บทที่ 43 แตกต่างไปจากเดิม

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สี่สิบสาม

แตกต่างไปจากเดิม

เสวี่ยเจียเยว่อยากจะด่าคนในเรือนยิ่งนัก ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมีความอดทนมากกว่า เขายังเคาะประตูลานเรือนอยู่หลายครั้ง หากเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไม่ยอมเปิดประตูให้ เขาก็สามารถเคาะต่อไปจนฟ้าสว่างได้

ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงด่าของซุนซิ่งฮวาลอยมา ไม่นานก็มีเสียงเปิดประตูเรือน ตามด้วยประตูลาน และคนผู้หนึ่งเดินออกมา คนผู้นั้นก็คือเสวี่ยหย่งฝู

เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ก้าวข้ามธรณีประตูลานแล้วเดินเข้าไปในเรือน ก่อนจะพบว่าซุนซิ่งฮวาที่มีเสื้อบุนวมคลุมไหล่นั้น ยืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องของตน นางกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาถากถาง

“ที่แท้ก็รู้จักกลับเรือนเหมือนกันหรือ นึกว่าพวกเจ้าถูกข้าด่าไปเมื่อวาน จึงใช้โอกาสที่ได้เข้าไปในเมืองวันนี้หนีไปเสียแล้ว ดูเหมือนว่าข้าประเมินพวกเจ้าสูงไปจริงๆ พวกเจ้าสองคนทะนงตัวที่ไหนกัน”

เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งปล่อยให้นางพล่ามไปเช่นนั้น ทั้งสองคนไม่พูดไม่จาและทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร

ซุนซิ่งฮวาพูดอยู่คนเดียวครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ จึงเปลี่ยนมาถามพวกเขา “พวกเจ้าไปช่วยยายแก่ผู้นั้นขายเต้าหู้ทั้งวัน นางได้ให้เงินมาหรือไม่ อย่าได้แอบเก็บเอาไว้เชียว เอาออกมาให้หมด ไม่อย่างนั้นหากข้าจับได้ว่าพวกเจ้าแอบเก็บเอาไว้ ข้าจะถลกหนังพวกเจ้าออกมาเลยคอยดู”

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบด้วยท่าทางจริงใจ “ท่านยายหานไม่มีเงินให้ข้ากับท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ แต่เลี้ยงหมัวหมัวเฝิ่นทังข้ากับท่านพี่ไปตอนกลางวัน”

เมื่อซุนซิ่งฮวาได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “แล้วยายแก่ผู้นั้นให้พวกเจ้ากินของอร่อยๆ อะไรบ้าง”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางเอ่ยถึงกระต่ายที่เสวี่ยหยวนจิ้งจับได้ และเนื้อกระต่ายทอดที่ยายหานทำให้พวกเขากินในวันนี้อย่างแน่นอน

“ก็ไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ แค่ผัดเต้าหู้ใส่หอมซอยจานหนึ่ง แล้วก็ผัดฟองเต้าหู้ใส่พริกหยวกเจ้าค่ะ”

“สองอย่างนี้เจ้าบอกว่าไม่มีอะไรมากอย่างนั้นหรือ” ซุนซิ่งฮวาด่าอีกครั้ง “เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยหรืออย่างไร ถึงได้พูดคำใหญ่คำโตเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้ากินหญ้าแล้วกัน”

เมื่อสิ้นประโยคนั้น นางก็เดินเข้าห้องไป โดยไม่สนใจเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งอีก

เสวี่ยหย่งฝูมองพวกเขาทั้งสองคน สุดท้ายสายตาก็ตกไปที่ร่างของเสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่กำลังยืนอยู่ใกล้ประตูในเวลานี้ แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนร่างของทั้งคู่ ทำให้พวกเขาดูราวกับกิ่งทองใบหยกก็ไม่ปาน

เขาปรายตามองใบหน้าราวหยกภายใต้แสงจันทร์ของเสวี่ยวเจียเยว่ อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสดวงหน้านั้นยิ่งนัก ทว่ากลับมีเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ด้วย จึงไม่เหมาะหากเขาจะทำเช่นนั้น ในที่สุดก็ทำได้เพียงหัวเราะออกมา

“ตอนเย็นแม่ของเจ้าทอดเต้าหู้ที่เหลือจากเมื่อวาน แต่รสชาติกลับไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเจ้าเลย มิน่าล่ะ ท่านยายหานถึงได้เอ็นดูเจ้านัก เอ้อร์ยา ต่อไปหากเจ้าไม่มีอะไรทำ ก็เดินไปเรือนนางบ่อยๆ เผื่อจะได้เต้าหู้มาทอดอีกสองสามแผ่น พ่อชอบกิน”

เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘พ่อชอบกิน’ ก็เรียกว่ารอยยิ้มของเขาดูทะเล้นได้เลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่เสวี่ยเจียเยว่ที่รังเกียจเท่านั้น แม้แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยังขมวดคิ้วแน่นทันที

เด็กหนุ่มไม่อยากให้เสวี่ยหย่งฝูยืนพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ตรงนี้ เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านพ่อ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ท่านเข้าห้องไปนอนเถอะ”

เสวี่ยหย่งฝูหัวเราะคิกคัก แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเดินเข้าไปในห้อง จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนด่าอย่างเบื่อหน่ายของซุนซิ่งฮวาดังออกมา

“เจ้าจะนอนหรือไม่! ข้ารอเจ้าไม่ไหวแล้วนะ”

เสวี่ยหย่งฝูยังคงหวาดกลัวซุนซิ่งฮวา จึงรีบขานรับทันที “ข้ามาแล้วๆ”

จากนั้นเขาก็เอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่และเสวี่ยหยวนจิ้งว่าให้พวกเขารีบเข้านอน ก่อนจะเข้าห้องไปและปิดประตู

เมื่อเขาไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ

เธอคงคิดมากไปเอง เพราะร่างนี้เป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ กระนั้นเธอก็ไม่อยากอยู่กับเสวี่ยหย่งฝูไปตลอดชีวิต

เสวี่ยหยวนจิ้งมองไปยังประตูห้องของบิดาทั้งที่ยังขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหันมากล่าวกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“วันนี้ออกไปทั้งวัน เจ้าคงเหนื่อยแย่แล้ว รีบเข้านอนเร็วๆ หน่อยก็ดี”

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับ “เจ้าค่ะ ท่านพี่ก็รีบเข้านอนเช่นกันนะเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาเดินไปเอาถังไม้มาตักน้ำ ก่อนจะนำกลับไปที่เรือนของตน

เธอปิดประตูเรือนแล้วลงกลอน คิดว่าตนเองก็ควรไปตักน้ำมาล้างหน้าบ้วนปากเสียหน่อย

ทว่าเมื่อเดินไปดูที่ห้องครัว ไหนเลยจะยังมีน้ำร้อนเหลืออยู่

ค่ำคืนของฤดูหนาวในชนบทนั้นอากาศเย็นยะเยือกมิใช่น้อย เสวี่ย-เจียเยว่จึงทำได้เพียงรีบใช้น้ำเย็นล้างมือล้างหน้าให้เร็วที่สุด จากนั้นก็รีบไปปิดประตูลงกลอน แต่เมื่อคิดดูอีกที ก็ยกเก้าอี้ไม้ไผ่เก่าๆ มาวางชิดประตู ก่อนจะถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วขึ้นเตียงนอน

วันนี้เธอตะลอนอยู่นอกหมู่บ้านทั้งวัน จึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ทำให้หลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน

เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมาพบว่าด้านนอกฟ้าสว่างแล้ว และเพราะกังวลว่าหากซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูตื่นแล้วเห็นว่ายังไม่มีอาหารเช้า ซุนซิ่งฮวาอาจจะด่าเอาได้ เธอจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อตัวนอกเพื่อเตรียมไปทำอาหารเช้า

จากนั้นเธอได้ยินเสียงเคาะประตูเรือนเบาๆ เมื่อเดินออกจากห้องแล้วมองผ่านรอยแยกบนประตูเรือน ก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังยืนอยู่ด้านนอก

เธอรีบถอดกลอนและเปิดประตูทันที ก่อนจะเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่”

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นพร้อมกับแสงสีแดงเข้มที่ปรากฏอยู่บนขอบฟ้า และในตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่ารอยยิ้มของเสวี่ยเจียเยว่สดใสเช่นเดียวกับพระอาทิตย์ดวงนั้น

เขาขานรับหนึ่งเสียง จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในเรือน

ยามเช้าตรู่ในฤดูหนาวอากาศจะหนาวมาก ลมหายใจก็กลายเป็นควันขาว และเพราะไม่มีน้ำร้อน ทั้งสองคนจึงไม่ได้ล้างหน้าบ้วนปากในยามนี้

ธัญพืชต่างๆ อยู่ในห้องของซุนซิ่งฮวา แต่นางเป็นคนขี้เกียจ และไม่ชอบให้ใครไปรบกวนแต่เช้า นางจึงมักจะนำธัญพืชและผักต่างๆ ไปวางไว้ในห้องครัวตั้งแต่ช่วงกลางคืน พร้อมกับสั่งเสวี่ยเจียเยว่ว่าพรุ่งนี้เช้าต้องทำอาหารอะไรบ้าง

แม้เมื่อคืนซุนซิ่งฮวาจะไม่ได้สั่งเอาไว้ แต่เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในครัว ก็รู้ว่าต้องทำอาหารอะไรบ้าง เธอนำข้าวสารกับถั่วเขียวมาทำเป็นข้าวต้มถั่วเขียว

ในฤดูร้อนชาวบ้านมักกินข้าวต้มในมื้อเช้าและเย็น ส่วนมื้อกลางวันนั้นเป็นข้าวสุก บางครั้งก็กินข้าวสุกตอนเช้ากับกลางวัน แต่เมื่อถึงฤดูหนาว งานในไร่นาลดน้อยลง ดังนั้นร่างกายจึงไม่ได้สูญเสียพลังงานเท่าไรนัก ในหนึ่งวันต้องกินข้าวต้มทั้งสามมื้อ ทำเช่นนี้จะสามารถประหยัดธัญพืชไปได้บ้าง

ข้าวกับถั่วเขียวถูกแช่น้ำเอาไว้อย่างละครึ่งถ้วยตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้เธอซาวขึ้นมา จากนั้นก็นำหม้อมาวางบนเตาพร้อมกับเติมน้ำ ก่อนจะก่อไฟและยัดฟืนเข้าไปในเตา

เสวี่ยหยวนจิ้งช่วยเติมฟืน ขณะเดียวกันเขาก็หยิบตำราออกมาอ่าน

เสวี่ยเจียเยว่หันไปมอง ก็เห็นว่าตำราที่เขาถืออยู่นั้นคือจั่วจ้วน ซึ่งซื้อมาจากร้านขายตำราเมื่อวาน อีกทั้งยังเห็นว่ามันถูกพลิกอ่านไปแล้วหลายหน้า เสวี่ยหยวนจิ้งคงตื่นขึ้นมาอ่านนานแล้ว จากนั้นเขาก็มองผ่านหน้าต่างห้องเธอ พอเห็นว่าเธอตื่นนอนแล้ว ถึงได้มาเคาะประตูเรือน

เธอยิ้มร่าและไม่คิดจะเอ่ยปากรบกวนเขา ก่อนจะโน้มตัวไปหยิบผักกวางตุ้งมาล้างทำความสะอาด

อากาศหนาวเย็นในตอนเช้าตรู่ไม่เป็นปัญหาต่อการล้างผัก เพราะนอกจากหม้อใหญ่สองใบบนแท่นเตาแล้ว ตรงกลางระหว่างหม้อสองใบนั้นยังมีหม้อขนาดเล็กทว่าด้านในกลับลึกพอสมควร ในขณะที่ต้มข้าวก็ต้มน้ำไปด้วย เสวี่ยเจียเยว่เปิดฝาหม้อใบเล็กออก ตักน้ำที่เดือดแล้วลงไปในถังไม้ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะตักน้ำเย็นใส่ตามลงไปอีกครึ่งเพื่อทำให้น้ำอุ่นพอเหมาะ การล้างผักในน้ำอุ่นเช่นนี้จะไม่ทำให้รู้สึกหนาว

เมื่อล้างผักสะอาดแล้ว เสวี่ยเจียเยว่หยิบมีดกับเขียงมาวางเอาไว้ ก่อนจะนำผักมาหั่น พอเห็นว่าน้ำในหม้อเดือดได้ที่แล้ว แต่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวายังไม่ตื่น เธอจึงรีบบอกให้เด็กหนุ่มนำถังไม้มาตักน้ำเดือดในหม้อ แล้วผสมกับน้ำเย็นให้เป็นน้ำอุ่นเพื่อที่จะนำไปล้างหน้าบ้วนปาก ส่วนตนก็รีบล้างหน้าบ้วนปากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นหากรอให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตื่นขึ้นมา ไม่แน่น้ำร้อนนี้อาจถูกพวกเขาใช้หมดก็เป็นได้ ส่วนเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งคงทำได้แค่ใช้น้ำเย็นเท่านั้น

หลังจากพวกเขาล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว ก็เห็นว่าข้าวต้มกำลังสุกได้ที่พอดี เธอจึงลงมือผัดผัก

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าประตูห้องของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเปิดออกแล้ว และพวกเขาเดินออกจากห้องพร้อมกัน

เสวี่ยเจียเยว่ก้มหน้าก้มตาผัดผักต่อไป แกล้งทำเป็นว่าตนมองไม่เห็นพวกเขา

เสวี่ยหย่งฝูถือถังไม้เข้ามาเพื่อจะนำน้ำอุ่นไปให้ซุนซิ่งฮวาล้างหน้า ทว่าเมื่อเห็นใบหน้างดงามท่ามกลางควันที่พวยพุ่งออกมาจากเตา หลังจากตักน้ำเสร็จ เขาก็ไม่ได้เร่งรีบเดินออกไป แต่กลับวางถังไม้ลงบนแท่นเตา ก่อนจะมองเสวี่ยเจียเยว่พร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อวานเจ้าเข้าเมืองไปกับท่านยายหานครั้งแรก ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากสนทนากับเขาจึงไม่เงยหน้าขึ้นมอง แต่ตอบไปเพียงสั้นๆ “ไม่ได้ไปไหนเจ้าค่ะ”

ทว่าเสวี่ยหย่งฝูไม่ได้อึดอัดเพราะคำพูดนี้อย่างเห็นได้ชัด กลับเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เจ้า…”

เขามิได้สังเกตว่าซุนซิ่งฮวากำลังยืนอยู่ข้างประตู ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไม่สบอารมณ์ของนาง

“ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นห่วงนางเช่นนี้มาก่อน ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงนางมาก ต่อไปนางไปที่ไหน เจ้าก็ตามก้นนางไปด้วยเลยสิ จะได้ไม่ต้องมาถามให้นางไม่ไว้หน้าเจ้าเช่นนี้”

เสวี่ยหย่งฝูรีบหันกลับไปทันที ก่อนจะยิ้มหยอกเย้าภรรยา “เอ้อร์ยาก็เป็นลูกสาวของเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าห่วงนางในฐานะพ่อมันไม่ดีตรงไหน”

ซุนซิ่งฮวาถลึงตามองเขา ทว่าไม่ได้เอ่ยคำใด ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินออกไป

เสวี่ยหย่งฝูไม่สนใจเสวี่ยเจียเยว่อีก เขายกถังน้ำตามซุนซิ่งฮวาไป จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินเสียงซุนซิ่งฮวาด่าเขาดังมาจากห้องโถง

“เจ้าช่างชั่วช้าจริงๆ ลูกสาวเจ้าอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าเป็นพ่อลูกกันแค่ในนามเท่านั้น แท้จริงแล้วนางเป็นลูกสาวแบบไหนของเจ้ากัน อีกอย่าง… ท่าทางนางเย็นชากับเจ้าขนาดนั้น แต่เจ้าก็ยังหน้าด้านเข้าไปพูดคุยกับนางอีก หากไม่ใช่เจ้าที่เลวทราม จะเป็นใครไปได้อีกเล่า”

เมื่อเสวี่ยหย่งฝูได้ยินเช่นนั้น ก็เอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่นางด้วยรอยยิ้ม “ใช่ๆ ข้ามันเลว เจ้าอย่าโกรธไปเลยนะ”

จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาเอ่ยกระซิบอันใด ถึงได้ยินซุนซิ่งฮวาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ไม่รู้ว่าวันแบบนี้จะผ่านพ้นไปเมื่อไร เสวี่ยเจียเยว่ลอบถอนหายใจกับตัวเอง ก่อนจะตักผัดผักใส่จาน

อาจเป็นเพราะเรื่องเมื่อครู่นี้ ตอนกินข้าวเช้า ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาซุนซิ่งฮวาไปทุกอย่าง เสวี่ยเจียเยว่ทำเป็นไม่สนใจ เพียงก้มหน้าก้มตากินข้าวเท่านั้น

โชคดีที่หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็ออกไปเล่นไพ่ใบไม้ที่โรงบ่อน เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้โล่งอกไปมาก

วันนี้แดดดี เสวี่ยเจียเยว่จึงนำผ้าห่มออกมาตากด้านนอก ก่อนจะเดินไปที่เรือนของเสวี่ยหยวนจิ้ง

เธอพบว่าเด็กหนุ่มกำลังนั่งอ่านตำราอย่างตั้งใจ จึงเรียกเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ตอนกลางคืนช่างหนาวนัก ตอนนี้แดดกำลังดี ให้ข้านำผ้าห่มของท่านออกไปตากดีกว่า”

“ผ้าห่มมันหนัก ข้าจะหอบไปเอง” ในขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะวางตำราในมือลงนั้น กลับถูกเสวี่ยเจียเยว่ห้ามเอาไว้

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ มันจะหนักสักเท่าไรกันเชียว ข้าหอบไปไหวเจ้าค่ะ ท่านอ่านตำราต่อเถอะ” เมื่อเธอกล่าวจบก็เดินเข้าไปหอบผ้าห่มบนเตียงของเสวี่ย-หยวนจิ้ง แล้วออกไปจากเรือนเก็บฟืน

หลังจากตากผ้าห่มเสร็จ เธอก็นำเสื้อผ้าที่ต้องซักมาใส่ในตะกร้า บอกเสวี่ยหยวนจิ้งว่าจะไปซักผ้าที่ลำธาร ก่อนจะหิ้วตะกร้าแล้วเดินออกไป

เมื่อก้าวพ้นประตูลานเรือน เสวี่ยเจียเยว่เห็นแม่ม่ายจ้าวกำลังยืนพิงประตูลานเรือนของนางด้วยท่าทางอ่อนแรง สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ และกำลังพูดคุยหยอกล้อกับคนผู้หนึ่ง

คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายที่ทั้งเก่าและขาดซอมซ่อ เผยให้เห็นก้อนฝ้ายที่โผล่ออกมาจากด้านใน แขนเสื้อด้านขวายังมีคราบน้ำมันเลอะเป็นดวงขนาดใหญ่ เขากำลังหัวเราะและพูดคุยเรื่องตลกกับแม่ม่ายจ้าว ทั้งยังเห็นฟันสีเหลืองที่ไม่เท่ากันอีกด้วย

เขาคือเสวี่ยเหล่าซาน

ครู่หนึ่งแม่ม่ายจ้าวกับเสวี่ยเหล่าซานก็มองเห็นเสวี่ยเจียเยว่… เนื่องจากซุนซิ่งฮวาแต่งงานกับเสวี่ยหย่งฝูแล้วก็เคยทะเลาะวิวาทกับแม่ม่ายจ้าวอย่างรุนแรง จนทั้งสองฝ่ายไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานแล้ว เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ นางจึงกลอกตาไปมา ก่อนจะหันไปมองภาพเทพเจ้าที่แตกหักไม่สมบูรณ์ ซึ่งถูกแสงแดดสาดกระทบอยู่บนประตูลานเรือนของตน

เสวี่ยเหล่าซานเดินมากล่าวกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม “โอ้ น้องเอ้อร์ยาเองหรือ เจ้าจะไปที่ใดล่ะ”

เมื่อเห็นแม่นางน้อยหิ้วตะกร้าผ้ากับไม้ตีผ้า เขาก็เอ่ยถามต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “น้องเอ้อร์ยากำลังจะไปซักผ้าหรือ น้ำในลำธารมันลึก เจ้าไปคนเดียวพี่ซานคงไม่สบายใจ ให้พี่ซานไปซักผ้ากับเจ้าดีหรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่แยแสเขาแม้แต่น้อย กลับหิ้วตะกร้าผ้ามุ่งหน้าไปทางลำธารสายเล็ก

เดินมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินแม่ม่ายจ้าวพูดถากถางเสวี่ยเหล่าซานดังตามหลัง

“ทำไม เห็นเด็กมีน้ำมีนวลถึงกับเกิดความคิดต่ำช้าเชียวหรือ เจ้าสั่งสมคุณธรรมให้มากๆ เถอะ นางเพิ่งอายุเท่าไรกัน”

ทั้งยังได้ยินเสวี่ยเหล่าซานหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยขึ้น “เหตุใดข้าจะไม่สั่งสมคุณธรรมเล่า พ่อเลี้ยงนางเป็นคนเช่นไร คนทั่วหมู่บ้านรู้ดี หรือว่าเจ้าไม่รู้ เด็กหน้าตางดงามเช่นนี้อยู่ต่อหน้า ก็เหมือนกับวางเนื้อสดใหม่ไว้ตรงหน้าหมาป่า เขาจะอดใจไหวหรือ พ่อเลี้ยงลูกเลี้ยง เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในหมู่บ้านของพวกเรามาก่อน หากเสวี่ยหย่งฝูยังคิดได้ แล้วข้าเสวี่ยเหล่าซานเหตุใดจะคิดไม่ได้ ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ทั้งนั้น”

ไม่นานก็ได้ยินเสียงถุยน้ำลายของแม่ม่ายจ้าว ก่อนจะหัวเราะออกมา

เสวี่ยเจียเยว่ขบริมฝีปากแน่น มือซ้ายที่หิ้วตะกร้ากำแน่นขึ้น จนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนขึ้นมาอย่างเด่นชัด

‘ฉันไม่สามารถเอาตัวเองมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ไปตลอดได้’ หัวใจของเธอเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เธออยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้เด็ดขาด!

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่กลับมาจากซักผ้า เสวี่ยหยวนจิ้งก็พบว่าผมเผ้าของอีกฝ่ายกระเซอะกระเซิง ใบหน้าสกปรกมอมแมม เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เสวี่ย-เจียเยว่ที่รักความสะอาดตลอดเวลา

“เจ้าเป็นอะไรไป” เด็กหนุ่มตกใจจึงรีบวางตำราในมือลงแล้วเดินไปหาแม่นางน้อย สายตาจับจ้องไปที่อีกฝ่าย หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียด มือทั้งสองข้างก็สั่นเทาเบาๆ มีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่ยังดูเยือกเย็นนิ่งสงบ

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางเป็นคนสกปรกมอมแมมเช่นนี้แน่นอน หรือว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้ไม่ใช่แม่นางน้อยผู้นั้นแล้ว แต่เป็น…

ทว่าไม่นานเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคย “ท่านพี่ ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าแต่งตัวเช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ”

‘ยังเป็นนาง นางยังไม่ได้ไปไหน’

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกโล่งอก ทว่าเขายังไม่วางใจ ฝ่ามือที่กำแน่นเต็มไปด้วยเหงื่อ

ในเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ ‘มา’ ต่อไปในภายภาคหน้าอาจจะ ‘ไป’ อย่างกะทันหันหรือไม่ เมื่อถึงเวลาที่แม่นางผู้นี้ต้องไป เขาต้องไปตามหาที่ไหน

เมื่อคิดเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก ชั่วขณะนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามหรือคิดเรื่องที่จู่ๆ เหตุใดเสวี่ยเจียเยว่ถึงได้แต่งตัวเช่นนี้

หลังจากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังร่างของเสวี่ยเจียเยว่ มองอีกฝ่ายตากผ้าในลานเรือน และหยิบไม้กวาดมากวาดพื้น ดวงตาคู่นั้นของเขาไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบ ราวกับว่าหากเขากะพริบตาเพียงครั้งเดียว เสวี่ย-เจียเยว่ก็จะ ‘หายไป’ ในทันที

เสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเขา จึงถือไม้กวาดเดินไปเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”เหตุใดเขาถึงได้จับจ้องตลอดเวลา และเพราะอะไรเธอจึงรู้สึกถึงแรงกดดันมากมายเช่นนี้

“ไม่มีอะไร” เสวี่ยหยวนจิ้งรีบเบือนหน้าไปมองทางอื่น ไม่คิดจะมองเสวี่ยเจียเยว่ ทว่าครู่หนึ่งเขาก็หันมามองหน้าอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าจะ ‘หายไป’ หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าตนเผยพิรุธอันใดต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อได้ยินเขาเอ่ยคำว่า ‘หายไป’ ก็เข้าใจในคนละความหมายกับเขา ก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าจะไปที่ไหนได้ล่ะเจ้าคะ”

เมื่อวานนี้เสวี่ยหยวนจิ้งยังพูดเรื่องการขออนุญาตออกนอกหมู่บ้านที่หน้าประตูสำนักหยาเหมินอยู่เลย ตอนนี้เธอจะไปที่ไหนได้อีกเล่า เธอไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สามารถมองเห็นเดือนเห็นตะวันไปตลอดชีวิต ทั้งยังไม่อยากถูกราชสำนักจับเพราะเป็นคนเร่ร่อนหรือหัวขโมย

เมื่อไตร่ตรองครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ เมื่อวานท่านก็บอกเองว่าพวกเราจะไม่อยู่ในหมู่บ้านนี้ไปตลอดชีวิต ท่านจะพาข้าออกไปจากที่นี่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

แม้ว่าเธอจะไม่สงสัยเรื่องที่เสวี่ยหยวนจิ้งเคยพูด ทว่าเมื่อครู่ได้ยินเสวี่ยเหล่าซานพูดกับแม่ม่ายจ้าว ตอนนี้ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ จึงอยากจะแน่ใจ อีกทั้งคนที่เธอสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้ เหมือนจะมีเพียงเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น…

เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าอย่างจริงจัง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ใช่ ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอน”

เมื่อเห็นเช่นนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็วางใจ

ความทุกข์มักจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ตราบใดที่มีความอดทน คิดว่าไม่นานเธอก็จะออกไปจากที่นี่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเธอจะไปกับเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างสง่าผ่าเผย

เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มแย้มงดงาม แม้ว่าใบหน้าของเธอจะสกปรก แต่กลับไม่สามารถบดบังรอยยิ้มที่งดงามได้

“เจ้าค่ะ ท่านพี่ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอท่านพาข้าออกไปจากที่นี่นะเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองใบหน้าที่สดใสเป็นประกายของแม่นางน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงจัง

เห็นได้ชัดว่าคำพูดไม่กี่ประโยคของเสวี่ยเจียเยว่ทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจเป็นอย่างมาก เขาไม่มองตามอีกฝ่ายแล้ว แต่หันกลับมาหยิบตำราขึ้นมาอ่าน

อีกไม่นานจะมีการสอบซิ่วฉาย ซึ่งเป็นระดับต้นหรือระดับท้องถิ่น เขาต้องสอบผ่านรอบนี้ได้อย่างแน่นอน นี่คือขั้นแรก หลังจากนั้นเขาก็ต้องสอบผ่านระดับสูงขึ้น ไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็จะพาเสวี่ยเจียเยว่ไปด้วย ไม่มีวันทิ้งอีกฝ่ายให้อยู่ในหมู่บ้านนี้ลำพังเด็ดขาด

การที่เสวี่ยเจียเยว่ตั้งใจทำให้ตัวเองสกปรกมอมแมมเหมือนเอ้อร์ยานั้น เมื่อซุนซิ่งฮวาเห็นก็พูดเพียงไม่กี่ประโยค ทั้งยังไม่ได้บ่นด่าอันใดมากมายนัก คงจะเคยชินกับความสกปรกมอมแมมของลูกสาวในอดีต ทว่าเสวี่ยหย่งฝูรู้สึกเสียดายยิ่งนัก เขาขอให้เสวี่ยเจียเยว่ทำความสะอาดตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่เธอกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน และทำเหมือนจะบอกเขาว่า ‘นี่มันตัวของข้า ข้าอยากทำเช่นไรก็เรื่องของข้า’

ดาวไถที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าค่อยๆ จมลงไปทางทิศตะวันตก

หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว แม้ว่างานในไร่นาจะลดน้อยลง ทว่าชาวนาก็ยังต้องหว่านปุ๋ยในนา เพื่อเตรียมดินไว้ทำนาในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง

วันนี้เสวี่ยหย่งฝู ซุนซิ่งฮวา และเสวี่ยหยวนจิ้งไปหว่านปุ๋ยในนา ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ทำกับข้าวรออยู่ที่เรือน ตอนที่ทำกับข้าวใกล้เสร็จ ทั้งสามคนก็กลับมา

เสวี่ยเจียเยว่ออกไปต้อนรับ ทว่าเมื่อเห็นสิ่งที่เสวี่ยหย่งฝูถืออยู่ในมือนั้น เธอก็ตกใจจนร้องเสียงหลง ก่อนจะวิ่งหนีไป

เสวี่ยหย่งฝูถืองูมาด้วย งูตัวนั้นมีหลากสีสัน ต้องเป็นงูพิษอย่างแน่นอน แต่หัวของมันถูกสับจนขาดออกไปแล้ว เหลือเพียงลำตัวที่เปื้อนเลือดเท่านั้น

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่วิ่งหนีไป เสวี่ยหย่งฝูก็หัวเราะเสียงดัง และถึงขั้นจงใจโยนงูตัวนั้นใส่ลูกเลี้ยง ในขณะที่โยนก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เจ้ากลัวอะไร ตอนที่พี่ของเจ้าเห็นงูตัวนี้เลื้อยอยู่ต่อหน้าเขายังไม่กลัวแม้แต่น้อย ตอนนี้งูมันไม่มีหัวก็แปลว่ามันตายไปแล้ว เจ้ากลัวอะไร”

เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาโยนงูมา เธอก็ตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่ร้องก็ยังทำไม่ได้ ใบหน้าของเธอเริ่มซีดเผือด ตัวแข็งทื่อจนไม่อาจเคลื่อนไหว

ตั้งแต่เล็กจนโตสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือสัตว์ไร้กระดูก ไม่ใช่เพียงงู แม้แต่ปลาไหลเธอก็กลัว จึงไม่เคยกินสัตว์เหล่านั้น

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กลัวงูเป็นอย่างมาก ในขณะที่เสวี่ย-หย่งฝูโยนมันออกไป เขาก็พุ่งตัวอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู ใช้เครื่องมือทำนาที่อยู่ในมือปัดงูตัวนั้นออกไปด้านข้าง มันจึงไม่โดนตัวแม่นางน้อย แต่กลับมีเสียงบางอย่างกระทบพื้นดังขึ้น

นั่นคือร่างของเสวี่ยเจียเยว่ที่ทรุดฮวบลงข้างโต๊ะ

เธอสัมผัสได้ถึงเหงื่ออันเย็นเฉียบบนร่างกายของตน แม้แต่จะขยับก็ยังไม่กล้า