สี่สิบสี่
ความสบายใจ
ซุนซิ่งฮวาเอ่ยขึ้นมา “เมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็นเจ้ากลัวงู ทั้งยังชอบกินเนื้องูอีก แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลัวขึ้นมา”
นางมิได้ห่วงใยเสวี่ยเจียเยว่อยู่แล้ว เพียงถามพอเป็นพิธีเท่านั้น ก่อนจะสั่ง “เอางูไปถลกหนังแล้วล้างให้สะอาด ตอนเย็นก็ทอดเนื้องูกับแกงเนื้องูอย่างละถ้วย”
เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ และเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้า… ข้าไม่กล้า”
ซุนซิ่งฮวาขมวดคิ้วและเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่กล้า? หรือจะให้ข้าไปทำ”
ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากด่าต่อนั้น เสวี่ยหย่งฝูก็จับนางเอาไว้ “พอแล้วๆ ดูสิ เอ้อร์ยากลัวขนาดนี้ เจ้ายังจะให้นางถลกหนังงูอีกหรือ ข้ากลัวว่านางจะล้างไม่สะอาด ข้าจะไปทำเอง”
สิ้นประโยคนั้น เขาก็เดินไปหยิบงูตัวนั้นขึ้นมาจากโต๊ะ ตั้งใจยื่นไปเขย่าตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของลูกเลี้ยงซีดเผือด เขาก็หัวเราะร่าแล้วหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกเพื่อถลกหนังงู
ซุนซิ่งฮวาเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะด่าว่าเป็นของไร้ประโยชน์แล้วเดินจากไป
เสวี่ยหยวนจิ้งวางเครื่องมือทำนาลงแล้วเดินไปเอ่ยถามเสียงต่ำ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่มองใบหน้าของเขา อยากจะส่ายหน้า ทว่าร่างกายของเธอยังคงแข็งทื่อดังเดิม อยากจะขยับเล็กน้อยก็ยังเป็นเรื่องยาก
เด็กหนุ่มเห็นใบหน้าอีกฝ่ายซีดลงเพราะความหวาดกลัว ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา เขาสงสารจับใจ จึงเอื้อมมือไปจับมือแม่นางน้อย พลันสัมผัสได้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบ จนไม่สามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นได้แม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไร” เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยปลอบใจด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าจะพยุงเจ้าไปนั่งในห้องของเจ้าสักพักก่อน”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น เขาก็พยุงเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปนั่งในห้อง ก่อนจะออกไปนำน้ำร้อนมาให้
เสวี่ยเจียเยว่ยื่นสองมือที่ยังสั่นเทาไปรับถ้วยน้ำชาที่ยามนี้ใส่น้ำร้อนแทน หลังจากรอให้อุ่นแล้วค่อยดื่มเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าตนเริ่มมีสติกลับมา
แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็พบว่าเสวี่ยหย่งฝูกำลังนั่งยองๆ ถลกหนังงูอยู่ข้างๆ หน้าต่างห้องของเธอ เลือดที่สาดกระเซ็นนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง เขาดึงส่วนที่คล้ายไส้งูออกมา ก่อนจะยัดเข้าปากและกลืนกินมันลงไป
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก แทบจะสำรอกน้ำที่ดื่มลงไปเมื่อครู่นี้ออกมา ทว่ายังดีที่เธออดกลั้นเอาไว้ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางเช่นนั้นของแม่นางน้อย ก็รู้สึกกังวลใจยิ่งนัก จึงมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปนอกหน้าต่าง
เมื่อรู้สาเหตุแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปจับแก้มของเสวี่ยเจียเยว่ ให้อีกฝ่ายหันหน้ามามองเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่าไปมองด้านนอก มองเพียงข้าเท่านั้น”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนั้นราบเรียบและเยือกเย็น สีหน้านิ่งสงบ เมื่อมีเขาอยู่ข้างกาย เสวี่ยเจียเยว่ก็สบายใจขึ้นมา
แต่ถึงอย่างไรงูทอดกับแกงงูนั้นเธอก็ไม่กล้าทำอยู่ดี สุดท้ายหลังจากถูกซุนซิ่งฮวาด่าไปพักใหญ่ เธอไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วพาตัวเองเข้าไปในสนามรบ
ซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูกินข้าวพลางเอ่ยชมว่าเนื้องูสดใหม่ ทั้งยังบอกอีกว่าตอนนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ งูใกล้จะจำศีลแล้ว ต่อไปหากไม่มีอะไรทำก็สามารถไปขุดหางูได้ ไม่แน่อาจจะขุดได้สักสองสามตัวมาเป็นอาหาร และบอกว่าตอนที่พวกเขาหิ้วงูตัวนั้นกลับมา มีชาวบ้านหลายคนที่เห็นแล้วบอกว่าอิจฉาพวกเขาขนาดไหน
เสวี่ยหยวนจิ้งนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าว สีหน้าเขาไร้ความรู้สึก ตลอดการกินข้าวในครั้งนี้เขาไม่ได้คีบเนื้องูกินแม้แต่ชิ้นเดียว
เมื่อกินข้าวเสร็จ เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็เข้านอน เสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปเคาะหน้าต่างห้องของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ พออีกฝ่ายเดินมาหา เขาก็ส่งเกาลัดให้
เกาลัดนี้เป็นของป่าที่เหลือจากคราวที่แล้ว โดยตอนกลับมาเสวี่ยเจียเยว่ซ่อนเอาไว้ในกองฟาง เมื่อถูกแดดถูกลมมันก็กลายเป็นเกาลัดแห้ง ก่อนหน้านี้เธอแบ่งครึ่งหนึ่งให้เสวี่ยหยวนจิ้งเพื่อให้เขากินคลายหิว ส่วนของตัวเองเธอกินหมดไปตั้งนานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเกาลัดในส่วนของเด็กหนุ่มจะยังเหลือเยอะเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองเกาลัดหนึ่งกำมือในมือของตน คงเป็นของป่าส่วนสุดท้ายที่เสวี่ยหยวนจิ้งนำมาให้เธอกิน
ความซาบซึ้งพลันพรั่งพรูออกมาจากหัวใจ เธอส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะส่งเกาลัดกลับคืนไปเป็นเชิงว่าไม่ต้องการ ให้เด็กหนุ่มเก็บเอาไว้กินเอง
ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับยิ้มบางแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “กินเกาลัดเสร็จแล้วนอน พอตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว”
เขากล่าวจบก็มองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาเดินเข้าไปในเรือนเก็บฟืนและปิดประตู เธอถึงได้ถอนสายตากลับมา ก้มหน้าลงมองเกาลัดแห้งที่อยู่ในมือกำนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา
หลังจากเสวี่ยหย่งฝูใช้งูมาล้อเล่นกับเธอจนตกใจกลัว เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่กินข้าว หากบอกว่าไม่หิวก็จะเป็นการโกหก แต่เธอรู้ดีว่าซุนซิ่งฮวาไม่ได้สนใจจะหาอย่างอื่นมาให้กิน ในขณะที่คิดว่าตนจะต้องท้องร้องเพราะความหิวทั้งคืน เสวี่ยหยวนจิ้งกลับเอาเกาลัดมาให้เธอกินคลายหิว
เกาลัดนั้นทำให้รู้สึกอิ่มท้องเป็นอย่างมาก เมื่อกินหมดแล้วเธอก็ดื่มน้ำอุ่นตามลงไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ใช้ผ้าห่อเปลือกเกาลัดเอาไว้อย่างดีเพื่อเตรียมนำไปทิ้งในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง
เสวี่ยเจียเยว่นอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืนหลายครั้งฝันว่าถูกงูกัด แต่เธอก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า หลังจากนอนอยู่บนเตียงได้สักพัก เธอจึงลุกขึ้นมาสวมเสื้อตัวนอกแล้วออกไปเตรียมอาหารเช้า
ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป
อากาศหนาวขึ้น เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวายิ่งขยันวิ่งไปที่โรงบ่อนหน้าหมู่บ้าน บางครั้งพวกเขาก็ชนะพนันได้เงินมาหลายตำลึง เมื่อกลับมาถึงเรือนสีหน้าจึงเบิกบานไม่น้อย ท่าทีที่มีต่อเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย หากแพ้… ตอนกลับมาพวกเขาจะหน้าบึ้งตลอดเวลา โดยเฉพาะซุนซิ่งฮวา ไม่เพียงใช้เรื่องเล็กน้อยมาด่าลูกสาวกับลูกเลี้ยงเท่านั้น ยังทะเลาะกับสามีอีกด้วย
วันนี้ซุนซิ่งฮวาไม่ได้ออกไปเล่นไพ่ใบไม้ เพราะมารดาของนางมาเยี่ยมที่เรือน
ยายเฉียน มารดาของซุนซิ่งฮวา ปีนี้อายุใกล้จะหกสิบแล้ว นางรูปร่างเตี้ย แต่ยังแข็งแรงดี มีแววตาสดใสเฉียบคม ดูก็รู้ว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด
หลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งงานกับเสวี่ยหย่งฝู ยายเฉียนเคยมาที่เรือนนี้หนึ่งครั้ง ซึ่งเสวี่ยหย่งฝูเชิญนางมากินข้าวโดยเฉพาะ ทว่าครั้งนี้นางมาเองโดยที่ไม่มีใครเชิญ
ซุนซิ่งฮวาคาดไม่ถึง แต่อย่างไรก็คือมารดาของตน เมื่อเห็นนางมาแล้ว ก็นำผลไม้แห้งในห้องของตนออกมาต้อนรับ ก่อนจะเชิญให้มารดานั่งลง และใช้ให้เสวี่ยเจียเยว่ไปต้มน้ำมาให้ยายดื่ม
ทว่ายายเฉียนกลับนั่งนิ่งไม่ได้ นางเดินไปดูทุกห้อง แม้แต่ในเรือนเก็บฟืนของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่เว้น และพูดกับซุนซิ่งฮวาในที่สุด
“ข้าไม่ได้ดูถูกเรือนหลังนี้หรอกนะ แต่ข้าบอกเจ้าไปตั้งแต่ตอนแรกแล้วไม่ใช่หรือว่าคนแซ่ซุนนั้นก็ไม่เลว มีที่นาทำกินอยู่มาก แม่สื่อมาพูดกับข้าอยู่หลายครั้ง บอกว่าเขาตกหลุมรักเจ้า และไม่รังเกียจลูกติดของเจ้า ขอเพียงเจ้าพยักหน้าเท่านั้น เขาก็จะรีบจ้างเกี้ยวไปรับเจ้าถึงหน้าประตู หากตอนนั้นเจ้ายอมแต่งงานกับเขา เจ้าก็จะมีความสุข แต่ดูเจ้าตอนนี้สิ ไม่ฟังคำพูดของข้า มิหนำซ้ำยังทะเลาะกับข้าอีก เพื่อจะแต่งงานกับบุรุษที่ยากจนผู้นี้
“ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ในเรือนหลังนี้ไม่มีอะไรที่มีค่าไม่พอ ยังมีลูกชายของเมียเก่าเขาโตขนาดนี้อีก ต่อให้เจ้าทำดีต่อเขาอย่างไร ในใจของเขาจะคิดว่าเจ้าเป็นแม่เลี้ยงหรือไม่ หากเจ้าแก่ชรา เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงไรก็ไม่รู้”
หลายวันมานี้ซุนซิ่งฮวาแพ้พนันไปหลายครั้งและเสียเงินไปไม่น้อย เดิมทีอารมณ์ของนางก็ใช่ว่าจะดีเท่าไร เมื่อได้ยินมารดาพูดเช่นนี้ นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“มีความสุขอันใดกัน ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ลูกชายเรือนนั้นเป็นคนปัญญาอ่อน สามสิบปีมานี้ไม่มีใครยอมแต่งงานด้วย เห็นชัดๆ ว่าพวกเขาเสนอค่าสินสอดให้ท่านก้อนโต ท่านถึงอยากให้ข้าแต่ง อ้อ ที่ท่านอยากขายข้าแลกกับเงินก้อนโตนั้น ก็เพราะจะเอาไปสู่ขอเมียให้ลูกชายคนเล็กของท่าน จากนั้นก็ให้ข้าซาบซึ้งในบุญคุณของท่านใช่หรือไม่ ตระกูลเสวี่ยมีตรงไหนไม่ดี แม้ว่าจะมีลูกชายที่เกิดจากเมียเก่า ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีพ่อแม่ของสามีอยู่ด้วย หลายปีมานี้ข้ายังรับอารมณ์โมโหจากแม่สามีไม่พออีกหรือ”
คำพูดนี้ทำให้ยายเฉียนถึงกับพูดไม่ออก จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเท่านั้น
เมื่อพูดคุยกันได้พักหนึ่ง อารมณ์โมโหของซุนซิ่งฮวาก็ลดลงไปได้บ้าง น้ำเสียงของนางไม่ได้หงุดหงิดเหมือนเมื่อครู่แล้ว สองแม่ลูกพูดคุยถึงเรื่องในชีวิตประจำวันที่ได้พานพบ
พอต้มน้ำเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่หยิบกามาเติมให้เต็ม จากนั้นก็เทน้ำร้อนให้ยายเฉียนกับซุนซิ่งฮวาคนละถ้วย ก่อนเตรียมจะเดินออกไป ทว่ากลับถูกยายเฉียนเรียกให้หยุดเสียก่อน
ยายเฉียนจับมือเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้ และพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจดเท้าพักหนึ่ง จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับซุนซิ่งฮวา
“ไม่เจอกันครึ่งปี เอ้อร์ยาเปลี่ยนนิสัยไปเสียแล้ว ร่างกายดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าของนางนับวันก็ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูกว่าเมื่อก่อน”
ความจริงแล้วช่วงนี้เสวี่ยเจียเยว่ตั้งใจทำให้ตัวเองสกปรกมอมแมม คิดไม่ถึงว่ายายเฉียนจะยังชมว่าตัวเธอสะอาด เห็นได้ชัดว่าเอ้อร์ยาในอดีตสกปรกมอมแมมมากขนาดไหน
ซุนซิ่งฮวาหยิบถ้วยน้ำที่อุ่นแล้วขึ้นมาดื่ม พลางแค่นเสียงขึ้นจมูก แต่ไม่เอ่ยคำใด
ยายเฉียนพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ ไม่เพียงบอกว่าช่วงนี้นางคิดถึงหลานมากเท่านั้น ยังถามอีกว่าเหตุใดวันเกิดนาง หลานถึงไม่ไปอวยพร และถามว่าอยู่เรือนตระกูลเสวี่ยสบายดีหรือไม่ หากมีใครรังแกขอให้บอกนางทันที นางจะด่าคนผู้นั้นให้เอง
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่เคยเห็นยายเฉียนผู้นี้มาก่อน แต่เมื่อครู่นี้คำสนทนาของนางกับซุนซิ่งฮวานั้น เธอได้ยินอย่างชัดเจนตอนที่อยู่ในห้องครัว
ยายเฉียนอยากจะขายลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาคนปัญญาอ่อน เพื่อใช้เงินนั้นเป็นค่าสินสอดสู่ขอภรรยาให้ลูกชายคนเล็กของตน คนเช่นนี้ยังหวังให้หลานสาวรักใคร่กตัญญูอีกหรือ ดังนั้นคำพูดของยายเฉียนในยามนี้ เสวี่ย-เจียเยว่จึงเพียงฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น ไม่ได้เอามาใส่ใจแม้แต่คำเดียว
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่หาข้ออ้างไปจากตรงนี้ได้ เธอก็ได้ยินยายเฉียนพูดกับซุนซิ่งฮวาตามหลังมา
“เอ้อร์ยา พอโตก็ดูฉลาดกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ทั้งยังพูดคุยหยอกเย้าคนอื่นให้เบิกบานใจอีก”
ซุนซิ่งฮวาแค่นเสียง “ฮึ” ออกจากจมูกเบาๆ และไม่ได้เอ่ยคำใดต่อ
วันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งออกไปกำจัดวัชพืชในไร่นาตามคำสั่งของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา ยามนี้จึงไม่มีใครอยู่ในลานเรือน หลังจากเสวี่ยเจียเยว่เดินออกมาได้ระยะหนึ่ง ก็หยุดคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปยืนข้างประตูเพื่อแอบฟังบทสนทนาด้านใน
ได้ยินยายเฉียนเอ่ย “…ชีวิตพี่ชายของเจ้าลำบากไม่น้อย มีลูกสาวถึงสองคน แต่เมียเขาให้กำเนิดลูกชายออกมาอย่างยากลำบาก ขาทั้งสองข้างพิการตั้งแต่เกิด จะทำอย่างไรก็ยืนไม่ได้ พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเจ้าเชิญหมอมาไม่น้อย แต่ก็ยังไร้ประโยชน์ หมอบอกว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ไปทั้งชีวิต”
ซุนซิ่งฮวาไม่ได้เอ่ยคำใด
จากนั้นยายเฉียนก็พูดขึ้นมา “ตอนนี้เด็กคนนั้นก็เริ่มโต อายุสิบขวบแล้ว ข้ากับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของเจ้าได้ปรึกษาหารือกัน อยากจะหาเด็กหญิงตัวเล็กๆ มาเลี้ยงเพื่อเป็นเมียเขาในอนาคต อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็จะรักกันเองใช่หรือไม่ ต่อไปพวกเขาจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่เขาเป็นเช่นนั้นก็ยากที่จะหาเมียให้ ยิ่งไปกว่านั้น หากหาลูกสาวบ้านอื่น ข้ากับพ่อแม่ของเขาคงไม่สบายใจ
“เจ้าเองก็รู้ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเจ้าถือว่ามีสมบัติอยู่บ้าง พวกเขาให้กำเนิดหลานชายของเจ้า ในอนาคตสมบัติเหล่านี้ก็ต้องมอบให้เขาและเมียเขาไม่ใช่หรือ หากหาลูกสาวบ้านอื่นมา ต่อไปพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเจ้าแก่ชราลง แล้วนางหอบเงินหนีไปจะทำอย่างไร นั่นเท่ากับว่าใช้ตะกร้าไม้ไผ่มาหาบน้ำ ทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า พวกเขาเลยคิดว่าอยากจะหาลูกสะใภ้ที่รู้เรื่องภายใน…”
“ท่านแม่ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ ความหมายของท่านนั้นข้าเข้าใจดี”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ปัง!’ ดังขึ้น คงจะเป็นเพราะซุนซิ่งฮวาใช้มือ
ตบโต๊ะ
“ท่านจะมาดูถูกครอบครัวที่ข้าแต่งงานด้วยไม่ได้ ตั้งแต่ข้าแต่งออกมาสามวันแล้วเชิญท่านมา ท่านก็มาเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นท่านไม่เคยมาที่เรือนของข้าอีกเลย แต่วันนี้กลับเป็นฝ่ายมาหาข้า ท่านไม่เคยสนใจเอ้อร์ยา พูดคุยกับนางไม่เกินสองประโยค เหตุใดเมื่อครู่นี้ถึงได้จับมือนาง ทั้งยังเอ่ยชื่นชมนางอีก และตอนนี้ท่านก็พูดเช่นนั้นออกมา ท่านคิดจะให้เอ้อร์ยาไปเป็นเมียหลานชายของตัวเองใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจทันที และแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น โชคดีที่จับผนังเรือนไว้ได้ทัน เธอรีบกลั้นหายใจแล้วเงี่ยหูฟังบทสนทนาด้านในต่อ
เห็นได้ชัดว่ายายเฉียนคิดไม่ถึงว่าซุนซิ่งฮวาจะเข้าใจเจตนาที่นางมาในวันนี้ได้อย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางตะลึงงันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“เรือล่มในหนองทองจะไปไหน แม้ข้าจะไม่เคยคิดว่าเอ้อร์ยาเป็นหลานสาวของข้า แต่ถ้านางแต่งงานกับหลานชายของเจ้า สมบัติของพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของเจ้าก็จะกลายเป็นของนางในอนาคต ทำเช่นนี้ทุกอย่างจะไม่ตกเป็นของคนอื่นไม่ใช่หรือ”
ยายเฉียนพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกซุนซิ่งฮวาพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปไม่ได้ ข้าขอบอกท่านตามตรง หน้าตาของเอ้อร์ยาเหมือนกับย่าที่ตายไปแล้วของนาง ข้าเฝ้ามองใบหน้าของนางทุกวัน ก็เหมือนว่าข้ากำลังมองหน้าแม่สามีเก่าผู้นั้น ข้ารำคาญนางแทบตาย อีกอย่าง… สองวันมานี้ข้าเล่นไพ่ใบไม้เสียเงินไม่ใช่น้อย พูดตามตรง ท่านคิดจะให้เงินข้าเท่าไร หากให้เงินมากพอ ปีหน้าพวกท่านก็เอาเอ้อร์ยาไปเลี้ยงเป็นเมียของหลานชายท่านได้เลย พอถึงตอนนั้นท่านอยากให้พวกเขาแต่งงานกันเมื่อไร ก็เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ข้าต้องการเพียงแค่เงิน อย่างอื่นข้าไม่สน ที่ยังเลี้ยงนางไว้ก็เพราะคิดว่า หากวันที่อากาศหนาวแล้วข้าไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ก็ได้แต่หวังว่านางจะตื่นขึ้นมาทำกับข้าวให้ข้ากินในตอนเช้าบ้าง”
เสวี่ยเจียเยว่คาดไม่ถึงว่ายายเฉียนพูดเพียงไม่กี่ประโยค ซุนซิ่งฮวาก็ยอมขายเธอแล้ว ทันใดนั้นเธอรู้สึกหนาวเย็นไปทั่วร่างกาย ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็งก็ไม่ปาน
เธอไม่ต้องการเป็นเด็กเลี้ยงต้อยของผู้ใด หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอจะหนีไป แม้ว่าจะถูกทางการจับเพราะเป็นขโมยหรือคนเร่ร่อนก็ตาม
ส่วนยายเฉียนก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าซุนซิ่งฮวาจะตอบตกลงเร็วขนาดนี้ และเอ่ยถามเพียงค่าตัวของเอ้อร์ยาเท่านั้น…
นางรู้จักลูกสาวผู้นี้ดี จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง “เจ้าต้องการเท่าไร”
ซุนซิ่งฮวายกนิ้วขึ้นมานับ ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “สิบตำลึง”
“สิบตำลึง?!” ยายเฉียนร้องตะโกน “มากเกินไปกระมัง”
นางกล่าวจบก็ส่ายหน้า “ราคานี้ไม่ได้ ข้ากลัวพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเจ้าจะไม่เห็นด้วย”
“สิบตำลึงพวกเขายังบอกว่าแพงเช่นนั้นหรือ หรือจะไม่ให้ข้าเรียกสักแดงเดียว ยกเอ้อร์ยาให้พวกเขาเพื่อเลี้ยงเป็นเมียของลูกชายตนโดยที่ข้าไม่ต้องรับค่าตอบแทนอันใดเลย?” น้ำเสียงของซุนซิ่งฮวาเริ่มไม่พอใจขึ้นมา
“หน้าตาของเอ้อร์ยา ท่านลองมองดูดีๆ ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงนี้มีใครบ้างที่มีหน้าตางดงามเหมือนนาง ต่อไปหากนางโตเป็นสาว อาจกลายเป็นสตรีงดงามไม่น้อย หากข้าจะพานางไปขายให้ตระกูลร่ำรวยในเมือง หอนางโลม หรือจะขายในเรือนของตัวเอง ด้วยหน้าตาเช่นนี้ ยังกลัวว่าจะขายไม่ได้ถึงสิบตำลึงอีกหรือ
“อีกอย่าง… นางก็โตแล้ว ปีหน้าหากท่านพานางไป นางก็สามารถทำงานให้ท่านได้ ไม่จำเป็นต้องจ้างเด็กรับใช้อีกคนใช่หรือไม่ รอให้นางโตกว่านี้อีกหน่อย งานเลี้ยงอันใดไม่จำเป็นต้องจัด ท่านก็ให้นางกลายเป็นเมียของหลานชายได้เลย ประหยัดค่าสินสอดที่ต้องสู่ขอลูกสะใภ้และเงินจัดงานแต่งไปเท่าไร”
ยายเฉียนไม่ได้เอ่ยคำใด แต่นางก็รู้สึกว่าสิบตำลึงยังมากเกินไปอยู่ดี
ซุนซิ่งฮวาเห็นท่าทางของมารดา ก็ยิ้มเยาะก่อนจะเอ่ย “แม้ว่าท่านจะเป็นแม่ของข้า และเด็กคนนั้นก็เป็นหลานชายของข้า แต่ข้าพูดไปชัดเจนแล้ว ข้าลำบากมานานหลายปี ไม่เคยเห็นพวกท่านมาช่วงพยุงข้าเลยสักคน ตอนนี้ข้าขายลูกสาวที่อุ้มท้องมาเองถึงสิบเดือน และเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ขนาดนี้ให้พวกท่านเอาไปเลี้ยงดูต่อเพื่อเป็นเจ้าสาว สิบตำลึงท่านยังตระหนี่อีกหรือ จะเอาหรือไม่ หากไม่เอาก็แล้วไป ข้าจะเลี้ยงนางอีกสักสองสามปี รอให้นางมีใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่านี้ค่อยพาไปขายในเมือง จะขายให้ได้ยี่สิบสามสิบตำลึงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
เมื่อยายเฉียนได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ลังเลทันที หลังจากนางคิดดูแล้วจึงเอ่ยออกมา
“สิบตำลึงนี้มิใช่น้อยๆ ข้ายังต้องกลับไปปรึกษาพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเจ้าก่อน หากหารือกันแล้ว ข้าจะกลับมาตอบเจ้าในอีกสามวันให้หลัง”
“แล้วแต่พวกท่าน” ซุนซิ่งฮวาตอบอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำขึ้นดื่ม
ยายเฉียนจะอยู่กินข้าวกลางวันที่เรือนแต่ซุนซิ่งฮวาไม่ได้ให้เสวี่ย-เจียเยว่ทำกับข้าวมากนัก เช่นเดียวกับวันอื่นๆ
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ทำกับข้าวอยู่นั้น ยายเฉียนก็ยืนมองอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา บางครั้งนางพูดไม่กี่ประโยค
เสวี่ยเจียเยว่รู้เรื่องราวทั้งหมด จึงคิดว่ายายเฉียนมาดูว่าเธอทำงานเป็นหรือไม่ เพื่อประเมินว่าคุ้มค่ากับเงินสิบตำลึงหรือเปล่า
เธอไม่อยากพูดอะไร แม้จะเคยเผชิญสถานการณ์อันเลวร้ายมาแล้ว แต่วันนี้เธอเพิ่งรู้ว่ายังมีเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า
การได้เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงเพื่อเป็นเจ้าสาวในอนาคตนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี… ดีกว่าเป็นสาวใช้หรือโสเภณี เสวี่ยเจียเยว่สงสัยเหลือเกินว่าซุนซิ่งฮวาเกลียดเธอเพราะเหมือนแม่สามีเก่าผู้นั้น ถึงได้ทำเช่นนี้กับเธอใช่หรือไม่
เนื่องจากมีเรื่องน่ากังวลกดทับหัวใจ เธอจึงทำงานด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่พูดไม่จากับใครแม้แต่ประโยคเดียว
ซุนซิ่งฮวาย่อมไม่มีทางสนใจเสวี่ยเจียเยว่ เพียงพูดคุยกับยายเฉียนเท่านั้น เสวี่ยหย่งฝูยังคงไปเล่นไพ่ใบไม้ที่โรงบ่อน นางเรียกให้เขากลับมากินข้าวกลางวัน เขาก็ไม่ยอมกลับมา
เสวี่ยหยวนจิ้งมองปราดเดียวก็พบความผิดปกติของเสวี่ยเจียเยว่
ด้วยเหตุนี้หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ขณะที่ซุนซิ่งฮวากับยายเฉียนพูดคุยกันอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็ส่งสายตาให้แม่นางน้อยเป็นเชิงบอกให้เดินตามเขาออกไป
เมื่อถึงเรือนของเขาเด็กหนุ่มจึงเอ่ยถาม “ข้าเห็นท่าทางเจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เป็นอะไรไปหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่คิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ข้ามิได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ เพียงรู้สึกเหนื่อยเท่านั้น”
เรื่องที่จะต้องถูกเลี้ยงเพื่อเป็นเจ้าสาวนั้น เธอคิดว่ายังไม่บอกเสวี่ย-หยวนจิ้งจะเป็นการดีกว่า
ประการแรก… แม้ว่าภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นขุนนาง แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปี สภาพของเขาก็ไม่ต่างจากเธอ ถ้าบอกเรื่องนี้ไป นอกจากจะเพิ่มความลำบากใจให้เขาแล้ว ยังมีประโยชน์อันใดอีกบ้าง
ประการที่สอง… ปีหน้าเขาก็ต้องไปเข้าร่วมการสอบบัณฑิตระดับท้องถิ่นตอนนี้เขากำลังอ่านตำราอย่างขะมักเขม้น หากบอกเรื่องนี้ไปแล้ว เขาจะต้องไม่มีสมาธิแน่นอน
และที่สำคัญ เธอยังอยากจะพึ่งพาตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พึ่งพาคนอื่นไปตลอดไม่ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เชื่อคำตอบของอีกฝ่าย จึงเอ่ยถามขึ้นมาอีก “เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ได้แต่ฝืนยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยตอบ “ท่านพี่ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าเหนื่อยก็เลยอยากพักผ่อนสักหน่อยเท่านั้น”
เด็กหนุ่มจ้องมองแม่นางน้อย เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ก็ยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจไม่ซักไซ้ต่อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าพักที่นี่สักพักก็แล้วกัน”
ซุนซิ่งฮวากับยายเฉียนนั่งสนทนากันอยู่ในห้องโถง หากเสวี่ยเจียเยว่จะกลับห้องของตนก็คงพักผ่อนได้ไม่สนิทเท่าไร
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าและคิดจะฟุบบนโต๊ะ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งบอกให้เธอขึ้นไปนอนบนเตียงของเขา ในที่สุดเธอก็สู้ความดื้อรั้นของเขาไม่ได้ ทำได้เพียงขึ้นไปนอนบนเตียงเท่านั้น แต่เธอรู้ว่าเขาเป็นคนรักความสะอาด จึงนำผ้าห่มมาปูก่อนจะนอนลงไป
ผ้าห่มนี้มีกลิ่นของเสวี่ยหยวนจิ้ง เหมือนต้นสนสีเขียวขจี ทั้งสดชื่นและหนาวเหน็บ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน ทว่ากลับทำให้รู้สึกสบายใจ
เสวี่ยเจียเยว่ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ ของอีกฝ่าย ก็หยิบเสื้อคลุมตัวนอกของตนที่สวมเป็นประจำมาคลุมบนร่างเล็กอย่างเบามือ หลังจากเฝ้ามองใบหน้าที่หลับใหลนั้นได้ครู่หนึ่ง เขาจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้านข้าง และหยิบตำราขึ้นมาเปิดอ่าน
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ สาดส่องเข้ามาในเรือน กระทบร่างพวกเขาทั้งสองคน เป็นภาพที่ดูสงบและสวยงามราวกับความฝัน
ทว่าภาพความฝันนี้ก็ถูกทำลายลงไปอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนชอบความสงบ ไม่ชอบถูกคนรบกวน ตอนที่เขาอยู่ในเรือนของตนจึงปิดประตูเอาไว้ ทว่าด้วยเรือนนี้เป็นเรือนเก็บฟืน ด้านในไม่มีไม้ขัดบนประตู ทำได้เพียงปิดเอาไว้เฉยๆ
และตอนนี้ประตูก็ถูกคนผลักเข้ามาอย่างรุนแรง!
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพร้อมขมวดคิ้วแน่น พบว่าซุนซิ่งฮวากำลังยืนเอามือเท้าสะเอวอยู่หน้าประตู