ตอนที่ 53 ซั่งกวนอวี่ไข่

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เป็นดั่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาด หลังจากที่นางออกมาจากอารามสัตตบุษย์ไม่นาน เรื่องที่นางไปเยือนอารามสัตตบุษย์นั้นก็ล่วงรู้ไปถึงหูของคนในตระกูลซั่งกวน ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนทั่วป๋าซู่เยวี่ยเพียงยิ้มเจื่อนๆ ออกมาเท่านั้น ไม่คิดใส่ใจอะไรมาก หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเผยยิ้มอย่างขมขื่น ในใจนั้นเอ็นดูลูกสะใภ้ที่ตั้งหน้าตั้งตารอผู้นี้มากขึ้นไปอีก…เด็กที่ไม่มีแม่ คงจะผ่านความลำบากมามาก จึงได้ปล่อยวางเรื่องทางโลกราวกับเป็นหญิงแก่เช่นนี้ ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ส่วนอนุภรรยาอู๋นั้น กลับยินดีอยู่บ้าง…แม้ว่าเด็กอู๋เลี่ยนเยี่ยนคนนั้นจะไม่เอาไหน ถึงกับทรยศในช่วงที่สำคัญเสียอย่างงั้น แต่เพราะว่าเช่นนี้ นางก็คงไม่อาจซื่อสัตย์อะไรกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ปล่อยวางเรื่องทางโลกได้อย่างจริงๆ ก็คงมิวายจะปฏิบัติกับซั่งกวนเจวี๋ยอย่างจืดชืดเป็นแน่ เช่นนั้นนางก็จะมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง ถึงเวลานั้น…ดูท่าแล้ว อนาคตที่สดใสก็คงจะรออยู่ตรงหน้า!

กระนั้นอนุภรรยาอู๋ก็ไม่มีเวลาจะไปทำเรื่องใดทั้งนั้น หากจะทำอะไร ก็ทำได้เพียงรอหลังจากงานแต่งเท่านั้น เพราะเรื่องในมือของนางยามนี้ก็ยุ่งจนแทบสุมหัวอยู่แล้ว

งานแต่งงานของคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนนับเป็นเรื่องใหญ่ เพียงแค่ทั้งสองตระกูลเพิ่งจะเริ่มพูดคุยกันเรื่องแต่งงาน ก็ได้ลงมือตระเตรียมงานล่วงหน้าแล้ว การส่งผู้ใหญ่ฝ่ายชายไปทาบทาม การผูกดวงชะตา การเสี่ยงทาย การมอบสินสอด ใช้เวลาเกือบครึ่งปีในการดำเนินเรื่อง ในขณะเดียวกันช่วงเวลานี้ยังจัดการร่างรายชื่อแขกที่จะชวนมาร่วมงาน ทั้งส่งคนที่เหมาะ สมไปส่งคำเชิญและรอรับการตอบกลับของอีกฝ่าย (ตระกูลมีใครบ้าง จะมางานเลี้ยงเมื่อไร เป็นต้น) จะต้องตรวจสอบอย่างจริงจัง จากนั้นก็จัดตำแหน่งที่นั่งในงานเลี้ยง นอกเหนือจากแขกของลี่โจวแล้ว ยังต้องอาศัยจากฐานะ ตำแหน่งการงาน และความคุ้นเคยของแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ ในการจัดที่นั่งหรือไม่ก็จัดตามระเบียบพิธีการ นั่นนับเป็นขั้นตอนหลักของงาน

ก่อนเดือนสอง ส่วนมากจะมีแขกพวกไหนมางานบ้าง พวกเขาเป็นใครในตระกูล ฐานะของคนพวกนี้ล้วนแต่รวบรวมไว้หมดแล้ว จัดเก็บไว้อย่างชัดเจน ยามนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือจัดการเรื่องงานต้อนรับ

แขกของตระกูลซั่งกวนแบ่งเป็นสามประเภทใหญ่ๆ ประเภทแรกเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนม ที่ต้องจัดไว้อันดับแรกคือตระกูลเก่าแก่ร่ำรวย ตระกูลขุนนาง บุคคลที่มีชื่อเสียง สหายที่สนิทเป็นการส่วนตัวหรือญาติพี่น้องเรือนเคียง ประเภทที่สอง พวกที่พอจะนับเป็นตระกูลเก่าแก่หรือขุนนาง มีหน้ามีตาในลี่โจวแต่ไม่ถึงกับสนิทชิดเชื้อมาก คิดอยากจะคุ้นเคยกับตระกูลซั่งกวนก็ต้องใช้เส้นสายหาวิธีรับคำเชิญ สนิทเพียงผิวเผินหรืออาจเป็นญาติที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ส่วนประเภทที่สาม พวกที่ความสัมพันธ์ตื้นเขินหรือกระทั่งมองข้ามได้ ไม่มียศตำแหน่งอันใด ไม่ได้เชิญก็มาถึงเอง

อนุภรรยาอู๋มีฐานะเช่นไร แขกประเภทที่หนึ่งนางไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะต้อนรับ นั่นเป็นเรื่องภายในของซั่งกวนฮ่าวและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ส่วนแขกประเภทที่สาม นางก็ไม่มีความจำเป็นที่ลดตัวไปดูแล ย่อมต้องมีผู้ดูแลโดยเฉพาะคอยรับผิด ชอบ และก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง ที่เหมาะสมกับสถานะของนาง ก็มีเพียงแขกประเภทที่สองที่จำเป็นต้องให้นางออกหน้ากล่าวต้อนรับเท่านั้น

คนเหล่านี้แม้จะเป็นแขกที่เดินทางมาร่วมเพราะได้รับคำเชิญของตระกูลซั่งกวน แต่คำเชิญในมือของพวกเขากลับต้องพิถีพิถันเป็นอย่างมาก หากเป็นตระกูลขุนนาง ข้าราชบริพาร ทำงานหนักมาหลายปี ก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน มีตำแหน่งหรือชื่อเสียงในพื้นที่เล็กๆ (พื้นที่เล็กๆ ก็หมายถึงลี่โจว) ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็มีสายสัมพันธ์อยู่บ้าง เป็นคนในพื้นที่ โอกาสที่จะเจอหน้าย่อมมีมาก ตระกูลซั่งกวนก็ส่งคำเชิญ หากเป็นคนที่เพิ่งจะมีหน้ามีตา มีแนวโน้มว่าจะไปได้ไกลในอนาคตข้างหน้า กระนั้นกลับยังขาดเรื่องความสัมพันธ์อยู่บ้าง คนพวกนี้มักจะหาวิธีใช้เส้นสาย ‘แสดงความจริงใจ’ ให้ตระกูลซั่งกวนส่งคำเชิญ หยิบยืมโอกาสเพื่อสร้างความสัมพันธ์ หากเป็นลูกนอกสมรสที่ออกจากตระกูลไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง หรือ ‘ญาติ’ ในยามปกติที่ไม่มีคุณสมบัติพอให้เข้ามาที่ตระกูลซั่งกวน ก็จะฉกฉวยมาโอกาสนี้ ซึ่งคนในตระกูลของอนุภรรยาอู๋ก็อยู่จำพวกนั้นเช่นกัน

แขกประเภทที่สามน่าจะต้อนรับง่ายที่สุดแล้ว ที่อยู่ที่พักก็จัดการกันเอง ทั้งที่นั่งยังอยู่รอบนอกสุดของตระกูลซั่งกวน เป็นโต๊ะที่กินกันตามสบาย ไปมาได้ตามสะดวก ไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับหรือไปส่ง หากซาบซึ้งน้ำใจ ก็อาจทิ้งนามไว้ให้ผู้ดูแลที่นั่นเป็นหลักฐานว่า ‘ครั้งหนึ่งเคยมาเยือนที่นี่’ เมื่อวันนั้นมาถึง คนใดคนหนึ่งในตระกูลซั่งกวนอาจจะสนใจขึ้นมา หรืออาจจะพลิกเปิดดูโดยไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่เข้ามาร่วมดื่มกินในงานเลี้ยง เช็ดปากแล้วก็ไป ไม่มีใครคิดจะตามเก็บเงินทั้งนั้น เดิมทีก็นับเป็นเพียงแขกที่สัญจรผ่านไปผ่านมาเท่านั้น

แขกประเภทที่หนึ่งก็ต้อนรับง่ายเช่นกัน ตระกูลที่มีตำแหน่งมีหน้าตาและตระกูลขุนนาง พวกเขาล้วนแต่พาคนที่บ้านมาร่วมงานด้วยกันตามเป็นขบวน ทั้งล่วงหน้ามาลี่โจวก่อนเจ็ดแปดวัน พวกเขาส่วนมากต่างก็มีกิจการเป็นของตนเองที่ลี่โจว  หากเป็นตระกูลใหญ่ ก็จะพักในตระกูลของตนเอง ในงานเลี้ยงแต่งงานวันนั้น แค่โผล่หน้ามาก็พอแล้ว ส่วนเวลาอื่นก็ไปมาหาสู่กันบ้าง หยิบยืมโอกาสที่ไม่ได้พบเพื่อนเก่ามานานไปดื่มเหล้า พูดคุยกันก็ดีไม่น้อย หากเป็นตระกูลเล็กไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ก็พำ  นักอยู่เรือนทางเหนือหรือเรือนทางใต้ของตระกูลซั่งกวน โดยส่วนมากพวกเขาก็มักจะเคยเป็นแขกของตระกูลซั่งกวนมาก่อน พำนักที่ไหน ต้องการเครื่องเรือนแบบใด ผู้ดูแลล้วนรู้ดีหมดแล้ว ทั้งพวกเขาต่างก็พาคนรับใช้ที่รู้ใจติดตามมาด้วย เพียงแค่ใช้บ่าวและสาวใช้ที่มีไหวพริบไปประกบด้วยก็สามารถทำเรื่องออกมาได้อย่างราบรื่นแล้ว เพื่อนสนิทส่วนตัวและญาติพี่น้อง ก็จัดการตามนี้เช่นกัน หากที่พำนักในตระกูลซั่งกวนไม่พอ ก็จะจัดการให้พักอยู่เรือนอื่นใกล้ๆ บุคคลที่มีชื่อเสียงก็จัดไว้ให้อยู่เรือนใกล้กัน หาบ่าวหรือสาวใช้ให้ เมื่อพิธีมาถึงก็ง่ายแล้ว ในเวลางานเลี้ยง ที่นั่งของพวกเขาก็ได้จัดเตรียมอย่างเหมาะสมแล้ว ย่อมมีคนออกไปต้อนรับ ส่วนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ทำเพียงแค่ต้อนรับพวกเพื่อนสาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน ทั้งที่เคยเป็นหญิงสาวสูงส่งเมื่อก่อน  และเป็นหญิงชั้นสูงในตอนนี้ พูดคุยหัวเราะกันไปก็เพียงพอแล้ว

และที่ยุ่งยากมากที่สุดก็คือแขกประเภทที่สอง ท่ามกลางพวกเขาล้วนมีคนทุกรูปแบบ คนที่อยู่ใกล้ยังพอว่า วันพิธีแต่งงานก็เดินทางมาถึงพอดี แต่หากอยู่ไกลก็ยุ่งยากแล้ว บางคนก็ล่วงหน้ามาลี่โจวถึงครึ่งเดือน บางคนก็มาถึงในวันงานพิธีเลย หากยึดตามฐานะของพวกเขา จัดการที่พักที่เหมาะสมให้ ก็คงเป็นเรือนอื่นที่ค่อนข้างไกล ทั้งยังมีโรงเตี๊ยม คนที่พวกเขาพาติดตามมามักจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คนมากเกินไปก็อยู่ไม่ได้ คนน้อยไปก็เสียเงินเปล่า…ยามนี้ห่างจากกำหนดงานแต่งงานประมาณยี่สิบกว่าวัน ยังคงไม่มีแขกมาถึง งานที่จะเจอล่วงหน้านี้ก็แทบทำให้นางรู้สึกหายใจไม่คล่องคอแล้ว

สิ่งที่นางอัดอั้นตันใจก็คือ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ และไม่อาจยุ่งเรื่องที่อนุภรรยาหนิงเป็นฝ่ายอาสามาช่วยนางได้ ซั่งกวนฮ่าวเป็นคนรู้จักเลือกใช้คน จึงปฏิเสธอนุภรรยาหนิงไม่ให้ยุ่งเรื่องนี้ แต่เพราะว่าเรื่องของอู๋เลี่ยนเยี่ยน ซั่งกวนฮ่าว จึงไม่พอใจอนุภรรยาอู๋ ก่อนหน้านี้สองวันก็ได้ส่งซั่งกวนอวี่ไข่มาคอยร่วมต้อนรับกับอนุภรรยาอู๋ เพื่อฝึกฝนตนเอง ทั้งถือโอกาสทำความรู้จักกับคนหนุ่มสาวที่มีชื่อเสียง จากคำพูดของซั่งกวนฮ่าวก็คือ อวี่ไข่ก็โตแล้ว (สิบแปดปี) ก่อนเข้าพิธีสวมกวาน[1] ก็ควรหาคนที่เหมาะสมมาแต่งงานกับเขา เขาเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา หากเป็นคุณหนูจากภรรยาเอกของตระกูลขุนนางเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ส่วนคุณหนูที่เป็นลูกนอกสมรสก็ดูไม่มีหน้ามีตาอยู่บ้าง จึงทำได้แต่เทียบเคียงดูไป และหากเป็นคุณหนูจากภรรยาเอกตระกูลใดที่มีแววจะอนาคตไกลก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย

ซั่งกวนอวี่ไข่แต่ไหนแต่ไรก็ทะนงตน คิดไปเองว่านอกจากฐานะลูกอนุภรรยาแล้ว อย่างอื่นก็ล้วนเทียบกับซั่งกวนเจวี๋ย

ได้หมด จึงเอาแต่เก็บความอัดอั้นเช่นนี้ตลอดมา คิดอยากจะเทียบชั้นกับซั่งกวนเจวี๋ย…ชาติกำเนิดไม่อาจเทียบเทียมได้ การรับช่วงต่อทรัพย์สินของตระกูลก็ไม่มีทางเลือกนัก สิ่งเดียวที่เขาเห็นว่าพอจะสู้ได้ก็มีเพียงภรรยาและลูกเท่านั้น เพราะว่าหวงฝู่เยวี่ย เอ้อที่ ‘โง่งม’ และ ‘ตาต่ำ’ ทั้งซั่งกวนฮ่าวก็ ‘ตามใจ’ ดังนั้นซั่งกวนเจวี๋ยจึงจำต้องแต่งกับลูกสาวพ่อค้าผู้หนึ่ง ซั่งกวนอวี่ไข่ราวกับเห็นแสงแห่งความหวังพาดผ่านไป หากเขาได้แต่งกับหญิงสาวที่สูงศักดิ์ละก็ แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่สนใจ แต่เกรงว่าว่าที่สะใภ้ใหญ่คงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองตนเป็นแน่!

พิธีแต่งงานของซั่งกวนเจวี๋ยได้เชื้อเชิญตระกูลหลักต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก หากใครที่มาไม่ได้ก็จะส่งลูกชายคนโตจากภรรยาเอกมา หรือไม่ก็ลูกที่มาจากภรรยาเอก เพราะนับว่ามีตำแหน่งในตระกูลอยู่บ้าง ได้รับความโปรดปราน รวมถึงหญิงสาวตระกูลสูงส่งที่ผ่านพิธีปักปิ่นแต่ยังไม่ได้หมั้นหมาย ก็แทบจะใช้โอกาสนี้เปิดหน้าค่าตาในงาน แสดงความสามารถให้เห็นเล็กน้อย ดึงดูดสายตาจากแขกที่มา เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองในอนาคต ช่วงสามปีมานี้ไม่มีโอกาสที่จะเปิดเผยหน้าตาในงานที่สำคัญและยิ่งใหญ่เช่นนี้ โอกาสนี้จึงไม่อาจปล่อยไปได้ง่ายๆ

และพวกนั้นล้วนเป็นเพราะว่าถูกพี่ชายคนโตคอยข่มไว้อยู่นาน พวกลูกชายของตระกูลที่ใกล้เข้าพิธีสวมกวานแต่ยังไม่มีชื่อเสียงอันใด หรือแม้แต่ลูกที่เกิดจากอนุภรรยาต่างก็คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยหน้าตาให้เป็นที่รู้จักของผู้อื่น (ในแวดวงเล็กๆ ย่อมมีคนรู้จักเห็นหน้าค่าตาพวกเขาอยู่แล้ว แต่หากเป็นแวดวงที่กว้างขึ้น พวกเขาก็จะถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง) ตำแหน่ง ฐานะ และความสามารถของพวกเขา ซั่งกวนอวี่ไข่ได้เตรียมพร้อมเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ต้องการเปิดตัวให้เป็นที่ตกตะลึงของผู้คน ให้รู้ทั่วกันว่า ตระกูลซั่งกวนยังมีซั่งกวนอวี่ไข่อีกคนหนึ่ง เพราะน้อยเนื้อต่ำใจที่มีชาติกำเนิดจากอนุภรรยา จึงต้องถือโอกาสแย่งชิงหัวใจของหญิงสาวตระกูลสูงส่ง เพื่อจะได้วางแผนเรื่องงานแต่งงานที่ดีให้กับตนเอง ผลลัพธ์น่ะหรือ ซั่งกวนฮ่าวกลับพูดโจมตีเขาอย่างเจ็บแสบ ทำให้เขารู้จักกับความลำบากของลูกอนุภรรยาอีกครั้ง

ดังนั้น ซั่งกวนอวี่ไข่จึงเก็บไฟสุมอยู่ในอก พยายามทำเรื่องทั้งหมดทั้งมวล ทำให้งานของอนุภรรยาลดลงไปไม่น้อย แต่ตัวเขายังเก็บความขุ่นเคืองใจไปฟ้องต่อเบื้องหน้าของซั่งกวนทั่วป๋าซู่เยวี่ย

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเอ็นดูหลานชายคนนี้เป็นที่สุด เหตุผลก็เรียบง่าย กฎระเบียบของตระกูล ลูกชายคนโตของภรรยาเอกไม่อาจเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของผู้หญิงได้ ดังนั้นหลังจากซั่งกวนเจวี๋ยที่เป็นลูกภรรยาเอกได้เดินไปตามทางนั้นแล้ว ก็ไม่อาจอยู่ตัวติดกันกับมารดา ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสนิทสนมกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย ซั่งกวนอวี่ไข่เป็นลูกชายคนที่สองของซั่งกวนฮ่าว ทั้งเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา ตั้งแต่เล็กก็ดูแลอยู่ข้างกายของทั่วป๋าซู่เยวี่ย ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ไม่เคยได้รับความเอาใจใส่จากสามี ทั้งยังมีลูกเพียงคนเดียว รักและเอ็นดูเขาจนลึกถึงกระดูก

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เป็นคนที่รู้จักหนักเบา นางรู้ดีว่าหลานชายที่ตนโปรดปรานที่สุดไม่อาจได้รับทุกอย่างของตระกูลซั่งกวนได้ แม้ว่าซั่งกวนจะไม่มีลูกชายคนโตจากภรรยาเอก เขาก็ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองเช่นกัน แผนของนางก็เพื่ออยากหาคู่ที่เหมาะ สมให้กับซั่งกวนอวี่ไข่ อันดับแรกต้องมีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง รองลงมาจะต้องเป็นที่รักและเอ็นดูของคนในตระกูล ส่วนรองลงมาจากนั้นจึงค่อยเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา และตระกูลทั่วป๋าก็ไม่ได้อยู่ในความคิดนี้

ไม่ใช่ว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่อยากให้หลานที่นางรักมากที่สุดได้แต่งกับหญิงสาวสูงส่งในตระกูลทั่วป๋า แต่ตระกูลทั่วป๋า ผู้ที่โดดเด่นที่สุดที่เคยมีมาคือทั่วป๋าฉินซิน ทั่วป๋าฉินซินก็สนใจซั่งกวนเจวี๋ยเป็นอย่างมาก ทั้งนางก็อยากให้ทั่วป๋าฉินซินแต่งกับซั่งกวนเจวี๋ย แม้ว่าจะแต่งในฐานะภรรยารองก็ตาม หากตระกูลซั่งกวนสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลทั่วป๋าอีกครั้งได้ ก็จะเป็นผลดีต่อตระกูลทั่วป๋า และชั่วชีวิตของตระกูลทั่วป๋ามีเพียงทั่วป๋าฉินซิน ลูกจากภรรยาเอกผู้นี้เท่านั้นที่อายุอานามใกล้เคียงกับซั่งกวนอวี่ไข่ คนอื่นๆ ล้วนอายุมากไปหรือบ้างก็ไม่มีคุณสมบัติที่ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยชอบพอได้

“นั่นไม่เป็นไร หญิงสาวตระกูลสูงส่งไม่ใช่ว่ามาถึงกันเร็วขนาดนั้นเสียเมื่อไร” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยฟังคำฟ้องที่ไม่พอใจจากหลานชายกลับไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย “เจ้าแค่เรียนรู้ว่าจะผูกสัมพันธ์กับคนพวกนั้นอย่างไรก็พอแล้ว!”

 “แต่ว่าท่านย่า หรือท่านไม่กลัวว่าหลานจะหาภรรยาที่เหมาะสมไม่ได้?” ซั่งกวนอวี่ไข่แสร้งกล่าวอย่างออเซาะ “ข้ายังคิดอยากจะหาหลานสะใภ้ที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง รูปโฉมงดงาม ทั้งรู้จักตัญญูให้ท่านอยู่เชียว!”

 “เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ตามปกติแล้ว นอกจากตระกูลที่สนิทสนม อย่างเช่นตระกูลทั่วป๋าและตระกูลหวังฝู่ก็จะล่วงหน้ามาประมาณสิบวัน ส่วนตระกูลอื่นๆ นั้นจำต้องล่วงหน้ามาก่อนสามวัน แต่พวกนางก็จะอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนเป็นเวลานานกว่าเดือน หลังจากเจวี๋ยเอ๋อร์แต่งงานแล้วเจ้าจึงจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพวกนาง อีกทั้งเวลานั้น คุณหนูคนนั้นมีนิสัยอย่างไร ชื่นชอบสิ่งใด สาวใช้เรือนเหนือเรือนใต้ล้วนสามารถลอบสืบเสาะมาให้เจ้าได้หมด รอจนถึงเวลานั้นก็จะมีโอกาสมากกว่า!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวปลอบใจ

 “ท่านย่าว่ามาไม่มีผิด” ซั่งกวนอวี่ไข่ก็เข้าใจเหตุผลนี้ดี แต่เขาอยากจะคิดใช้ข้ออ้างนี้ ขอแรงสนับสนุนจากฮูหยินใหญ่ “เพียงแต่ท่านย่า จิงอิ๋งและหลิงหลงล้วนกล่าวว่า ว่าที่สะใภ้ใหญ่งดงามราวกับเทพธิดา ข้ากลัวว่าถึงเวลานั้นหญิงสาวสูงส่งจากตระกูลเหล่านั้นจะไม่มีใครงามเท่านางได้สักคน!”

“นั่นป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้น เจ้ากลับมาคิดเป็นจริงเสียนี่!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่เชื่อว่าจะสวยขนาดไหนกันเชียว “ยิ่งไปกว่านั้น แม้นางจะหน้าตาสะสวยถึงเพียงนั้นแล้วอย่างไร ชาติกำเนิดที่เป็นลูกพ่อค้าวาณิชกลับไม่อาจใช้อะไรมาปกปิดรอยด่างพร้อยนี้ได้ เจ้าอย่ามาเล่นลิ้นกับข้าที่นี่เลย ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร ถึงเวลานั้นย่าย่อมต้องออกหน้าให้เจ้าด้วยตนเอง เป็นที่พึ่งของเจ้า เลือกสรรหญิงสาวที่คู่ควรอย่างดีออกมาให้เจ้าเอง”

ที่ซั่งกวนอวี่ไข่รออยู่ก็คือประโยคนี้แหละ เวลานี้จึงพูดประจบนางออกมาติดต่อกันจนทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั้นยิ้มหน้าบานอย่างเริงร่า…

—————————————————

[1] พิธีสวมกวาน เมื่อผู้ชายมีอายุยี่สิบปีเต็ม จะต้องเข้าพิธีสวมกวาน ทั้งแสดงถึงบรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่แล้ว