ตอนที่ 65 ผู้มาเยือน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 65 ผู้มาเยือน

เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นสีหน้าขอไปทีของหวังอาซิ่ง นางก็รู้แล้วว่าหวังอาซิ่งขานรับส่ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง

ช่างเถอะ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของคนอื่น และแขนของนางก็ยื่นได้ไม่ยาวขนาดนั้น

เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร ขณะที่หวังอาซิ่งเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่พี่ชายของเจียงป่าวชิงแทน “จากที่ข้าดูแล้ว ป่าวชิง อย่างไรพี่ชายของเจ้าก็ดีที่สุด ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริง ๆ นะ”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  หวังอาซิ่งพูดถูก เจียงหยุนชานเป็นพี่ชายที่ดีมากจริง ๆ

ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เอาที่ก่อนหน้านี้ที่เจียงหยุนชานยอมสละการเรียนและทิ้งอนาคตของตัวเองเพื่อน้องสาวเพียงคนเดียวอย่างเจียงป่าวชิง คนใจไม้ไส้ระกำและโอ้อวดอย่างนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันใจต่อเรื่องนี้

“เจ้าดูพี่หยุนชานสิ เรียนหนังสือก็ดี แล้วยังดีกับเจ้ามากด้วย” หวังอาซิ่งพูดด้วยความอิจฉาเล็กน้อย “พี่ชายข้านะ วัน ๆ เอาแต่รังเกียจข้า รังเกียจที่ข้าเกิดมาหน้าตาน่าเกลียด บอกว่าข้าผอมและตัวเหลือง และเขายังสั่งให้ข้าทำนู่นทำนี่อีกต่างหาก…” หวังอาซิ่งถอนหายใจด้วยท่าทางใจคอเหี่ยวแห้ง

เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่าควรเกลี้ยกล่อมหวังอาซิ่งอย่างไรในเวลานี้

แต่ยังดีที่สาวน้อยอย่างหวังอาซิ่งปรับอารมณ์ตนเองได้ดี ผ่านไปสักพัก คิ้วและตาของนางก็ยกสูงขึ้น จากนั้นนางก็พูดกับเจียงป่าวชิงเกี่ยวกับเรื่องของเจียงหยุนชาน “ป่าวชิง ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ว่าพี่หยุนชานน่ะดีมากเลยนะ ข้าดูแล้วในหมูบ้านละแวกนี้ไม่มีใครที่ดูดีไปกว่าพี่หยุนชานอีกแล้ว”

เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นท่าทางเบิกบานของหวังอาซิ่ง นางก็สะอึกเล็กน้อย

สาวน้อยอย่างหวังอาซิ่งคงไม่ได้ชอบเจียงหยุนชานหรอกใช่ไหม ?

ไม่กระมัง ?

เด็กคนนี้เพิ่งอายุเท่าไหร่เอง…

เจียงป่าวชิงรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ ต่อการคาดเดาของตัวเองเล็กน้อย ทว่าเมื่อคิดอีกที นางก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก

ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือยุคสมัยที่สามารถแต่งงานได้ตั้งแต่อายุสิบสี่ สิบห้า หรือสิบหกแล้ว! และสาววัยแรกแย้มอย่างน้องอาซิ่งก็ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาอะไรเลย

เจียงป่าวชิงหมดคำจะพูด

ทั้งสองทำงานเย็บปักถักร้อยกันไปสักพัก เมื่อหวังอาซิ่งมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่าง นางก็แทบจะโยนงานเย็บปักถักร้อยทิ้ง “โอ้โห! เวลาล่วงเลยไปเท่านี้แล้วหรือนี่ ?! ไม่ได้การล่ะ ข้าต้องกลับแล้ว ป่าวชิง พรุ่งนี้ข้าค่อยมาเล่นกับเจ้าใหม่นะ”

เจียงป่าวชิงพาหวังอาซิ่งไปส่งที่หน้าบ้าน

สีท้องฟ้าดูแล้วค่อนข้างสายจริง ๆ ด้วย ส่งเสร็จ นางก็กลับไปเย็บมุมเครื่องนอนที่ยังเหลืออยู่อีกนิดหน่อย ตอนนี้เจียงป่าวชิงมีความสุขในใจมาก

ในที่สุดวันพรุ่งนี้ เมื่อตื่นมา นางก็ไม่ต้องจัดการกับหญ้าบนศีรษะเป็นอันดับแรกแล้ว

ทว่านี่ถึงเวลาทำอาหารแล้ว  เนื่องจากห้องครัวเพิ่งซ่อมเสร็จเมื่อวาน จึงยังต้องผึ่งแดดอีกสองสามวัน หลายอย่างยังใช้ไม่ได้ตอนนี้ เจียงป่าวชิงหยิบตะกร้าวัตถุดิบออกไปที่ลานบ้าน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำอาหารเมื่อวานนี้

หลุมที่ขุดเมื่อวานยังอยู่ นางหยิบท่อนไม้สองสามท่อนที่ไหม้หมดแล้วออกมา จากนั้นก็วางฟืนใหม่ลงไปตามด้วยวางหม้อลงไปให้เรียบร้อย สุดท้ายก็รินน้ำสะอาดจากในแม่น้ำลงไปและเริ่มทำการต้มน้ำทันที

เจียงป่าวชิงซื้อเนื้อหมูตากแห้งมาจากตลาดสด นางหั่นเนื้อหมูจนกลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตอนผัดกับข้าวนางก็ใส่เนื้อหมูตากแห้งชิ้นเล็ก ๆ ลงไปหนึ่งกำมือเพื่อทำให้หม้อร้อน และไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันจะหอมขนาดไหน

เจียงป่าวชิงกำลังถือไม้พายและผัดกับข้าวอย่างทะมัดทะแมง จู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากทางเดินข้างหลัง …นั่นเป็นเสียงล้อรถเข็นที่บดกับกิ่งไม้บนพื้นดิน

ในเสียงที่ร้อนฉ่าของกระทะ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน เจียงป่าวชิงรู้สึกเพียงว่าร่างกายของตัวเองกำลังแข็งทื่อ อีกทั้งขนก็ลุกซู่ไปทั้งร่าง

เสียงรถเข็นหยุดลงที่ข้างหลังนางประมาณสองสามก้าว เวลานี้ท้องฟ้าแสนจะมืดสลัว ไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น

ในป่าพุ่มไม้นี้ นอกจากเสียงที่ร้อนฉ่าของกระทะแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก

มือของเจียงป่าวชิงค่อยๆเลื่อนไปคลำที่บริเวณระหว่างเอว จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากด้านหลัง เจียงป่าวชิงเคยเห็นฝีมือของผู้คุ้มกันคนนั้นมาก่อน นางรู้ทันทีว่าหนีไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็หมุนตัวหันไปหาพวกเขา

ในเมื่อครั้งที่แล้ว ไอ้เจ้าคนโรคจิตที่นั่งรถเข็นคนนั้นไม่ได้ฆ่านางให้ตาย ครั้งนี้นางก็คงจะไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตหรอกใช่หรือไม่ ?

และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ  หลังจากที่เจียงป่าวชิงหมุนตัวมา สิ่งที่นางเห็นเป็นอันดับแรกก็คือไอ้เจ้าโรคจิตที่นั่งรถเข็นคนเดิมกำลังมองนางด้วยสีหน้าเย้าหยอก นอกจากนี้ ด้านหลังของรถเข็นยังมีผู้คุ้มกันที่กำลังยืนและวางมือลงบนด้ามดาบที่เอวของเขาอีกด้วย

เจียงป่าวชิงมองผู้คุ้มกันคนนั้นเล็กน้อย นางจำได้ว่าเขาชื่อไป๋จี

นี่คือชื่อของยาจีนชนิดหนึ่งซึ่งสามารถหยุดเลือดได้ แล้วยังลดอาการบวม สร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงยังรักษาบาดแผลได้อีกด้วย

แต่นี่ไม่ใช่คนที่ช่วยชีวิตคนที่กำลังจะเสียชีวิตนี่นา

ดูเหมือนเจียงป่าวชิงจะรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่อยู่บนดาบแหลมคมเล่มนั้น จากนั้นสายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มบนรถเข็น

เนื่องจากมีไฟจากการทำอาหารอยู่ที่ด้านหลังของเจียงป่าวชิง และแสงไฟก็ยังสว่างมากอีกต่างหาก นางจึงสามารถมองเห็นสีหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ได้อย่างชัดเจน

วันนี้เขามาในเสื้อสีเขียวอ่อนพร้อมด้วยมงกุฎหยกบนศีรษะ ใบหน้าองอาจและเกลี้ยงเกลาของเขาดูเลอค่ามาก… หากว่าเมินความหยอกเย้าที่อยู่ในตาของชายหนุ่มคนนี้ไป สำหรับรูปลักษณ์ของชายหนุ่มคนนี้แล้ว เจียงป่าวชิงให้คะแนนเต็มสิบไม่หักเลย

แต่คนที่หน้าตาหล่อเหลาเอาการขนาดนี้ กลับเป็นคนโรคจิตเสียอย่างนั้น คิดได้ดังนั้น เจียงป่าวชิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

“พวกเจ้ามาหาข้า มีธุระอะไรอย่างนั้นรึ ?” เจียงป่าวชิงถามขึ้น

ในความเป็นจริง ตอนที่นางหมุนตัวเมื่อสักครู่ เมื่อได้กลิ่นยาจาง ๆ ที่มาจากบนร่างของผู้คุ้มกันอย่างไป๋จี นางก็เข้าใจได้ในทันที

หลายวันมานี้เป็นอย่างที่นางรู้สึกจริง ๆ ด้วยว่ามีคนอยู่รอบตัวนาง และคงเป็นไป๋จีผู้นี้ที่เฝ้าดูนางอยู่แทบจะตลอดเวลา

สำหรับเจ้านายและลูกน้องคู่นี้ หากว่าพวกเขาเพียงแค่ต้องการเอาชีวิตของนางก็คงจะลงมือไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้หรอก

ชายหนุ่มบนรถเข็นส่งเสียงอย่างไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นไป๋จีที่เป็นผู้คุ้มกันก็พูดขึ้น “แม่นางเจียง ที่เจ้านายของข้ามาหาเจ้าเพราะเรามีธุระจริง ๆ”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า “เชิญพูด”

ตอนนี้มือของนางคลำโดนเข็มที่อยู่ตรงเอวแล้วจึงรู้สึกใจนิ่งมากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มบนรถเข็นมองความคิดของนางออก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยกมุมปากขึ้นอย่างเย้าหยอกแบบนั้น

เจียงป่าวชิงวิงวอนสวรรค์อยู่ในใจ

ไม่ยุติธรรม! ไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ คนโรคจิตที่เห็นชีวิตคนเป็นสิ่งไม่มีค่าเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเหน็บแนมผู้อื่นอยู่ก็ตาม แต่เขากลับหล่อเหลามากจริง ๆ

ไป๋จีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จมูกของเจียงป่าวชิงกลับกระตุกเสียก่อน จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที “ประเดี๋ยวก่อน!”

นางหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่การกระทำของไป๋จีกลับเร็วกว่า และตอนนี้ดาบของเขาก็ออกมาจากฝักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ถึงกระนั้น เจียงป่าวชิงไม่ได้ทำการโจมตีใด ๆ นางเพียงแค่รีบไปพลิกอาหารในหม้ออย่างลุกลี้ลุกลนเท่านั้นเอง “เกือบไหม้แล้วไหมเล่า!” นางบ่นพึมพำ

การเคลื่อนไหวในการจับดาบของไป๋จีแข็งทื่อไปทันที ขณะที่สีหน้าของชายหนุ่มบนรถเข็นก็ค่อนข้างแข็งทื่อเช่นกัน

เจียงป่าวชิงนั่งยอง ๆ นางใช้ดินทรายด้านข้างกลบไฟให้ดับ จากนั้นก็ปัดมือเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยท่าทางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก  ในตอนที่นางหมุนตัวกลับมา นางก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นเล็กน้อย “ข้าทำเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”

ไป๋จีเสียบดาบกลับเข้าไปในฝักรอบเอวด้วยความอดกลั้น “แม่นางเจียง พวกข้าจะคุยธุระสำคัญได้หรือยัง ?!”

เจียงป่าวชิงยื่นมือออกไปเพื่อเชิญให้เขาพูดอีกครั้ง “เชิญพูดได้เลย”

ไป๋จีสูดหายใจเข้าลึก ๆ “แม่นางเจียง ความสามารถในการปักเข็มลงบนตัวของเจ้าสามารถรักษาพิษของเจ้านายข้าได้จริง ๆ อย่างนั้นรึ ?”

เจียงป่าวชิงพูดแก้ให้ถูกต้อง “มันไม่ได้เรียกว่า ‘การปักเข็มลงบนตัว’ แต่เรียกว่าการฝังเข็มต่างหาก”

“ได้ ๆ การฝังเข็มก็การฝังเข็ม” ไป๋จีคล้อยตาม จากนั้นเขาก็มองเจียงป่าวชิงและพูดต่อ “เจียงป่าวชิง เพศหญิง อายุสิบสาม พ่อแม่เสียชีวิต ป่วยเป็นโรคปัญญาอ่อน เคยพักอาศัยอยู่ที่บ้านญาติ แต่ตอนนี้แยกออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว และมีพี่ชายฝาแฝดซึ่งกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนในอำเภอ…”

ได้ฟังมาถึงตรงนี้ เจียงป่าวชิงก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อของตัวเอง