ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 32 ท่านตงและท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามสวมเสื้อของลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และได้ยินคำที่ฝ่ายตรงข้ามพูด สีหน้าของลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งหมดก็เผยให้เห็นถึงความไม่พอใจทันที

ชายเสื้อขาวที่มีหนวดเคราปกคุมทั้งหน้าเดินเข้ามาใกล้ๆ แต่สายตากลับมองไปอีกทางหนึ่ง “คนน่ะ ควรจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน”

สิ่งที่อยู่ฝั่งนั้นคือเวทีการแสดงอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กลายร่างเป็นรุ้งวาดข้ามขอบฟ้าท่ามกลางแดดที่จ้าและฟ้าที่โปร่ง…” ด้านหลังของเวที มีเสียงพากย์ดังขึ้นลงเป็นทำนอง

ในเมืองใกล้ปราการไม่ได้มีเพียงแค่กองกำลังของเขากว่างเฉิงเท่านั้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็มีฐานทัพในพื้นที่นี้ด้วยเช่นกัน และยังมีอิทธิพลในระดับหนึ่งด้วย

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีบัณฑิตหรือนักแสดงละครคอยเล่าเรื่องราวตำนานของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยเช่นกัน

คนเหล่านี้ส่วนมากก็เป็นเพียงคนที่หาข้าวปลาเลี้ยงปากท้อง ซึ่งไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าข้างโอนเอนไปยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประชาชนชอบนิทานเรื่องเล่าอะไร พวกเขาก็แสดงอย่างนั้น

สำหรับเรื่องเล่าขานที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็คือผู้นำสำนักรุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งก็เป็นบุคคลที่เป็นตำนานอีกคนหนึ่ง

ตามตำนานของชาวบ้านเล่าว่าชายคนนี้เหินฟ้ายามกลางวันที่สว่างเจิดจ้า ส่วนในโลกของจอมยุทธ์ มีเรื่องราวการเล่าขานแตกต่างมากมาย

มีทั้งที่กล่าวว่าเขาได้เข้าสู้ในระดับที่สูงขึ้น ได้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์แล้ว

ก็มีที่กล่าวว่าเขายังคงเก็บซ่อนตัวและฝึกฝนลับอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

และยังมีกล่าวอีกว่าเขาเข้าฌานบำเพ็ญเพียรจนหมดสิ้นอายุขัยไปแล้วต่างๆ นานา

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้พบเห็นเขามานานแล้ว ข่าวลือคำพูดจึงมีต่างๆ นับไม่ถ้วน

หลังจากจ่านตงเก๋อล่วงลับไป สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้คนคนนี้เป็นผู้นำและค่อยๆ ตั้งตัวขึ้น จนสุดท้ายได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่

สายตาของชายชุดขาวมองไปยังบนเวทีฝั่งนั้น ความหมายของคำพูด ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจได้

ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงต่างรู้สึกหงุดหงิด

“เซียวเซิง เหตุใดเจ้าถึงได้กลายเป็นเจ้าหนวดเช่นนี้ล่ะ?” เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาที่รู้สึกประหลาดและขบขัน

เซียวเซิงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับกระดิกหูเล็กน้อย ราวกับกำลังฟังอะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็พินิจพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียดถี่ถ้วน

“เสียงเต้นของชีพจรและเลือดที่ไหลเวียนเบาแทบไม่ได้ยิน หนาแน่นแต่ไหลลื่น…เลือดดุจปรอท เจ้าบรรลุระดับปรมาจารย์จิตรานอกแล้ว? และยังทำการชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองสำเร็จในเวลารวดเร็วเช่นนี้?”

“แต่ก็ไม่สำคัญหรอก” เซียวเซิงบอกปฏิเสธ พลางกวาดตามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างพินิจพิจารณา “เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าเล่นงานคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าในหุบเหวปราการมังกร คงไม่ได้คิดว่าจะเล่นงานเปล่าๆ ใช่หรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “เจ้าจะออกหน้าให้กับพวกเฉาหยวนหลงหรือ? ”

เซียวเซิงขยับเท้าเดินเข้ามาข้างหน้าจนถึงตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ “ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไร?”

ในตอนแรกคนของเขากว่างเฉิงดูไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่เมื่อได้ยินชื่อของเซียวเซิงก็รู้ในทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร

หลานชายของท่านผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และถูกขนานนามว่ารุ่งอรุณทั้งสี่เช่นเดียวกับเฉาหยวนหลง แต่เวลาการฝึกฝนนานกว่า และระดับของวรยุทธ์สูงกว่า

“ปรมาจารย์ขั้นจิตรานอก…” ซือคงจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิง

เช่นเดียวกับเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ที่เป็นคู่ปรับที่รับมือได้ยากในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราในระยะท้าย ตลอดทางที่เซียวเซิงเดินผ่านมา วรยุทธ์ก็อยู่เป็นอันดับต้นๆ ของคนในระดับเดียวกับ ผลงานการรบก็โดดเด่นยิ่งกว่าเฉาหยวนหลง

เมื่อเทียบกับเฉาหยวนหลงที่ฝึกฝนวิชากระบี่ที่ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เซียวเซิงกลับเลือกที่จะฝึกวิชาดั้งเดิมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตามตำราลำดับขั้นตอน

แต่ถึงเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงโดดเด่นเหนือบรรดาอัจฉริยะรุ่นใหม่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ในอดีตเขาเคยชนะคู่ต่อสู้ที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะกลางด้วยระดับปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะต้น จึงทำให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่ว

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงแม้จะมีความมั่นใจในตัวของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ด้วยระดับวรยุทธ์ของเซียวเซิง ประสบการณ์การต่อสู้ของเขามีมากกว่ามาก จึงยากที่จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่นใจ

เสียงของเซียวเซิงทุ้มใหญ่ แต่น้ำเสียงค่อยเป็นค่อยไป “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่นงานพวกเฉาหยวนหลงอย่างไร วันนี้ข้าก็จะมาคืนให้แบบนั้น”

“นอกจากเฉาหยวนหลงแล้ว เจ้ายังเล่นงานศิษย์น้องคนอื่นๆ ของข้า วันนี้นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเจ้า ข้าก็จะเลือกคนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย”

การกดขี่ด้วยระดับวรยุทธ์เช่นที่เซียวเซิงทำอยู่ในตอนนี้ ทำให้ทุกคนเกิดไม่พอใจเป็นธรรมดา “เจ้าคิดว่าเขากว่างเฉิงของเราไม่มีปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะท้ายหรืออย่างไร?”

เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีสีหน้าเป็นปกติ “จอมยุทธ์ที่อายุน้อยกว่าสี่สิบปี โดยปกติแล้วถ้าอายุห่างกันสามถึงห้าปีจะถูกแบ่งเป็นช่วงอายุที่ต่างกัน”

“เจ้ากับข้าถึงอายุจะห่างกันไปหน่อย แต่ว่าข้าก็ไม่ถือสาหรอก ก็ถือเสียว่าพวกเราอายุเท่ากันก็แล้วกัน”

“อาหู่ เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง”

อาหู่จ้องเซียวเซิงอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อได้ยินคำสั่งของเยี่ยนจ้าวเกอ จึงพยักหน้าแล้วถอยหลังไป

เซียวเซิงจ้องเยี่ยนจ้าวเกอ “ความสามารถเป็นเช่นไรค่อยว่ากัน แต่ความกล้าหาญไม่น้อยเลย”

“ข้าจะไม่รังแกเจ้าด้วยระดับวรยุทธ์ วิชาดาบของเจ้าทำลายวิชาเข็มทองสุริยันและหัตถ์เทพกลางเวหาของเฉาหยวนหลงได้ กระบวนท่าการเคลื่อนไหวของเจ้าคงมีเอกลักษณ์เฉพาะ เช่นนั้นข้าจะประลองกระบวนท่ากับเจ้าแล้วกัน”

พูดแล้ว เซียวเซิงก็กางแขนทั้งสองข้างออก

ที่ห่างออกไปกำลังมีการแสดงของ ‘ท่านตงปลิดชีพราชาราชาปีศาจอัคคี’ และ ‘ท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์เหินนภาวันสว่าง’ อยู่ นักแสดงหุ่นกระบอกทั้งสองกลุ่มรู้สึกเพียงว่าจู่ๆ มือก็เบาไป

จากนั้นพวกเขาก็พบว่า ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่เป็นตัวแทนของท่านตงและท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือหายไป

ผู้ชมต่างก็ตกใจฮือฮากัน และมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าตุ๊กตาหุ่นกระบอกหายไปไหน และหายไปได้อย่างไร

ตุ๊กตาหุ่นกระบอกทั้งสองต่างก็อยู่ในมือของเซียวเซิง ในมือของเซียวเซิงจับไม้ควบคุมตุ๊กตาหุ่นกระบอก และเชือกใต้ไม้ควบคุมก็ตรึงตัวของตุ๊กตาหุ่นกระบอกไว้

“ได้ยินมาว่าเจ้าใช้ท่อนไม้ไผ่แทนกระบี่ และควบคุมได้อย่างอิสระ คิดว่าคงควบคุมปราณจิตราได้ดีไม่น้อย มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเล่นสนุกกับข้า”

เซียวเซิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านี่แม้มันจะมีความหนาแน่นมากกว่าไม้ไผ่ แต่มันเปราะบางมาก ถ้าถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปมากเกิน มันก็จะระเบิดตัวเอง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะรังแกเจ้าด้วยระดับของวรยุทธ์ ของเล่นชิ้นนี้ก็เป็นเหมือนกันสิ่งที่จำกัดการขับเคลื่อนปราณจิตราที่เป็นขีดจำกัดสูงสุดของพวกเรา”

“การขับเคลื่อนปราณจิตราก็เหมือนกันหมดทุกคน ถ้าอยากชนะ เราก็มาประลองกันดูว่าวรยุทธ์ของใครมีการเปลี่ยนแปลงที่ประณีตมากกว่ากัน ใครจะสามารถขับเคลื่อนปราณจิตราได้ละเมียดละไมกว่ากัน”

พูดแล้ว เซียวเซิงก็โยนตุ๊กตาหุ่นกระบอกของท่านตงให้เยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอรับตุ๊กตาหุ่นกระบอกไว้ แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา “ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ท่านอาจารย์ปู่คนนี้ของสำนักเจ้า ตอนนั้นถูกท่านอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ขับไล่เข้าไปที่ปากปล่องภูเขาไฟ ก็ไม่กล้าออกจากที่นั่นตั้งชั่วครึ่งอายุคน”

“จนกระทั่งราชาปีศาจอัคคีบุกรุก ได้รับอนุญาตพิเศษจากท่านอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ ถึงคลานออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟสินะ?”

เซียวเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “คนของเขากว่างเฉิง พูดเป็นแต่เรื่องในอดีตหรือ? ถ้าชอบที่จะมีชีวิตอยู่ในอดีต งั้นก็จงเป็นผุยผงไปพร้อมกับประวัติศาสตร์เลยแล้วกัน”

ครั้นกล่าวจบ เขาก็กระตุกฝ่ามือครั้งหนึ่ง ปราณจิตราพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย

เชือกที่ตรึงตัวของหุ่นกระบอกขาดทุกเส้น แต่ตุ๊กตาหุ่นกระบอกยังลอยอยู่กลางอากาศไม่ตกพื้น ยิ่งไปกว่านั้น รอบตัวหุ่นก็ปรากฏแสงสีทองอ่อนๆ ไหลเวียนไปมาด้วย

ภายใต้ปราณจิตราที่ถูกกระตุ้นให้ปลดปล่อยออกมา ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่หยาบกระด้างก็มีดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที ราวกับมีชีวิตเป็นของตนเอง

แขนขาทั้งสี่ของหุ่นกระบอกขยับไปมา และตบฝ่ามือหนึ่งตรงไปยังตุ๊กตาหุ่นกระบอกของท่านตงที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ!

ฝ่ามือเล็กๆ ของตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ตบไปเกิดเป็นลมที่เย็นเฉียบ!

ทั้งในอากาศก็เกิดเสียงดังกระหึ่ม ราวกับระเบิด!

ทุกคนของเขากว่างเฉิงที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นใจ “มิน่าล่ะ เขารู้ทั้งรู้ว่าศิษย์พี่เยี่ยนชนะเฉาหยวนหลงได้อย่างไร แต่ยังกล้าใช้วิธีแบบนี้ท้าประลอง!”

เยี่ยนจ้าวเกอกลับยิ้มขึ้น พลิกฝ่ามือลง เชือกที่ตรึงกับตุ๊กตาหุ่นกระบอกของตนเองก็ขาดออกเช่นกัน

ภายใต้การขับเคลื่อนของปราณจิตรา ดวงตาทั้งคู่ของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านตงราวกับมีแสงกะพริบอยู่

บัดนี้ ท่านตงได้เปลี่ยนเป็นผู้สะเทือนสวรรค์ที่ทรงพลัง

ดาบที่อยู่ในมือของตุ๊กตาหุ่นกระบอกสั่นครั้งหนึ่ง ก่อนจะฟาดฟันผ่านอากาศไป กลบเหลือไว้เพียงร่องรอยที่มองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า

“แสดงได้ดีๆ เยี่ยนจ้าวเกอ อย่างน้อยก็ทำให้ข้ารู้สึกสนุกหน่อยสิ” บัดนี้ดวงตาทั้งคู่ของเซียวเซิงมีแววที่เย็นยะเยือกราวกับงู

ภายใต้การควบคุมของเขา ฝ่ามือทั้งสองของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยกลอยขึ้น และโจมตีไปที่ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ!

……………