ตอนที่ 64 เรื่องจุกจิกภายในบ้าน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 64 เรื่องจุกจิกภายในบ้าน

เจียงป่าวชิงฟังออกว่านั่นคือเสียงของหวังอาซิ่ง

ได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา หากจะให้บอกตามความเป็นจริง บรรยากาศเมื่อสักครู่ค่อนข้างน่ากลัวอยู่พอสมควร

และตอนนี้ เจียงป่าวชิงก็ต้องการกำลังคนเพิ่มอีกหน่อย

“น้องอาซิ่ง ข้าอยู่ รอเดี๋ยวนะ ข้ากำลังจะไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้” เจียงป่าวชิงขานรับเล็กน้อย นี่ก็ครบเวลาในการฝังเข็มพอดี นางจึงรีบดึงเข็มที่ปักอยู่บนไหล่ออกอย่างรวดเร็ว

เจียงป่าวชิงเดินออกจากห้องและรีบไปเปิดประตูตรงลานบ้านให้หวังอาซิ่ง

หวังอาซิ่งค่อนข้างขี้ขลาดอยู่เล็กน้อย “ข้า… ขะ… ข้ามาดูว่ามีอะไรที่จะสามารถช่วยได้บ้าง” สองมือของนางกำลังบิดมุมเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างจะตื่นตระหนกมาก

เจียงป่าวชิงเชิญหวังอาซิ่งเข้าบ้านอย่างเป็นกันเอง “ตอนนี้ในห้องยังจัดเก็บไม่เสร็จเลย มันค่อนข้างรกไปสักหน่อยนะ เจ้าอย่านึกรังเกียจล่ะ”

ความเป็นกันเองที่เหมือนดังแต่ก่อนทุกประการของเจียงป่าวชิงทำให้หวังอาซิ่งรู้สึกโล่งใจ

ก่อนหน้านี้ที่เจียงป่าวชิงถูกสาดด้วยเลือดหมาดำและถูกใส่ร้ายว่ามีผีร้ายเข้าสิงร่าง เนื่องจากการที่แม่ของนางขัดขวาง นางจึงไม่ได้เข้าไปช่วยเจียงป่าวชิง จากเรื่องนี้ทำให้หวังอาซิ่งรู้สึกมาตลอดว่าตนเองทำผิดต่อเจียงป่าวชิงและเจียงหยุนชาน

แต่เมื่อนางเห็นเจียงป่าวชิงยังคงปฏิบัติกับนางเหมือนแต่ก่อนทุกประการ ทั้งยังไม่ได้สนใจเรื่องนั้น หินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจของนางก็ดูเหมือนจะถูกย้ายออกไปอย่างไรอย่างนั้น นางรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย และสีหน้าของนางก็เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น “ป่าวชิง จัดเก็บยังไม่เสร็จไม่เป็นไรเลย ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว… เจียงป่าวชิง ชุดกระโปรงของเจ้าสวยมากเลยจริง ๆ ซื้อมาจากที่ไหนหรือ ?”

เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะ “ข้าเย็บด้วยเศษผ้าด้วยตนเอง เจ้าว่าสวยไหม ?”

หวังอาซิ่งพยักหน้า นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความอิจฉา “สวยสิ! สวยมากเลย ข้าไม่เคยเห็นใครมีความคิดออกแบบที่เฉียบแหลมขนาดนี้มาก่อนเลย”

เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สองคนเดินเข้าไปในบ้านพร้อมพูดคุยกันไปด้วย เข้ามาในบ้านแล้ว เจียงป่าวชิงก็ขอให้หวังอาซิ่งช่วยกางเครื่องนอนลงบนหญ้าที่อยู่บนเตียง เพราะนางจะทำการเย็บเครื่องนอน

ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงจะถนัดใช้มือขวา แต่ใช่ว่ามือซ้ายจะใช้ไม่ได้เลย มันก็พอจะยังใช้ใส่เข็มและเย็บพวกเครื่องนอนได้บ้าง แต่เจียงป่าวชิงจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมก็ถนัดใช้มือขวาเช่นกัน จู่ ๆ ถ้าหากนางใช้มือซ้ายก็กลัวว่าตัวเองจะเผยพิรุธต่อหน้าหวังอาซิ่ง จึงทำการใช้มือขวาที่ยังไม่ค่อยคล่องแคล่ว

หวังอาซิ่งรู้ว่าเจียงป่าวชิงได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา เมื่อเห็นว่าเจียงป่าวชิงเย็บเครื่องนอนอย่างไม่ค่อยกระฉับกระเฉงมากนัก นางจึงรีบเข้าไปรับเข็มมา จากนั้นก็หันหน้าออกนอกหน้าต่างและเริ่มทำการเย็บทันที

หวังอาซิ่งก็ทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ที่บ้านเช่นกัน ฝีมือนางก็ถือว่าใช้ได้ นางกับเจียงป่าวชิง ทั้งสองคนเย็บกันคนละมุม พวกนางเย็บเครื่องนอนไปด้วยและพูดคุยกันไปด้วย

“วันนี้โชคดีที่พี่สะใภ้ของข้ากลับบ้านแม่ของนาง ไม่อย่างนั้นข้าก็คงออกมาไม่ได้” หวังอาซิ่งพูดบ่น “ตั้งแต่ที่พี่สะใภ้ของข้าท้องลูกคนนี้ ชีวิตนางก็ไม่ง่ายเลย ท่านแม่ข้าก็เคร่งเกินไป ไม่ยอมให้พี่สะใภ้หยิบจับอะไรทั้งนั้น ทั้งยังไม่ให้พี่สะใภ้ลงจากเตียงอีกด้วยนะ”

เจียงป่าวชิงที่กำลังเย็บเครื่องนอนเผลอพูดออกไป “การตั้งครรภ์ ถ้าหากว่าไม่ได้เดินเลยมันก็ไม่ได้ การออกไปเดินข้างนอกบ้างจะเป็นผลดีต่อการคลอดลูกนะ”

พูดประโยคนี้จบ นางก็เห็นหวังอาซิ่งกำลังมองนางด้วยความตกตะลึง “ปะ… ป่าวชิง เหตุใดเจ้าถึงได้รู้เยอะขนาดนี้ล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงเหงื่อตกทันที นางเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพูดเยอะเกินไปแล้ว จึงรีบพูดบ่ายเบี่ยงหวังอาซิ่ง “อ้อ… เอ่อ… เมื่อก่อนตอนที่ข้ายังปัญญาอ่อน สะใภ้เล็กสะใภ้ใหญ่ในหมู่บ้านพวกนั้นไม่ปฏิบัติกับข้าเหมือนเด็กปกติ พวกนางมักจะพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าข้า ข้าก็เลยจำได้”

เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดโกหกเลย ในความจริงมันก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ เมื่อก่อนตอนที่เจ้าของร่างเดิมยังปัญญาอ่อน ตอนที่ใครหลายคนในหมู่บ้านคุยเล่นกัน พวกเขามักจะไม่สนใจเจียงป่าวชิง บางครั้งพวกเขาถึงกับจงใจพูดเรื่องบนเตียงของสามีภรรยาต่อหน้านาง เพื่อจะได้หัวเราะเยาะเจียงป่าวชิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างไรล่ะ

และแน่นอนว่าหวังอาซิ่งก็เข้าใจสถานการณ์นี้เช่นกัน นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของเจียงป่าวชิง “อืม… บางครั้ง พวกคนปากพล่อยพวกนั้นก็มักจะรังแกคนอื่นด้วยวิธีนี้ และจงใจพูดในสิ่งที่เราไม่ควรฟัง… หลาย ๆ คนก็เคยหัวเราะเยาะบ้านข้าต่อหน้าข้าเช่นกัน บอกว่าสะใภ้บ้านข้าล้ำค่ามาก พอท้องแล้วก็ไม่ลงจากเตียง สะใภ้บ้านอื่นท้องแต่ก็ยังไปทำไร่ทำนาได้ตามปกติ และยังมีคนอีกมากมายที่ท้องโตแต่ยังคงทำงานจนหัวหมุนอะไรทำนองนั้น ท่านแม่ข้าก็เคยถูกพวกนางหัวเราะเยาะจนเงยหน้าไม่ขึ้นเลยทีเดียว ตอนนี้ถึงจะให้พี่สะใภ้ข้ากลับไปที่บ้านท่านแม่ของนางดูน่ะ”

เจียงป่าวชิงฟังเด็กน้อยพูดบ่นเรื่องจุกจิกภายในบ้านไปด้วย และนางก็เย็บเครื่องนอนอย่างรวดเร็วไปด้วย ตอนนี้นางรู้สึกสงบในใจมาก

เมื่อพูดถึงเรื่องพี่สะใภ้ ก็ดูเหมือนว่าหวังอาซิ่งจะอดกลั้นอารมณ์อยู่พอสมควร นางพูดบ่นเรื่องในบ้านกับเจียงป่าวชิงอยู่อย่างนั้น “นี่นะ พี่ชายของข้าก็เหมือนกัน พี่สะใภ้ข้าท้องไม่ใช่เขาท้องสักหน่อย เขาน่ะ เอาแต่บอกว่าต้องอยู่ดูแลพี่สะใภ้ข้าที่บ้าน งานการในไร่นาก็ไม่ไปทำ มีท่านพ่อกับท่านแม่ของข้านี่แหละที่ทำอยู่ บางครั้งข้าเองก็ยังต้องไปลงนาเลย ข้าว่านะ ถ้าถึงตอนนั้นบางทีเเม้แต่อาหลิวเองก็อาจจะต้องไปลงนาเช่นกัน แต่พี่ชายข้า เขาก็ยังคงอยู่ที่บ้านและไม่ทำอะไรเลยเหมือนเดิม”

อาหลิวเป็นน้องชายคนเล็กของหวังอาซิ่ง ปีนี้เขายังไม่ครบหนึ่งขวบเลยด้วยซ้ำ

เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “นั่นไม่ได้นะ!”

“ใช่! ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” หวังอาซิ่งราวกับหาคนรู้ใจเจอทำนองนั้น นางรู้สึกโกรธแค้นอย่างเต็มอก

แต่แม้ว่าเด็กน้อยจะพูดบ่นอย่างไร งานเย็บในมือนางกลับไม่ช้าลงเลย นางเย็บได้คล่องแคล่วและว่องไวมาก ดูก็รู้ว่าตอนอยู่ที่บ้านนางก็ทำงานไม่น้อยเลย

“แต่คนในบ้านก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว พอพี่ชายข้าบอกว่าพี่สะใภ้ลูกหลุดไปหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้จะต้องดูแลให้ดี ๆ… แล้วเขาก็ยกธงขี้เกียจทั้งอย่างนั้น” หวังอาซิ่งเผลอพูดบ่นออกมายาว ๆ

คนพูดพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่คนฟังกลับรู้สึกได้ถึงความหมายลึกซึ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงป่าวชิงได้ยินหวังอาซิ่งพูดเรื่องที่พี่สะใภ้ของนางลูกหลุดไปหลายคน

ได้ยินดังนั้น ในใจของนางก็ราวกับมีอะไรมากระทบกันทันที เจียงป่าวชิงทำเป็นถามหวังอาซิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ “น้องอาซิ่ง พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเจ้าแต่งงานกันมากี่ปีแล้วรึ ?”

หวังอาซิ่งเอียงศีรษะครุ่นคิดสักครู่ “น่าจะสามปีได้แล้วกระมัง”

สามปีที่ลูกหลุดไปหลายคนแล้ว!

เจียงป่าวชิงแทบจะหยุดหายใจทันที  นี่เป็นการแท้งจนเป็นนิสัยแล้วอย่างนั้นหรือ ?

ในหมู่บ้านไม่มีมาตรการคุมกำเนิดเสียด้วยสิ รักษาตัวยังไม่หายดีก็ท้องลูกคนต่อไปแล้ว ทั้งยังแท้งครั้งแล้วครั้งเล่าอีกด้วย เป็นเช่นนี้ถือว่าไม่ดีสำหรับทั้งผู้ใหญ่และเด็กในท้องเลย

เจียงป่าวชิงพยายามหวนรำลึกถึงเรื่องครอบครัวของหวังอาซิ่ง  ตั้งแต่นางมาที่นี่ก็แทบจะไม่เคยเห็นพี่สะใภ้ของหวังอาซิ่งเลย  แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเหมือนจะเคยเห็นบ้าง ซึ่งดูเหมือนกระดูกอะไรจะยังคงดีอยู่

ทว่าถึงจะดีอย่างไร การที่แท้งลูกครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ก็ไม่ไหวเอาเสียเลย

เจียงป่าวชิงลอบถอนหายใจในใจ นางครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นก็พูดกับหวังอาซิ่งว่า “น้องอาซิ่ง สุขภาพร่างกายของพี่สะใภ้เจ้ายังดีอยู่ใช่หรือไม่ ?”

หวังอาซิ่งรู้สึกงุนงงเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เจียงป่าวชิงถึงได้ถามเช่นนี้ แต่นางก็ยังคงพยักหน้าด้วยความงุนงงอยู่ดี “พี่สะใภ้ข้าไม่ค่อยป่วย ถือว่ายังแข็งแรงดีอยู่ แต่ตอนนี้นางท้อง ดูเหมือนสีหน้าของนางจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก”

เจียงป่าวชิงเตือนนางอย่างนิ่มนวล “ถ้ามีอะไรผิดปกติ เจ้าต้องรีบพาไปตรวจที่สถานที่ให้บริการรักษาโรคในอำเภอเลยนะ”

ได้ยินดังนั้น หวังอาซิ่งกลับรู้สึกหวาดกลัว “สถานที่ให้บริการรักษาโรคนั้นคิดเงินราคาสูงมาก อีกอย่าง พี่สะใภ้ของข้าก็เหมือนจะไม่ได้เป็นรุนแรงขนาดนั้นหรอก”

เจียงป่าวชิงทำได้เพียงถอนหายใจ ดูเหมือนผู้คนในหมู่บ้านละแวกนี้จะมีความคิดที่แน่นอนว่าถ้าหากไปสถานที่ให้บริการรักษาโรคก็เท่ากับว่าป่วยจนรักษาไม่ได้แล้วทำนองนั้น

“ข้าได้ยินคนในหมูบ้านบอกว่าการตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องเล็ก อีกอย่าง พี่สะใภ้เจ้าก็เป็นคนที่แท้งลูกมาแล้วหลายครั้ง ถึงตอนนั้นหากว่ามันสายเกินไปก็คงต้องเสียใจทีหลังแล้ว” เจียงป่าวชิงพยายามพูดเตือนให้นิ่มนวลที่สุด

ถึงแม้หวังอาซิ่งจะดีกับเจียงป่าวชิง แต่ความคิดในหัวของนางก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนไปได้ทันที นางคิดในใจว่าไม่จำเป็น ทว่าเมื่อเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของเจียงป่าวชิง นางก็คิดว่ามันไม่คุ้มที่จะทะเลาะกับเจียงป่าวชิงเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว

อีกอย่าง ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร คนที่บ้านก็คงไม่ฟังนาง หวังอาซิ่งลังเลใจอยู่สักครู่ สุดท้ายนางก็ขานรับเจียงป่าวชิง “อื้ม ข้ารู้แล้ว”

.