ตอนที่ 52 อารามสัตตบุษย์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณหนู ค่อยๆ นะเจ้าคะ” จื่อหลัวประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวังออกมาจากเกี้ยว เยี่ยนมี่เอ๋อร์สวมหมวกเหวยเม่า[1] โดยมีจื่อหลัวและลู่หลัวคอยพยุงจากทั้งซ้ายและขวา ยืนอยู่ด้านหน้าอารามสัตตบุษย์

“อารามสัตตบุษย์” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองตัวอักษรที่อยู่บนประตูอาราม ทั้งอ่านออกมาแผ่วเบา ก่อนจะกล่าวถามกับจื่อ หลัวที่อยู่ด้านขวา “ที่นี่คงจะเป็นที่ที่เจ้าพูดถึงกระมัง?”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” จื่อหลัวผงกศีรษะ “ที่นี่เป็นอารามที่ใหญ่ที่สุดของลี่โจว ตามที่พ่อบ้านหวงแนะนำ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง พวกฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายที่ไม่สะดวกเปิดเผยตัวต่อปุถุชนก็ล้วนแต่มาจุดธูปไหว้พระที่นี่ แม้แต่ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนก็เช่นกันเจ้าค่ะ!”

“เช่นนั้นพวกเราเข้าไปกันเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างพอใจ นี่แหละที่นางต้องการ

อารามสัตตบุษย์อยู่ใกล้กับเรือนสดับวายุเป็นอย่างมาก ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป[2] เท่านั้น นอกจากจื่อ หลัวและลู่หลัวแล้ว ยังมีช่าจื่อ ชิงหลัว และสาวใช้ทั้งสี่คนที่ตระกูลซั่งกวนวางตัวให้คอยรับใช้ที่เรือนสดับวายุก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน มองเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เคลื่อนฝีเท้าไปด้านหน้าโดยมีช่าจื่อและชิงหลัวตามหลัง กระนั้นสาวใช้ทั้งสี่กลับรั้งตัวคอยอยู่กับคนแบกเกี้ยวที่นั่น อารามสัตตบุษย์เป็นอารามกวนอิมแห่งหนึ่ง ซุ้มประตูด้านตะวันออก เขียนว่า ‘เขาผู่ถัวซาน[3] งามล้ำ’ ซุ้มประตูด้านตะวันตก เขียนว่า ‘การมีอยู่และดับไป’ ประตูตรงกลาง ถูกปิดไว้ เมื่อเดินขึ้นบันได เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เดินเข้าประตูทางด้านขวาไปทันที ภิกษุณีวัยเยาว์ผู้หนึ่งพนมมือไหว้ ทั้งกล่าว “อมิตาพุทธ” ไปทางทั้งสามคน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ละมือจากจื่อหลัว พนมมือไหว้กล่าว “อมิตาพุทธ” กลับไปเช่นกัน

“เชิญพวกท่านด้านในก่อนเถิด” ภิกษุณีรูปนั้นนำทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปด้านใน ส่วนพวกจื่อหลัวสองคนรั้งอยู่ด้าน หลังเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ครึ่งก้าว ไม่ได้ช่วยพยุงอีก แต่เปิดโอกาสให้นางได้เดินไปทั้งพูดคุยกับภิกษุณีรูปนั้นไปพลาง

“มิทราบว่าท่านอาจารย์มีนามว่าอันใดหรือ?” ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวถาม น้ำเสียงก็นุ่มนวลลงมาก แตกต่างไปจากยามปรกติ

“ข้ามีนามว่าฮุ่ยอัน” เห็นได้ชัดว่าฮุ่ยอันเป็นคนที่พูดน้อยคนหนึ่ง เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาแล้วก็ไม่ได้เกริ่นบทสนทนาต่อแต่อย่างใด เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่คิดจะมากความเช่นกัน เดินขึ้นไปบนบันไดพร้อมกับนาง ด้านหน้ามีซุ้มประตู ‘เขาผู่ถัวซานงามล้ำ’ ตั้งตระง่านอยู่ ด้านล่างซุ้มเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีรูปปั้นหน้าสิงโต มังกร และกิเลน ส่วนด้านบนมีภาพวาดของนกอินทรีย์ พยัคฆ์ มังกร หงส์ นกยูง ภูเขาลำธาร มวลเมฆหลากสี ดอกไม้ ต้นหญ้าและเหล่าวิหค เป็นซุ้มประตูที่มั่นคงและงามสง่า เปี่ยมไปด้วยพลัง ดูไม่ธรรมดา ซุ้มประตูทั้งสองด้านมีทุ่งหญ้าที่แต่งแต้มไปด้วยดอกตู้จวินอย่างสดใส ประจบกับเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจึงยิ่งทำให้สวยสดงดงามยิ่งขึ้น

ผ่านซุ้มประตู ‘เขาผู่ถัวซานงามล้ำ’ ไป ก็เป็นทางเดินสองฝั่งที่เดินได้หกเจ็ดคน ทั้งสองด้านปลูกต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ปะปนกันไป ดอกไห่ถังที่บานได้ที่ไม่กี่วันมานี้ (ทว่ากลับเป็นดอกฉุยซือไห่ถังธรรมดา) ทั้งดอกป๋ายอวี้หลันที่บานแรกแย้มหลังจากโรยรา ดอกเหมยก็แตกใบอ่อนและออกดอกไปทั่ว มีเพียงดอกยี่เข่งที่กิ่งก้านแห้งกรอบ ดอกกุ้ยฮวาที่เขียวชะอุ่ม และดอกตู้จวินต้นเล็กๆ…ดอกที่ทั้งสี่ฤดูไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกลิ่นหอมของดอกไม้อื่นส่งกลิ่นเป็นเพื่อน

ที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าคือวิหารเทียนหวาง เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนที่เข้าวัดเข้าวาเป็นประจำอยู่แล้ว จึงไม่ได้กล่าวอันใด ยามที่ตามฮุ่ยอันผ่านวิหารเทียนหวางไปก็ไม่ได้ก้มลงกราบ เพียงแต่ตอนกำลังที่เดินผ่านกลับให้ความสนใจกับพระสกันทโพธิสัตว์ นั่นเป็นพระสกันทโพธิสัตว์หล่อทองทั้งรูปที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่สิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้ความสนใจเพราะพระสกันทโพธิสัตว์อยู่ในท่าพนมมือไหว้ แนบอาวุธที่แขน หยัดกายตั้งตรง ยิ้มออกมาจากในใจ คล้ายกับครุ่นคิดอะไรอยู่ ออกมาจากวิหารเทียนหวาง แสงสว่างก็เปล่งประกายทันที เบื้องหน้าเป็นสระน้ำอภัยทานที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง บนสระน้ำนั้นมีสะพานที่มีห้าช่องอยู่ข้างใต้ เชื่อมต่อฝั่งกับวิหารบูชาเทพ สะพานแห่งนี้ยาวกว่าสิบเมตร น้ำในสระใสกระจ่าง มีมัจฉาแหวกว่ายเต็มไปหมด ล้วนอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเดินข้ามสะพานมาอย่างช้าๆ ฮุ่ยอันก็นำทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์มายังวิหารหลัก ไม่ต้องรอให้ฮุ่ยอันเตือน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ถอดหมวกออก ส่งไปให้จื่อหลัวทางด้านหลัง กระนั้นฮุ่ยอันในยามนี้ก็พบว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคลุมผ้าสีขาวอยู่อีกชั้น มีเพียงดวงตาที่โผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น

เดินเข้าจากประตูด้านขวา ด้านในนั้นล้วนประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมไว้ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมปางแผ่เมตตาหล่อทองตั้งสูงตระหง่าน งดงามตระการตา ทั้งซ้ายและขวามีรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมด้านละสามองค์ แบ่งเป็น พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานบุตร พระโพธิสัตว์กวนอิมในอาภรณ์สีขาว ปางประทานยา ปางสายน้ำและดวงจันทร์ ปางบำเพ็ญบารมี ปางโปรยน้ำ รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมทั้งหกนี้ล้วนเป็นรูปปั้นหลากสี ดูมีชีวิตชีวาเสมือนจริง อลังการแตกต่างจากปกติเป็นอย่างมาก

ก่อนจะมีภิกษุณีที่มีอายุผู้หนึ่งจะเคาะมู่อวี๋[4]จนเกิดเสียงออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้มลงกราบด้วยความเลื่อมใส หลังจากนางก้มกราบเสร็จแล้ว ก็เอาตั๋วเงินใบหนึ่งมาจากมือของจื่อหลัว ใส่ลงไปในกล่องบริจาค ฮุ่ยอันเหลือบตามองดู ก็อดตาเป็นประกายขึ้นมาไม่ได้…ห้าร้อยตำลึง!

เมืองลี่โจวนั้นมั่งคั่งมาตั้งแต่โบราณกาล แม้การบริจาคตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจะไม่นับว่ามาก แต่เป็นการทำบุญโดยใส่กล่องบริจาค ไม่ได้ให้ตัวแทนหรือเจ้าอาวาสแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวที่ไม่คุ้นหน้าผู้นี้มีตัวตนที่ไม่ธรรมดา

“ท่านหญิง ท่านผู้นี้คือแม่ชีเยวี๋ยนเจว๋ เจ้าอาวาสของที่นี่!” ฮุ่ยอันกระตือรือร้นขึ้นมาอีกสามส่วน รีบแนะนำแม่ชีที่มีใบหน้าอ่อนโยนให้นางรู้จัก

“คารวะท่านอาจารย์!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พนมมือไหว้ ค้อมกายอย่างนอบน้อมไปทางเยวี๋ยนเจว๋

“อมิตตาพุทธ แม่หนูไม่ต้องเกรงใจ มานั่งพักที่ห้องบำเพ็ญเพียรก่อนสิ” เยวี๋ยนเจว๋ไหว้ตอบ ก่อนจะกล่าวเชื้อชวนอย่างมีไมตรี ใบหน้านั้นปรากฏความอ่อนโยน

“ขอบคุณท่านอาจารย์!” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แฝงมาด้วยความดีใจ นางดูสดใสขึ้นมาทันตา

ภายใต้การนำทางของแม่ชี เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พาจื่อหลัวและลู่หลัวมายังห้องบำเพ็ญเพียร ช่าจื่อและชิงหลัวถอนตัวไปอยู่อีกด้านอย่างรู้งาน…พวกนางทั้งสองยืนดูฝูงมัจฉาริมสระอภัยทานอย่างสนอกสนใจ

“ฮุ่ยอี๋ รินชาให้แม่หนูท่านนี้หน่อย” เยวี๋ยนเจว๋เชิญเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งลงและก็กล่าวกับภิกษุณีที่กำลังคัดลอกคัมภีร์อยู่ในห้อง

“ไม่รบกวนดีกว่าเจ้าค่ะ เรื่องพวกนี้ให้บ่าวทำดีกว่า!” จื่อหลัวกล่าวด้วยไมตรีจิต ก่อนจะยกกาน้ำชาที่วางอยู่ด้านข้างมาสักพักแล้วขึ้นมา รินชาสมุนไพรให้เยวี๋ยนเจว๋และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คล้อยหลังก็ถอยตัวกลับไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะด้านหลังของเยี่ยนมี่เอ๋อร์

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอดผ้าคลุมหน้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ ดื่มชาสมุนไพรคำหนึ่งโดยไม่ได้พิถีพิถันมาก ก่อนจะมองแม่ชีที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความเงียบสงบ

เป็นหญิงสาวที่รูปงามผู้หนึ่ง แม่ชีรู้สึกหูตาเป็นประกาย แม้ว่าผู้ที่ออกบวชจะไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก แต่ไม่ว่าใครๆ ก็ชอบความสวยความงามด้วยกันทั้งนั้น หน้าตางดงามอย่างไรก็ย่อมถูกสนใจมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่อ่อนโยนและสงบนิ่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นไม่ปรากฏความเย่อหยิ่งให้เห็นแม้แต่น้อย พาให้คนที่มองล้วนแต่รู้สึกสบายใจ

“แม่หนูไม่คุ้นหน้าเสียเลย คงเป็นครั้งแรกที่มาไหว้พระที่อารามสัตตบุษย์แห่งนี้กระมัง” ต้องเป็นครั้งแรกที่เยวี๋ยนเจว๋พบหญิงสาวผู้นี้แน่ หญิงสาวที่โดดเด่นเช่นนี้ หากได้พบแล้วก็ไม่อาจลืมได้อย่างง่ายๆ

“ข้าเพิ่งมาถึงลี่โจวไม่นาน และก็เป็นครั้งแรกที่มาอารามสัตตบุษย์ด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างนุ่มนวล “ตั้งแต่เด็กข้าก็กินเจไหว้พระเป็นประจำ หลังจากนี้คงต้องรบกวนอาจารย์บ่อยๆ แล้ว”

“อ๋อ? แม่หนูย้ายมาอยู่ที่ลี่โจวสินะ?” สิ่งที่เยวี๋ยนเจว๋อยากถามก็คือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้แต่งมาอยู่ที่เมืองลี่โจวหรือไม่ แต่คำพูดนั้นหากนางเอ่ยขึ้นมาก็คงกะทันหันอยู่บ้าง จึงเปลี่ยนวิธีถามไป

“บ้านสามีของข้าอยู่ที่ลี่โจว ไม่นานก็จะแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีทีท่าจะดีใจ กลับเป็นความโศกเศร้าที่ขมุกขมัว ดูคล้ายจะแต่งกับเจ้าบ่าวที่ไม่ธรรมดา

“นั่นเป็นเรื่องมงคล แต่ไฉนใบหน้าจึงมีแต่ความระทมทุกข์เล่า? คงมิใช่ว่าเกี่ยวกับบ้านสามี…” เยวี๋ยนเจว๋ถามอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “ไม่ทราบว่าบ้านสามีเป็นตระกูลไหนในลี่โจว แม่หนูสะดวกบอกให้ข้าฟังหรือไม่”

“ไม่ได้เกี่ยวกับบ้านสามี แต่ตัวข้าแค่คิดว่าอยากจะอาศัยอยู่ใต้ร่มพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว สวดมนต์และกินเจไปตลอดชีวิต กระนั้นกลับยังยากที่จะหลุดพ้นจากบ่วงของโลกีย์ จึงได้เศร้าใจเช่นนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างราบเรียบ รำพึงรำพันออกมาไม่สิ้นสุด “โลกโลกีย์นั้นมีแต่ทุกข์ แม้ว่าข้าจะไม่ได้ยึดติดกับมันตั้งนานแล้ว กลับไม่อาจหลุดพ้นได้ ยังคงต้องเผชิญความยากลำบากกับโลกิยะแห่งนี้ ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด”

“แม่หนูยังอายุน้อย เหตุใดจึงคิดเรื่องอาศัยอยู่ใต้ร่มศาสนาเสียแล้ว?” เยวี๋ยนเจว๋ตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ในใจกลับเชื่อมั่นว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์แตกต่างจากคนอื่นที่นางเคยได้พบ ดังนั้นจึงอยากหลีกหนีจากโลกิยะเพื่อเข้าสู่ประตูแห่งธรรม

“ศาสนาพุทธมีแต่ความใสสะอาด ย่อมสามารถสุขกายสบายใจได้! ไยจะมองไม่เห็นล่ะเจ้าคะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าว

อย่างนิ่งเงียบ “นิสัยของข้าเหมาะกับการคัดลอกคัมภีร์ สวดมนต์ภาวนา ปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้ผู้อื่น เช่นนี้จึงจะมีความสุขและทรงคุณค่า โลกโลกีย์สับสนวุ่นวาย ผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่ ยากที่จะมีสุขได้อย่างแท้จริง”

“แม่หนูจะแต่งงานเมื่อใด?” เยวี๋ยนเจว๋ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แม้ว่านางจะเคยประสบความลำบากมามากมาย จึงได้ตัดขาดกับโลกิยะ แต่หลังจากปลงผมออกบวชแล้ว ก็ไม่ได้ละเรื่องทางโลกโดยสิ้นเชิง จนมาอยู่ที่อารามสัตตบุษย์แห่งนี้ ด้านหนึ่งก็เป็นการหลีกหนีจากโลกิยะ แต่อีกด้านหนึ่งกลับยังเป็นการจมสู่เรื่องราวของมนุษย์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีรูปโฉมงดงามสะดุดตา มองดูแล้วเป็นคนฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่ง คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดจึงอยากปลงผมออกบวช? เว้นเสียแต่ว่าที่สามีนั้นสุดแสนจะรับได้?

“อีกประมาณครึ่งเดือนเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งฝืนยิ้ม “ท่านอาจารย์อาจเคยได้ยินอยู่บ้าง ข้านั้นสกุลเยี่ยน เป็นคนอู๋โจวเจ้าค่ะ บ้านสามีคือตระกูลซั่งกวนแห่งลี่โจว ข้าพำนักอยู่ที่เรือนสดับวายุชั่วคราว จึงได้ใช้โอกาสนี้เข้ามากราบไหว้”

ที่แท้ก็เป็นว่าที่สะใภ้ของตระกูลซั่งกวนที่เป็นข่าวเลื่องลือไปทั้งลี่โจวนี่เอง? เยวี๋ยนเจว๋ตกตะลึง นางนั้นรู้จักซั่งกวนเจวี๋ย นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ผู้ที่ทำให้หญิงสาวสูงศักดิ์หลายตระกูลในลี่โจวเกลียดจนเข้ากระดูกดำ

“คุณชายใหญ่ซั่งกวนเจวี๋ยตระกูลซั่งกวนรูปลักษณ์งดงาม ทั้งมากความสามารถ นับว่าคู่ควรกับเจ้าทีเดียว!” เยวี๋ยนเจว๋คิดว่าจำเป็นต้องเปิดหูเปิดตาหญิงสาวตรงหน้านี้เสียหน่อยแล้ว “หรือว่าแม่หนูไปได้ยินข่าวลืออะไรมา?”

“ท่านอาจารย์หมกมุ่นเกินไปแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูแคลนแม่ชีที่อยู่ตรงหน้าอยู่บ้าง นางเป็นถึงเจ้าอาวาสที่สูงส่ง กระทั่งหลักธรรมร่างกายเป็นสิ่งไม่เที่ยงยังไม่เข้าใจงั้นหรือ? กระนั้นใบหน้าก็ไม่เผยท่าทีใดออกมา กลับกล่าวทั้งยิ้มขมขื่นขึ้นแทน “ไม่เกี่ยวกับเรื่องคู่ควรหรือไม่คู่ควรกับคุณชายใหญ่ซั่งกวนเจ้าค่ะ เพียงแต่ใจของข้าแค่คิดสับสนวุ่นวาย อยากจะถวายตัวให้กับศาสนาก็เท่านั้น ชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงความว่างเปล่า เรื่องราวทางโลกต่างๆ ก็เปลี่ยนไปไม่เที่ยงทั้งนั้น ยังมีอะไรให้ต้องยึดติดเล่าเจ้าคะ?”

ที่แท้ก็งมงายเรื่องศาสนาเกินไปแล้ว! เยวี๋ยนเจว๋ถอนหายใจ หากนางกล่าวคำพูดนี้ออกไป ไม่รู้ว่าจะทำให้หญิงสาวคนนี้ร้องห่มร้องไห้จนฉีกผ้าเช็ดหน้าหรือเปล่า…

“แล้วเหตุใดแม่หนูไม่ถวายตัวให้กับศาสนาเสียเล่า?” เยวี๋ยนเจว๋ถามอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านแม่ที่จากไปตายตาไม่หลับได้ ไม่อาจปล่อยให้บ่าวพวกนั้นของข้าเป็นกังวล ยิ่งไปกว่าก็ไม่อาจทำให้แม่นมที่ยังมีชีวิตอยู่เสียใจได้ จึงจำต้องฝืนรับชีวิตที่ขมขื่นอย่างไม่อาจทำอะไรได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างราบเรียบ “ดีที่ฮูหยินซั่งกวนเอ็นดูข้า ให้ข้าพักอยู่ที่เรือนสดับวายุ ข้าจึงสามารถมาที่อารามสัตตบุษย์ตามใจต้องการ หลังจากข้าแต่งงานไปแล้ว หากได้มีโอกาสไปไหว้พระที่วัดอวิ๋นซาน ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย”

เยวี๋ยนเจว๋ทอดถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นเพียงคนที่ไม่รู้จักหวงแหนความสุขผู้หนึ่ง นางไม่เข้าใจหรือว่าชีวิตนางนั้นโชคดีถึงเพียงไหน?

แต่สิ่งที่นางไม่อาจรู้ได้คือ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่เชื่อถือในพุทธศาสนาอยู่แล้ว แม่นมฉินอาจจะเลื่อมใสในพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่กับนาง สิ่งที่นางรู้มาก็ล้วนเป็นเพราะแม่นมฉินถ่ายทอดให้เท่านั้น หลังจากจงเสวี่ยฉิงล่วงลับไปแล้ว ทุกปีที่นางเข้าวัดไปถือศีลภาวนาก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง ในวัดนั้นเป็นคนอื่นต่างหาก ส่วนนางก็แอบหลบหนีไปอย่างแยบยล ตามป้าโม่ไปท่องเที่ยวทั่วยุทธจักรตั้งนานแล้ว ไปเปิดหูเปิดตาที่ ‘งานประลองยุทธ์’ แห่งนั้น มิเช่นนั้นเหตุใดจึงเลือกช่วงเวลาที่มี ‘งานประลองยุทธ์’ ไปสวดมนต์ที่วัดกันเล่า? ส่วนการเดินทางมาที่อารามสัตตบุษย์ในวันนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เพียงเหลือทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองก็เท่านั้น…หากรับนิสัยเจ้าชู้ของซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้ นางก็จะออกบวชที่อารามสัตตบุษย์ให้รู้แล้วรู้รอดไป หลังจากปลงผมบวชเป็นภิกษุณีแล้ว ก็สามารถหายเข้าไปในกลีบเมฆ ออกไปจากลี่โจวโดยไม่ให้ผู้ใดรู้ จากนั้นก็จะไปโผบินบนท้องนภากับฝูงนกฝูงเหยี่ยว แหวกว่ายไปในทะเลร่วมกับหมู่มัจฉา ท่องไปทั่วยุทธภพตามใจตน!

อารามสัตตบุษย์ไม่ใช่อารามธรรมดา ตลอดทางที่ผ่านวัดวาต่างๆ มามากมาย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พบว่าซุ้มประตูของอารามสัตตบุษย์นั้นสูงตระหง่านมีพลัง ต้นไม้และดอกไม้ก็มีหลากหลาย สระน้ำอภัยทานที่กว้างใหญ่ สะพานโค้งห้าช่องที่ดูเรียบง่าย รูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่ประณีตชดช้อย ล้วนไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็น หากกล่าวว่าไม่มีเบื้องหลังที่แข็งแรงคอยประคองอยู่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่มีทางเชื่อแน่ๆ

ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นแขกที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่บ่อยๆ แต่เจ้าอาวาสกลับเป็นภิกษุณีเฒ่าที่ไม่อาจสลัดกิเลสออกได้ ทั้งยังมีวรยุทธ์ที่ไม่สูงไม่ต่ำ หรือจะเป็นอย่างที่ท่านป้าเคยพูด การอาลัยอาวรณ์กับเรื่องทางโลกกลับไม่อาจตัดขาดจากผู้คนได้ การออกบวชก็เป็นแค่วิธีหนึ่งเท่านั้น

น้ำในอารามสัตตบุษย์ลึกกว่าที่นางจินตนาการเสียอีก คาดว่าคงจะมีอารามที่คล้ายๆ กันอยู่อีกหลายแห่ง หากคุ้นชินกับที่นี่ไว้ ภายหลังทำเรื่องอะไรก็สะดวกกว่ามิใช่หรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าการที่นางมาทำอะไรที่นี่ พูดอะไรออกไป ไม่นานเรื่องก็คงจะส่งไปถึงหูของคนตระกูลซั่งกวนพวกนั้น นั่นเป็นจุดประสงค์หนึ่งของนาง ทำให้พวกเขาประทับใจและเชื่อในสิ่งที่เห็น หากวันหลังไม่ว่านางจะทำเรื่องอะไรก็คงสะดวกมากขึ้นแล้ว

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดคุยกับเยวี๋ยนเจว๋อยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม นำความรู้เรื่องพุทธศาสนาที่มีไม่มากแต่กลับลึกซึ้งแลกเปลี่ยนกับเยวี๋ยนเจว๋ และหลังจากนั้นก็พบว่า เยวี๋ยนเจว๋ก็เป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราวผู้หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นนางจึงปลดปล่อยความรู้ออกมาเสียหมด ทำเอาเยวี๋ยนเจว๋ถึงกับมึนงงไปไม่ถูก คิดว่านางเป็นผู้ที่รู้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง เชื่อว่าหากเรื่องราวทางโลกของนางจบลง ก็คงจะอาศัยใต้ร่มพุทธศาสนาเป็นแน่…

ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จากไป ก็ยังทิ้งตั๋วเงินมูลค่าสองพันตำลึงอย่างใจกว้าง กล่าวว่าเป็นเงินค่าเติมไฟในตะเกียง ทำให้เยวี๋ยนเจว๋ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรคนนั้นยิ้มหน้าบาน…

————————————————–

[1] หมวกเหวยเม่า หมวกที่มีตาข่ายล้อมรอบโดยปิดบังใบหน้าเอาไว้

[2] เวลาครึ่งก้านธูป ประมาณสิบห้านาที

[3] เขาผู่ถัวซาน เป็นสถานที่บรรลุธรรมของเจ้าแม่กวนอิม

[4] มู่อวี๋ เป็นเครื่องดนตรีของสงฆ์ชนิดหนึ่ง มีการแกะสลักเป็นรูปปลา โดยจะใช้ไม้อีกอันหนึ่งเคาะให้เกิดเสียง ใช้ประกอบในพิธีพุทธศาสนา หรือระหว่างการสวดมนต์