ตอนที่ 63 กลับหมู่บ้าน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 63 กลับหมู่บ้าน

ข้ารับใช้ผู้นั้นราวกับได้ยินเรื่องน่าขันทำนองนั้น เขาใช้ปลายเท้าถีบป้าตู่ที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเสียดสีใส่นางอีกครั้ง “ก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าหลานสาวของเจ้าถูกขายเข้ามาเป็นสาวใช้บ้านพวกข้าด้วยเงินยี่สิบตำลึง และนางไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบ้านเจ้าแล้ว อย่ามารวบกวนหน้าด้าน ๆ! หากยังเป็นเช่นนี้อีก เห็นทีตระกูลหยางของพวกข้าคงต้องรายงานต่อทางการแล้ว!”

ลูกตาของป้าตู่หมุนไปมาอยู่ในเบ้าตา นางยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามกลับอยู่เหนือกว่านาง

ป้าตู่เป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี เห็นดังนั้นนางก็ค่อย ๆ หยุดดิ้นรนช้า ๆ

ข้ารับใช้คนนั้นคิดว่าป้าตู่ฟังเข้าใจแล้ว เขาจึงส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็หมุนตัวเข้าไปในประตูสีแดงสดบานนั้นและปิดประตูอย่างแน่นหนาทันที

คนที่เดินถนนที่มีจิตใจดีได้เข้ามาแก้มัดเชือกให้ป้าตู่ จากนั้นก็เตือนนาง “นี่ป้า ข้าขอเตือนป้าว่าอย่าไปมีเรื่องกับตระกูลหยางเลย พวกเขามีคนเบื้องบนคอยคุ้มกันอยู่เยอะเชียว”

ป้าตู่ทำไร่ทำนาอยู่ที่ชนบทจนชินแล้ว ร่างกายของนางจึงแข็งแรงมากเป็นพิเศษ นางลุกขึ้นมาจากบนพื้นโดยไม่เป็นปัญหาอะไร เอามือเท้าสะเอว จากนั้นก็ถ่มน้ำลายไปทางประตูสีแดงสดบานนั้นและตะคอกออกมาด้วยความโกรธเคือง “เหอะ! ข้ารับใช้กระจอก ๆ อย่างเจ้ายังกล้ามาขวางข้าอีก หลานสาวข้าไม่ใช่สาวใช้ธรรมดา นางเป็นถึงคนที่คอยปรนนิบัติเวลาเจ้านายตระกูลหยางหลับเชียวนะ! รอให้หลานสาวข้าได้อำนาจก่อน ถึงเวลานั้นข้าจะเล่นงานเจ้าให้หนัก!”

เมื่อคนเดินถนนเห็นดังนั้น ก็พากันส่งเสียงอย่างเหนื่อยใจและรู้ว่าป้าคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร จากนั้นจึงรีบพากันเดินจากไปทันที

คนในละแวกนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเจ้านายตระกูลหยาง เขาเป็นคนรับหิ้วของและเพิ่งมาที่อำเภอฉือเจียได้หนึ่งเดือน แต่หนึ่งเดือนนี้ ชื่อเสียงของเขาก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว

ผู้คนที่นี่เล่ากันว่าเจ้านายตระกูลหยางคนนี้มีนิสัยเหี้ยมโหดมาก เขามาที่อำเภอฉือเจียได้ไม่นาน แต่ในบ้านของเขามีเรื่องราว มีผู้คนเห็นว่ามีการแบกศพออกไปแล้วถึงสองศพ…

ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงบ้านใดก็ตามที่รักครอบครัว แม้ว่าจะยากจนข้นแค้นถึงขั้นส่งลูกสาวมาเป็นสาวใช้ในครอบครัวใหญ่ ก็จะไม่กล้าส่งมาที่ตระกูลหยางเด็ดขาด

หญิงชราคนนี้ใจแข็งมาก นางถึงกับลงนามในสัญญาตายเพื่อขายหลานสาวของตัวเองมาที่นี่ แล้วยังให้หลานสาวมาเป็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติเป็นพิเศษอีกต่างหาก ถือว่านางใจดำอำมหิตอยู่พอสมควร

พวกเขาอยู่ห่าง ๆ นางไว้จะดีกว่า

ป้าตู่ไม่สนใจว่าคนที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่พวกนั้นจะคิดอย่างไร นางยังคงก่นด่าใส่ประตูบานนั้นต่อไป เมื่อเห็นว่าประตูมีการเคลื่อนไหวเหมือนกำลังจะเปิดออกอีกครั้ง นางก็ตกใจและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

เจียงป่าวชิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ เดินจากไป

นี่เป็นยุคสมัยกินคน ‘เธอ’ นั้นเป็นเพียงดอกแหนดอกหนึ่งที่บุกเข้ามาในยุคสมัยนี้โดยบังเอิญ และยังคงเป็นปัญหาในการป้องกันตัวเองจากในสภาวะที่สั่นไหวตามแรงลม ‘เธอ’ จะไปสนใจสิ่งอื่น ๆ ได้ที่ไหนกันล่ะ ?

เจียงป่าวชิงซื้อของมากมายอย่างคล่องแคล่ว ถ้าเป็นของชิ้นใหญ่นางจะขอให้ร้านค้านำไปส่งที่รถล่อของซุนต้าหูที่อยู่นอกกำแพงเมือง ส่วนถ้าเป็นของชิ้นเล็กก็จะหิ้วเอง เพราะไม่ได้หนักอะไรมากมาย

ตอนที่ออกมาจากในเมือง กว่าจะถึงช่วงบ่ายก็ยังเหลือเวลาอยู่เล็กน้อย

บนรถล่อของซุนต้าหูมีของที่นางซื้อมากองไว้อยู่ ซุนต้าหูจุ๊ปากอย่างชื่นชม จากนั้นเขาก็แอบถามเจียงป่าวชิงเสียงเบา “ป่าวชิง เจ้ายังมีเงินพอไหม ?”

ถึงแม้ว่าของจะเยอะ แต่ส่วนมากล้วนเป็นของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันทั้งนั้น อีกอย่าง ราคาก็ไม่ได้แพงอะไร ซึ่งถ้ารวมกับเศษเงินที่เกิ่งจื่อเจียงให้มาก่อนหน้านี้ ลองคำนวณดูก็ถือว่าเจียงป่าวชิงยังมีเงินเหลืออีกมากเลยทีเดียว

เจียงป่าวชิงพยักหน้าให้ซุนต้าหู จากนั้นก็พูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่ต้าหู เงินยังพอเจ้าค่ะ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

ป๋ายรุ่ยฮัวที่กลับมาจากการไปขายงานเย็บปักถักร้อยและไปรับงานมาเพิ่มเห็นเจียงป่าวชิงกำลังยืนซุบซิบอยู่กับซุนต้าหู นางมองไปที่กองสิ่งของเบ็ดเตล็ดที่วางอยู่บนรถ เห็นดังนั้น นางก็กอดเฟิ่งเอ๋อร์แน่นขึ้นทันที

ป้าตู่มาช้าที่สุด นางก้มหน้า สายตาของนางก็หลุบลงต่ำเช่นกัน นางเม้มริมฝีปากแน่นและไม่ได้พูดอะไร เมื่อนั่งลงบนรถได้ นางก็ไม่สนใจใครอีกเลย

เมื่อคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็พากันนึกถึงท่าทางปากคอเราะรายของนาง แต่ก็ยากที่จะโต้เถียงเรื่องเมื่อก่อนกับนาง

ซุนต้าหูสลัดแซ่ จากนั้นเขาก็ขับไล่รถล่อให้ไปที่ในภูเขา

ตอนที่มาถึงชีหลี่โว รถล่อก็จอดตรงทางเข้าหมู่บ้านเช่นเดิม และหลังจากที่ผู้คนแยกย้ายกันกลับไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว ซุนต้าหูก็บังคับรถล่อเพื่อพาเจียงป่าวชิงไปส่งที่บ้านใหม่ จากนั้นเขาก็ช่วยเจียงป่าวชิงย้ายของที่ซื้อมากจากในอำเภอไปวางไว้ในห้องที่ใช้เก็บของใช้จิปาถะชั่วคราว

เจียงป่าวชิงขอบคุณซุนต้าหู ซุนต้าหูจึงเกาศีรษะด้วยความขวยเขิน จากนั้นเขาก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คำว่าขอบคุณออกจะห่างเหินไปสักหน่อย หากว่าน้องป่าวชิงมีอะไรให้ช่วยก็มาหาข้าได้เลย”

เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “อันที่จริงแล้ว ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือจากพี่ต้าหู”

ซุนต้าหูตาเป็นประกายทันที ยากที่จะปกปิดความดีใจไว้ได้ “น้องป่าวชิง เจ้าพูดมาได้เลย”

เจียงป่าวชิงพูดต่อ “พี่ต้าหูรู้จักคนเยอะ รบกวนพี่ช่วยถามให้ข้าหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าบ้านใครมีลูกหมาตัวเล็กบ้าง ข้าอยากซื้อมาไว้เฝ้าบ้านสักตัว”

ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง

ซุนต้าหูแทบตบหน้าอกเพื่อรับประกันอยู่แล้ว “อย่าพูดว่ารบกวนอะไรเลยน้องชิง ที่หมู่บ้านในชนบทของเรา ถ้าในบ้านมีหมาเยอะก็ใช่ว่าจะเลี้ยงดูได้ง่าย ๆ พวกมันกินอาหารเยอะจนมีหลายคนที่อยากให้คนอื่นมาอุ้มไปสักตัวสองตัว อืม… ข้าจำได้ว่ามีอยู่สองสามบ้านที่ดูเหมือนจะมีหมาตัวเล็กอยู่ในบ้าน ประเดี๋ยวข้ากลับไปให้อาหารล่อเสร็จ ข้าค่อยไปถามให้เจ้าก็แล้วกัน”

เจียงป่าวชิงรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ต้าหูหน่อยนะเจ้าคะ”

ซุนต้าหูส่งเสียงอุทานเล็กน้อย จากนั้นเขาก็โบกมือและรีบกลับไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ซุนต้าหูกลับไปแล้วก็เกิดความเงียบขึ้นในลานบ้าน ซึ่งเดิมทีที่นี่ก็เป็นที่ที่สันโดษอยู่แล้ว

เจียงป่าวชิงมองบ้านข้าง ๆ ที่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ ดูเหมือนว่าจะซ่อมแซมเกือบเสร็จแล้ว หญ้าในลานบ้านก็สะสางจนสะอาดเรียบร้อยแล้วด้วย แม้จะดูสะอาดเรียบร้อยอยู่พอสมควร แต่มันกลับว่างเปล่ามาก

รอให้เพื่อนบ้านย้ายเข้ามาแล้ว นางถึงจะค่อยไปทักทายและเริ่มสานความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดไปด้วยและเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านไปด้วย  ตอนนี้แผลที่ไหล่ของนางหายดีประมาณหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากเป็นแผลที่ทะลุไหล่ ทำให้เส้นเลือดได้รับบาดเจ็บอยู่พอสมควร ตอนนี้คาดว่างานประณีตละเอียดอ่อนเช่นการตัดเย็บเสื้อผ้ายังไม่สามารถทำได้ แต่สามารถเย็บเครื่องนอนอะไรได้บ้างแล้ว

แม้ว่าท้องฟ้ายังคงสว่าง แต่ในบ้านกลับค่อนข้างมืดอยู่พอสมควร เจียงป่าวชิงหยิบเทียนไขออกมาจุดไฟ จากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมาจากในหน้าอกและหยิบเข็มหนึ่งกำมือออกมาจากข้างในอย่างระมัดระวัง

นี่เป็นเข็มที่ซื้อมาจากร้านเย็บปักถักร้อยที่อยู่ในอำเภอ มันละเอียดกว่าเข็มที่ขายโดยพวกพ่อค้าหาบเร่ในหมู่บ้านเสียอีก ทั้งยังมีการแยกขนาดให้อีกด้วย

เจียงป่าวชิงเผาเข็มลงบนกองไฟอย่างระมัดระวัง ซึ่งถือว่าเป็นการฆ่าเชื้อโรคไปในตัว นางปลดเสื้อผ้าออกอย่างกระฉับกระเฉงก่อนจะหยิบเข็มขึ้นมาด้วยมือซ้าย จากนั้นก็แทงลงไปบนไหล่ซ้ายทีละอัน

ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะยากลำบากและไม่มีเงื่อนไขอะไร แต่มันก็จำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขเพื่อทำให้ตนเองกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เพราะเจียงป่าวชิงไม่อยากกลายเป็นจอมยุทธ์ที่มีแขนข้างเดียวในอนาคต

หลังจากที่ฝังเข็มเสร็จแล้ว เจียงปาวชิงก็มองเข็มที่ฝังไปรอบ ๆ จุดฝังเข็มบนไหล่ขวาของตัวเอง จากนั้นก็พูดในใจว่า ‘หากว่าต่อไปข้ามีเงื่อนไขแล้ว ข้าจะต้องไปที่ร้านขายเครื่องเงินเพื่อสร้างชุดเข็มพิเศษสำหรับตัวข้าเองสินะ’

สายลมพัดผ่านระเบียงหน้าต่าง การกระทำของเจียงป่าวชิงหยุดชะงักทันที  ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร นางมักจะรู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังกลับไม่พบใคร

เมื่อสักครู่ตอนที่สายลมพัดผ่านมา นางก็ได้กลิ่นจาง ๆ กลิ่นหนึ่งเช่นกัน…

กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่จางมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่านางรู้จักกลิ่นของสมุนไพรต่าง ๆ เป็นอย่างดีตั้งแต่ในอดีต และรู้สึกไวต่อกลิ่นต่าง ๆ เล็กน้อย นางก็คงจะพลาดกลิ่นเมื่อสักครู่ไปแล้ว

เจียงป่าวชิงกลั้นหายใจเพื่อตั้งใจฟังการเคลื่อนไหวสักครู่ ในบริเวณรอบ ๆ นี้เงียบมาก มีเพียงเสียงร้องของแมลงและนกเป็นครั้งคราวเท่านั้น ฟังดูแล้วไม่เหมือนกับว่ามีใครอยู่รอบ ๆ นี้เลย

และในขณะนั้นเอง ประตูไม้ด้านนอกก็ถูกใครบางคนเคาะ จากนั้นก็มีคนเรียกเจียงป่าวชิงด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างขลาดกลัวอยู่เล็กน้อย “ป่าวชิง เจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า ?”