แม้ถูกเล่อเหยาเหยาจ้องมองด้วยสายตาตกตะลึง จนใบหน้างดงามเขินอายเล็กน้อย แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังค่อยๆ หุบยิ้มอย่างเรียบเฉย ก่อนพลันเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาจะเข้าวังหลวง แล้วรีบเดินออกจากห้องหนังสือไปอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ เขาต้องรีบเข้าวังทูลฮ่องเต้ด่วนที่สุด เพราะเวลานี้ฮ่องเต้ทรงทุกข์ใจเพราะเรื่องเหล่านี้เช่นกัน
ขณะคิดเรื่องนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋พลางอดถอนหายใจไม่ได้ ดูแล้ว ครั้งนี้เขาเก็บของล้ำค่าได้เสียแล้ว
กระต่ายน้อย มักทำให้เขาคาดไม่ถึงและแปลกใจเสมอ
หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋รีบร้อนจากไป เสี่ยวมู่จื่อที่ตกตะลึงกับรอยยิ้มของพญายมเช่นเดียวกันอยู่ด้านข้าง ในที่สุดได้สติ ก่อนเอ่ยพูดกับเล่อเหยาเหยาด้วยแววตาเลื่อนลอยว่า
“สวรรค์! เมื่อครู่ข้าตาลายไปหรือ ท่านอ๋องเขายิ้ม…”
ทั่วใบหน้าเสี่ยวมู่จื่อตกตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนพลันนึกขึ้นได้ ยิ้มแหยๆ เอ่ยปากขึ้น
“เหอ เหอ ที่แท้ท่านอ๋องก็ยิ้มได้ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นท่านอ๋องสีหน้าเยือกเย็น คิดว่าท่านอ๋องไม่รู้จักยิ้มเสียอีก! เอ๊ะ เสี่ยวเหยาจื่อ หน้าเจ้าทำไมแดง? ไข้ขึ้นหรือ!? ”
เมื่อได้ยินเสี่ยวมู่จื่อพลันตกใจอย่างร้อนใจ เล่อเหยาเหยาจึงได้สติ สายตามองใบหน้าร้อนใจของเสี่ยวมู่จื่อ ยกมือสองข้างปิดใบหน้า จึงรู้ว่าแก้มของตนร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัว
สวรรค์ นี่เธอ…หน้าแดงเพราะพญายมหรือ!?
นายท่านอารมณ์ดีเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เหม่ยและซิงเห็นจากอยู่ข้างกายมานาน พร้อมรู้สึกไม่เชื่อสายตาและประหลาดใจ
อันที่จริง จะพูดไปแล้วพวกเขาอยู่ข้างกายนายท่านมาตั้งแต่เด็ก ใบหน้านายท่านจะเหมือนแผ่นน้ำแข็งหมื่นปีตลอดเวลา นิ่งเรียบ ราวกับว่าฟ้าถล่มลงมา คิ้วของเขาก็จะไม่ขมวด
นอกจากนี้วรยุทธนายท่านสูงส่งไร้เทียมทาน แม้จะเย็นชาไร้น้ำใจกับผู้คน แต่กลับชัดเจนยุติธรรม นี้จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาเคารพและเสื่อมใส!
แต่นายท่านไม่เคยยิ้มเลย แม้จะต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพี่ของตนและหน้าอาจารย์พวกเขา นอกจากบนตัวไม่มีกลิ่นอายเย็นชานั้น พวกเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของนายท่านมาก่อน
นอกจากนี้ เมื่อก่อนพวกเราคิดว่า นายท่านน่าจะยิ้มไม่เป็น
แต่พวกเขาเดาผิด
ที่แท้ นายท่านมีรอยยิ้ม หากเจอคนที่ทำให้เขายิ้มแล้วละก็…
เพราะในที่สุดสามารถขจัดความยุ่งยากในหลายนี้ได้ หลังฮ่องเต้รีบให้คนนำแนวทางเหล่านี้ไปปฏิบัติ เพราะฮ่องเต้ทรงมีพระกรุณาให้จัดงานเลี้ยงขึ้นในวัง ตรัสว่าทรงพระทานรางวัลให้ตนที่เป็นพระอนุชาที่สนิทสนมที่สุดเป็นการส่วนตัว
แคว้นเทียนหยวน ทั้งราชสำนักบนล่างและราษฎรต่างรู้ดีว่าฮ่องเต้ทรงเอ็นดูพระอนุชาเพียงองค์เดียวของตนอย่างยิ่ง
แม้พวกเขาพี่น้องจะไม่ใช่เกิดจากพระมารดาคนเดียวกัน นิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ความสัมพันธ์กลับแน่นฟ้าอย่างน่าประหลาด
คนหนึ่งมีความสามารถด้านบุ๋น คนหนึ่งมีความสามารถด้านบู๊ คนหนึ่งดูแลภายใน คนหนึ่งดูแลภายนอก ทำให้แคว้นเทียนหยวนสงบร่มเย็น
วันนี้ในพระตำหนักหยางซินถูกเสด็จพี่ชนสุราไปไม่น้อย เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงรู้สึกว่าตนดื่มมากเกินไปแล้ว กลัวว่าหากดื่มต่อตนอาจะเมามายได้
แม้ตอนนี้จะเมามายก็ไม่ผิดสิ่งใด อย่างมากพรุ่งนี้ไม่ได้เข้าวัง แต่ถึงอย่างไรเรื่องทางซีเจียงหนานเหอก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ถึงเวลาควรให้ตนเองได้หนุดพักบ้างแล้ว
แต่ความเคยชินตั้งแต่เด็ก ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ว่าในสถานการณ์ใด แม้จะดื่มหนักยังสามารถประคองสติเอาไว้ได้
อันที่จริงจากสถานะและการลงทัณฑ์ของเขาก่อนหน้านี้ ก่อให้เกิดศัตรูขึ้นไม่น้อย แม้ข้างกายเขาจะมีองครักษ์ลับนับไม่ถ้วน แต่ไม่อาจดื่มจนตนเมามาย นอกจากวันนั้นของทุกปี วันตายของเสด็จแม่…
ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังคิดในใจ ตัวเขากลับมาถึงด้านในตำหนักหย่าเฟิงของตนแล้ว
ดึกมากแล้ว โคมไฟที่แขวนสูง ต้นหลิวปลิวไสว บุปผานานาพันธุ์ที่งดงาม ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเรือนหย่าเฟิงอันโอ่อ่าหรูหราของตนแล้ว รู้สึกว่าอบอุ่น และให้ความรู้สึกถึงคำว่าบ้าน
ความจริงหลังถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง จะประทานวังนี้ให้กับเขามานาน แต่หลายปีก่อนนี้ เขาฝึกวรยุทธอยู่กับอาจารย์บนเขาเทียนชานตลอด ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ที่นี่จึงไม่นาน และไม่เคยคิดว่าที่นี่คือบ้านของตน
นอกจากนี้ เขารู้สึกเพียง วังที่เงียบเหงาแห่งนี้ เขากลับหรือไม่กลับมาก็ไม่สำคัญ
แต่เวลานี้ เขากลับรู้สึกใจร้อนที่รีบจะกลับบ้าร ราวลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู
เพราะใบหน้าเล็กประณีตผุดขึ้นมาในใจเขาไม่หยุดนั้น…
ไม่รู้เวลานี้เขาจะนอนไปหรือยัง หรือยืนรอเขากลับมาอยู่ที่ประตู!?
พอคิดถึงเรื่องนี้ ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงปรากฏความหวังขึ้นมา ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นดูเบาบางราวสายลม สง่างามราวดอกบัว ทว่ากลับทำให้เหม่ยและซิงด้านหลังเขามองอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นมองหน้ากันไปมา พูดคุยแลกเปลี่ยนกันทางสายตา
เมื่อไม่รู้สีหน้าของสองคนด้านหลัง เหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังเข้ามาในตำหนักหย่าเฟิงของตนเอง ดวงตาพลันกวาดมองไปรอบๆ ตำหนักหน่าเฟิงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดสายตาตกอยู่ที่มุมหนึ่ง
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเล่อเหยาเหยาที่กำลังพุดคุยบางอย่างกับเสี่ยวมู่จื่อ เหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันหยุดฝีเท้า ยื่นมือให้คนด้านหลังทั้งสองคนถอยออกไป จากนั้นตนจึงเดินเข้าไปใกล้ด้วยฝีเท้าหนักแน่น
เพราะฝึกวิทยายุทธมานาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงไม่เพียงมีความสามารถในการได้ยินที่ดี ฝีเท้าที่เดินยังเบามากอีกด้วย ปกติหากไม่ใช่คนที่วรยุทธสูงส่ง ก็ยากที่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา
ดังนั้นเวลานี้เล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อที่ไม่รู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับมาแล้ว จึงพูดคุยบางสิ่งกันอย่าไม่ระวังตัวอยู่ที่นั่น
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าว่าที่เจ้าพูดไปเมื่อครู่ จะช่วยท่านอ๋องได้หรือไม่!?”
“เหอ เหอ เมื่อครู่เจ้าไม่เห็นหรือ? ท่านอ๋องยิ้มเชียวนะ! นี้แสดงว่าวิธีแก้ปัญหาที่ข้าพูดไปมีประโยชน์ ครั้งนี้ต้องช่วยชีวิตราษฎรที่ซีเจียงและหนานเหอได้แน่!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกตนเองยิ่งใหญ่ขึ้นมา
สวรรค์!
ข้ามเวลามาอยู่ในสมัยนี้ ในที่สุดเธอได้ทำเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่แล้ว ความรู้สึกนี้บรรยายออกมาไม่ได้จริงๆ
นอกจากนี้ เธอต้องเป็นหญิงข้ามเวลาที่มีเกียรติให้ได้!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาดีใจ รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งสดใสมากขึ้น
ตอนนี้เพราะเธอยังบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องทุกอย่างในตำหนักหย่าเฟิง โดยให้กับเสี่ยวมู่จื่อเป็นคนทำแทน เรื่องนี้ทำให้เล่อเหยาเหยาดีใจอย่างยิ่ง
อันที่จริงต่อไปเธอทำเรื่องใดมีเพื่อนแล้ว!
………………………………………………………