ตอนที่ 72.3 รอยยิ้มพญายม (3)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

วันนี้ถือโอกาสที่พญายมยังไม่กลับมา หลังจัดการงานในตำหนักหย่าเฟิงเสร็จ เธอและเสี่ยวมู่จื่อจึงนอนอยู่บนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบพูดคุยกันอย่างสงบสุข

แม้ในสมัยนี้จะไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย เช่นโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และตลาดนัดกลางคืนให้ฆ่าเวลา ดังนั้นคนที่นี่จึงเข้านอนเร็วตั้งแต่หลังหัวค่ำ

แต่เพราะทุกคนพักผ่อนเป็นเวลา จึงมีอายุยืนยาว นอกจากนี้สภาพแวดล้อมและอากาศที่นี่ก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

เมืองที่ยุ่งเหยิงก่อนหน้านี้นั้นจะหายใจเอาอากาศที่สดชื่นเช่นนี้ได้ที่ไหน!?

แม้จะตื่นเช้า เปิดหน้าต่าง จะมีเพียงทรายฝุ่นละออง มัวหมองอย่างยิ่ง

รวมทั้งเพราะที่มีไม่มีมลพิษ ท้องฟ้งจึงสดใสงดงาม

เห็นเพียงดาวระยิบระยับบนฟ้า มากมายมหาศาล จนนับไม่ถ้วน

นอนบนพื้นหญ้า ยื่นมือเล็กขึ้นไปให้สูง ราวกับจะเด็ดดวงดาวนั้นลงมา

ยังมีพระจันทร์เสี้ยวที่สุกสกาวและสว่างไสวนั้น

แสงสีเงินขาวนวลที่สาดส่องอย่างนุ่มนวลนั้น เข้ากับโคมไฟใต้ชายคายิ่งนัก งดงามดังบทกวีภาพวาด

ยิ่งมองยิ่งทำให้รู้สึกสบายใจ นอกจากนี้เล่อเหยาเหยาราวกับค่อยๆ รักยามค่ำคืนของที่นี่เสียแล้ว

อีกอย่างคำพูดเธอเมื่อครู่ชัดเจนอย่างมาก ในคืนที่เงียบสงบจึงดังกังวานเป็นพิเศษ แม้จะอยู่ไกลเหลิ่งจวิ้นอวี๋สามารถได้ยินความภูมิใจในน้ำเสียงของเธอ

รอยยิ้มที่มุมปากนั้นจึงล้ำลึกยิ่งขึ้น

เห้อๆ เด็กคนนี้กำลังภูมิใจ!

แต่เวลานี้ เขาควรภูมิใจจริง!

เพราะปัญหายุ่งยากที่ทำทุกคนลำบากมาหนึ่งเดือน กลับถูกขันทีน้อยที่ไม่ได้เรียนหนังสือผู้นี้ได้คำตอบออกมา เมื่อครู่เขาเอ่ยกับเสด็จพี่ฮ่องเต้ พระองค์แทบไม่เชื่อว่าจะเก่งกาจเช่นนี้ จึงรับสั่งให้เขานำตัวเข้าเฝ้า เพื่อประทานรางวัลมากมายให้

แต่ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ยินยอม เพราะเด็กนี้คือของล้ำค่า! เขากลัวถูกเสด็จพี่ฮ่องเต้เจอเข้าแล้วชื่นชอบเขาขึ้นมา จะทำเช่นไร!?

ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธออกไป

ทว่า ประทานรางวัล! นั่นสมควรยิ่งนัก เขาตอนนี้จึงขบคิดว่าจะให้รางวัลเด็กผู้นี้เช่นไรถึงจะดี!?

ขณะเหลิ่งจวิ้นอวี๋นึกถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อกำลังปรึกษาปัญหานี้พอดี

เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันชะงักฝีเท้า

ดียิ่ง ลองฟังสิ่งที่เขาอยากได้ก่อน จากนั้นเขาจะได้รู้ถึงสิ่งที่เขาต้องการทั้งหมด!

เล่อเหยาเหยาจึงพูดคุยกับเสี่ยวมู่จื่อเรื่องรางวัลที่จะได้รับ โดยไม่รู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋อยู่ด้านหลัง

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าว่าตนสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่เช่นนี้ หลังท่านอ๋องกลับมา จะประทานรางวัลใหญ่ให้เจ้าหรือไม่!?”

พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวมู่จื่ออิจฉาขึ้นมา และรู้สึกดีใจแทนเล่อเหยาเหยาอย่างออกหน้าออกตา

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ ในใจเล่อเหยาเหยาดีอกดีใจ และคาดหวังอย่างยิ่ง

 “เหอ เหอ ท่านอ๋องมีทรัพย์สมบัติมหาศาล วัตถุโบราณเครื่องหยกในวังล้วนมีค่ายิ่งนัก หากเขาใจดี ประทานเป็นให้ข้าเล็กน้อย ข้าก็ร่ำรวยแล้ว แต่เสี่ยวมู่จื่อเจ้าวางใจมีข้าอยู่ทั้งคน ข้าไม่ลืมเจ้าแน่นอน! อีกสามปีพวกเราไถ่ถอนตัวไปจากที่นี่แล้ว เอารางวัลพวกนี้ไปทำมาค้าขายเล็กๆ อยู่ข้างนอก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้เจ้าจะหาภรรยาไม่ได้ แต่อย่างน้อยยังมีพี่ชายเช่นข้าอยู่กับเจ้า!”

เล่อเหยาเหยาพูดให้คำมั่นอย่างหนักแน่น นอกจากนี้เธอยังพูดจริง

อันที่จริงตอนเด็กบิดาสอนเธอว่า ‘เมื่อได้รับบุญคุณ ต้องจดจำเป็นพันปี’ เสี่ยวมู่จื่อดีกับเธอ เธอไม่มีวันลืมแน่นอน

อีกอย่าง การเป็นบ่าวรับใช้ก็ต่ำต้อยน่าสงสารพอแล้ว

โดยเฉพาะในตระกูลใหญ่โตมีหน้ามีตา ชีวิตของบ่าวรับใช้ เดิมทีก็ไร้ค่าราวต้นหญ้า รวมถึงในวังกฎระเบียบมากมาย ทำอันใดล้วนต้องถูกโบยคุกเข่าบนพื้น เธอทนมาพอแล้ว

หากครั้งนี้พญายมกลับมา ใจดีประทานรางวัลให้เธอเพียงเล็กน้อย เธอจะเก็บรักษาไว้อย่างดี รอหลังสามปีจะไถ่ถอนตนกับเสี่ยวมู่จื่อไปจากวังอ๋องแห่งนี้

จากนั้นจะซื้อบ้านข้างนอก ทำการค้าเล็กๆ เธอไม่เชื่อว่าคนรุ่นใหม่จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเช่นเธอ หลังต้องมาอยู่ในสมัยโบราณ จะสร้างโลกของตนขึ้นมาเองไม่ได้!

ความจริงบางครั้ง เล่อเหยาเหยามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง!

แต่เธอกลับไม่รู้ ขณะที่ตนกำลังวาดฝันอย่างงดงามอยู่นั้น มีใครบางคนได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเธอ ดวงตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลันหรี่ลงเล็กน้อย กระทั่งรอยยิ้มจางที่มุมปากนั้น ค่อยๆ เม้มขึ้นกลายเป็นเส้นตรง แสดงถึงความไม่พอใจของเจ้าของ

จากไป!?

ที่แท้ในใจเขามีความคิดที่จะไปจากที่นี่!

แม้อีกสามปีเขาถึงจะไปจากที่นี่ได้ แต่เวลานี้ที่ได้ยินว่าเขามีความคิดจะไปจากที่นี่ ในใจเขาอดบีบแน่นไม่ได้ พลันไม่พอใจขึ้นมา

หรือว่าเขาคิดว่าตนปฏิบัติต่อเขาไม่ดี เขาจึงอยากออกจากที่นี่ไป ไปจาก…เขา!?

พอถึงถึงว่าเขาจะจากไป ต่อไปจะไม่เจอหน้าเขาอีกแล้ว ทำให้ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋กระวนกระวายและหวาดกลัว

เดิมทีโลกของเขามืดมน ไร้ความหมาย

เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นมา ราวกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ขจัดม่านหมอกหนาออกไป ทำให้ใจอันดำมืดของเขาค่อยๆ หายไป

ก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้รับความอบอุ่นเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกใดๆ ทว่าตอนนี้ เมื่อเขาได้ลิ้มลองความอบอุ่นความสุข เช่นนั้น เขาจะไม่ปล่อยมันไปเด็ดขาด ไม่ให้เขาจากไปเด็ดขาด!

ไม่เด็ดขาด!

หลังนึกถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินเข้ายังทิศที่เล่อเหยาเหยาอยู่นั้น

เล่อเหยาเหยาที่กำลังพูดคุยอย่างมีความสุข รู้สึกเพียงพลันด้านบนศีรษะมืดครึ้มขึ้น ในใจอดสงสัยไม่ได้

 “เอ๊ะ หรือว่าฝนจะตก? ฟ้าถึงมืดเช่นนี้?!”

 “เอ้อ ห๊ะ เป็น…ท่า…ท่านอ๋อง!?”

คนที่ได้สติก่อนคือเสี่ยวมู่จื่อ

เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ไม่รู้ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อใด เสี่ยวมู่จื่อตกใจจนตาเบิกกว้าง พลันคล้ายปลาหลีฮื้อพลิกตัว กระโดดขึ้นจากพื้นหญ้า ก่อนจะคุกเข่าบนพื้นทำความเคารพเหลิ่งจวิ้นอวี๋

ส่วนเล่อเหยาเหยาด้านข้าง กลับได้สติช้ากว่า ทว่าหลังได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อก็พลันลุกจากพื้นหญ้า ทำความเคารพชายหนุ่มตรงหน้าทันที

 “ถวายบังคมท่านอ๋อง!”

 “อืม ลุกขึ้นเถอะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยปากอย่างเย็นชา

แม้น้ำเสียงเขาจะนิ่งเรียบ แต่ไม่รู้เพราะเขาช่วยชีวิตเอาไว้ครั้งหนึ่งหรือไม่ ในใจเล่อเหยาเหยาจึงไม่ได้หวาดกลัวเขาดังตอนแรก

แต่เธอรู้ดีว่าอยู่เคียงเขาดั่งเคียงเสือ ดังนั้นขณะยืนอยู่ต่อหน้าพญายม เธอยังคงต้องระมัดระวัง

 “เมื่อครู่พวกเจ้าคุยอันใดกันหรือ? ถึงเบิกบานใจเช่นนี้”

เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้อยู่แก่ใจ แต่ยังเอ่ยถามออกไป แต่สีหน้าและคิ้วกระบี่บนใบหน้างดงามแสดงถึงความสนใจ

ส่วนเล่อเหยาเหยาที่ได้ยินคำถามนี้ของเขา เพียงส่ายหัวพลางยิ้มออกมา

 “เรียนท่านอ๋อง ความจริงเมื่อครู่พวกเราไม่ได้คุยอันใดกันขอรับ! โอ้ จริงสิ ไม่รู้วิธีการแก้ปัญหาเรื่องอุทกภัยและภัยแล้งของบ่าวเมื่อครู่ ใช้ได้หรือไม่ขอรับ!?”

สำหรับเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องที่เล่อเหยาเหยาสนใจที่สุด

เฮอๆ หากใช้ได้ ไม่รู้พญายมจะประทานรางวัลใดให้กับเธอ!?

เงินทองเครื่องประดับ!? ของโบราณมีค่า!?

เห้อๆ ที่จริงเธอไม่เกี่ยงงอน จะชิ้นเดียวหรือสองชิ้นก็ได้!ฮ่าๆ

…………………………………………………………………………..