ๆ ก็ได้

ไป๋จียังคงรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย “นอกจากเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่ผิดปกติจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเรียนรู้ความสามารถที่ลึกลับและมหัศจรรย์เช่นนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆได้อย่างไร ?”

เจียงป่าวชิงปรบมือด้วยใบหน้าปลื้มอกปลื้มใจ “เจ้าพูดถูก ข้านั้นมีพรสวรรค์ที่ผิดปกติจริง ๆ”

ไป๋จี “…”

แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร หลายวันมานี้ไป๋จีกับเพื่อนร่วมงานของเขาได้ตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กสาวในหมู่บ้านชนบทผู้นี้แล้ว และพบว่าเด็กสาวในหมู่บ้านชนบทผู้นี้เติบโตที่ชีหลี่โวแห่งนี้จริง ๆ และความบริสุทธิ์ของนางสามารถย้อนกลับไปได้สามชั่วอายุคน ทว่าสิ่งเดียวที่แปลกคือนางปัญญาอ่อนมาหลายปี หลังจากตกลงไปในแม่น้ำ จู่ ๆ สติปัญญาของนางกลับฟื้นกลับมาเป็นปกติเสียอย่างนั้น ต่อมาก็ยังเชี่ยวชาญการฝังเข็มที่มหัศจรรย์เช่นนี้อีก

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัยว่าเด็กสาวผู้นี้จะเคยถูกสลับสับเปลี่ยน ‘วิญญาณ’ หรือไม่ แต่ปฏิกิริยาของครอบครัวของนาง รวมถึงครอบครัวของท่านปู่เจียงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ได้ถูกสลับสับเปลี่ยนอะไรอย่างที่เขาคิดไว้ แม้แต่คนที่อคติกับนางก็ล้วนสงสัยว่านางถูก ‘ผีเข้าสิงร่าง’ กันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครสงสัยว่านางจะถูกสลับสับเปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ

ดังนั้น เด็กสาวที่ชื่อว่าเจียงป่าวชิงคนนี้ไม่ใช่กับดักที่ศัตรูจงใจสอดแทรกเข้ามาในตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าความสามารถในการฝังเข็มที่นางมีจะแปลกประหลาดไปบ้าง แต่นางกลับไม่ได้เป็นบุคคลที่น่าสงสัยอะไร

คิดมาถึงตรงนี้ ไป๋จีก็อดไม่ได้ที่จะมองชายหนุ่มบนรถเข็นเล็กน้อย เขาเห็นว่าสีหน้าของชายหนุ่มบนรถเข็นยังคงดูเย้าหยอกเหมือนเดิมแต่กลับไม่ได้พูดอะไร

ทว่าไป๋จีที่ติดตามชายหนุ่มมาเกือบสิบปี กลับเข้าใจความหมายของชายหนุ่มบนรถเข็นเป็นอย่างดี จากนั้นเขาจึงทำสัญญาณมือไปที่เจียงป่าวชิงอย่างเอาจริงเอาจัง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็มาพูดถึงเรื่องที่เจ้าจะขับพิษให้เจ้านายของข้าได้อย่างไรกันดีกว่า”

เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “ข้าสามารถถามคำถามสุดท้ายได้หรือเปล่า ?”

ชายหนุ่มบนรถเข็นพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการบอกใบ้ว่าอณุญาตให้เจียงป่าวชิงถาม

จากนั้นเจียงป่าวชิงก็พูดขึ้น “ข้าปฏิเสธได้ไหม ?”

ชายหนุ่มบนรถเข็นหัวเราะอย่างเย็นชาเล็กน้อย เขาไม่สนใจเจียงป่าวชิงอีก

เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว ๆ อย่างยอมรับชะตาชีวิตตัวเอง

……

เจียงป่าวชิงเดินตามหลังชายหนุ่มบนรถเข็นกับไป๋จี นางยิ่งเดินก็ยิ่งตกใจมากขึ้น ‘เหตุใดถนนเส้นนี้ถึงดูคุ้นหูคุ้นตาขนาดนี้ล่ะ ?  นี่มันถนนที่ทะลุไปบ้านของข้าไม่ใช่รึ ? หรือว่าคนพวกนี้ยังอยากไปคุยเรื่องนี้ที่บ้านของข้า ?’

เปลือกตาของเจียงป่าวชิงกระตุก

ตอนที่มาถึงหน้าบ้านแล้ว เจียงป่าวชิงกำลังจะหยิบกุญแจที่อยู่บนลำคอเพื่อเตรียมไขเข้าไปในบ้าน นางกลับเห็นไป๋จีผลักรถเข็นไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีหยุดลงที่หน้าบ้านนาง

เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงง ‘เจ้าพวกคนเหล่านี้มาบ้านหลังนั้นทำไมกัน ?’

ไป๋จีผลักรถเข็นไปหยุดที่หน้าบ้านที่อยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นเขาก็หันกลับมามองเจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง ทางนี้”

เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ที่จะสบถอยู่ในใจ

ที่แท้บ้านที่รกร้างมานานหลายปีที่จู่ ๆ กลับถูกซื้อและซ่อมแซมอย่างกะทันหันหลังนั้น เป็นฝีมือของพวกเขาอย่างนั้นหรือ ?

เพื่อนบ้านที่นางตั้งใจว่าถึงตอนนั้นจะไปสานความสัมพันธ์ที่ดีด้วยก็คือพวกเขา…

เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ที่จะสบถในใจอีกหลาย ๆ ครั้ง

ภูมิหลังของไอ้โรคจิตคนนั้นไม่เล็กเลยจริง ๆ เขาส่งคนมาจับตาดูนางยังไม่พอ ในขณะที่รู้ว่านางย้ายกลับมาอยู่บ้านเดิม เขายังรีบทำให้บ้านที่อยู่ติดกันหลังนั้นมาอยู่ในกำมือของเขาอีก…

นี่ทำให้นางไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริง ๆ