บทที่ 30 ใครกันแน่ที่ไร้เดียงสา

บัญชามังกรเดือด

บทที่ 30 ใครกันแน่ที่ไร้เดียงสา

“ตระกูลฉินแห่งซีเป่ยทำธุระ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไปให้หมด!”
เสียงตะโกนสั่นคลอนไปทั่ว
คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ รีบหลบออกอย่างรวดเร็ว
ชายร่างใหญ่คนหนึ่งย่างเท้าเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เปิดประตูรถออฟโรดคันที่จอดอยู่ตรงกลาง
มีผู้ชายชุดดำวัยประมาณ 40 กว่าคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ บนหัวแม่มือข้างซ้ายของเขาสวมแหวนหัวแม่มือสีดำมนหนึ่งวง
เมื่อเห็นหน้าฉินเทียน ก็มีรังสีแห่งความแปลกประหลาดเคลื่อนผ่านไปในแววตาเขา ย่างเท้าเดินตรงไปอย่างเร็วพลางยิ้มพลางพูด: “คุณชายใหญ่ กระผมมารับท่านกลับบ้านแล้วครับ”
“ตลอดหลายปีที่ท่านจากมา นายหญิงใหญ่คิดถึงท่านมาก ๆ เลยนะครับ”
ฉินเทียนมองดูอย่างเงียบ ๆ ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูด: “ลุงเถียหยิง คิดไม่ถึงเลยนะครับว่าแม้แต่คุณก็ออกโรงแล้ว”
“ตกลงคิดถึงตัวผมหรือไขกระดูกผมกันแน่?”
เถียหยิง หนึ่งในราชาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาตระกูลฉินแห่งซีเป่ย มีตำแหน่งและอำนาจสูง
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเทียน เขาจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม: “เหตุใดคุณชายใหญ่ถึงต้องพูดแบบนี้ด้วยครับ?!”
ฉินเทียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แม้เขาจะปฏิบัติภารกิจที่อาจารย์มอบหมายให้ แต่เขากลับไม่มีเวลาสนใจเรื่องส่วนตัวเลย
แต่ทว่าตระกูลฉินแห่งซีเป่ย เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังจึงย่อมดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้ง่าย
ผู้สืบทอดมรดกลำดับที่หนึ่งของพวกเขาฉินเปียวป่วยเป็นโรคมะเร็ง ต้องการไขกระดูกของญาติที่ใกล้ชิดที่สุดถึงจะหายกลับไปเป็นปกติได้ ซึ่งตระกูลฉินได้ปิดบังเรื่องนี้ต่อคนนอกอย่างมิดชิด
แต่ทว่ากลับปิดบังเขาไม่ได้
เนื่องจากในวิหารเทพมีแผนกหนึ่งที่มีหน้าที่สืบสวนความลับต่าง ๆ โดยเฉพาะ
เถียหยิงมองฉินเทียนพลางยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “ที่แท้ตลอดช่วงหลายปีที่คุณชายใหญ่ออกจากตระกูลฉิน ภายนอกดูไม่ถามไถ่ใยดี แท้จริงแล้วท่านยังคงติดตามเรื่องราวในตระกูลฉินอยู่เสมอมาเลยนะครับ”
“งั้นแบบนี้ก็หมายความว่าคุณชายใหญ่ก็หาโอกาสกลับตระกูลฉินอยู่ตลอดเลยใช่ไหมครับ?”
“ที่ผ่านมานายหญิงใหญ่เข้มงวดกับท่านมากไปหน่อยก็จริง ตอนนี้ท่านให้ผมมาเชิญท่านกลับไปสืบทอดกิจการงานที่ยิ่งใหญ่ครับ”
“สืบทอดกิจการงานที่ยิ่งใหญ่?”ฉินเทียนหัวเราะดังลั่นจนน้ำตาคลอเบ้า
เขาและฉินเปียวเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันคนละแม่ แต่ทว่าเนื่องจากตัวตนของแม่ผู้ให้กำเนิดเขาต่ำต้อย จึงไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลฉินมาโดยตลอด
โดยเฉพาะนายหญิงใหญ่ต่งซวงจุน ไม่เคยไว้หน้า ทำดีกับแม่ตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จากการถือหางของนายหญิงใหญ่ ทำให้ลูกชายคนรองอย่างฉินเปียวได้รับความเคารพนับถือ กลายเป็นคุณชายตัวจริงเสียงจริง
ส่วนฉินเทียนที่เป็นพี่คนโตกลับตกอับเป็นหนูข้างถนน ปกติแม้แต่คนรับใช้ชนชั้นสามยังสามารถดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างไม่ต้องเกรงกลัวอะไร
ตอนนี้หวังจะใช้ไขกระดูกของเขาเพื่อไปช่วยฉินเปียว แต่กลับบอกว่าให้เขากลับไปสืบทอดกิจการงานที่ยิ่งใหญ่งั้นเหรอ?
ตลกชะมัด!
ไร้ยางอายยิ่งนัก!
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน: “เถียหยิง ในฐานะที่เห็นว่าผมเคยเรียนรู้วิชาศิลปะการต่อสู้กับคุณเมื่อตอนเด็ก ผมจึงเรียกคุณว่าลุง”
“ตอนนี้ รีบหายไปจากตรงหน้าผมซะ!”
“ไม่เช่นนั้น ก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน!”
สีหน้าเถียหยิงเปลี่ยนไป หัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วพูด: “คุณชายใหญ่ ท่านพิจารณาดี ๆ ก่อนจะดีกว่านะครับ นี่เป็นโอกาสเดียวที่ท่านจะได้กลับตระกูลฉิน”
“นายหญิงใหญ่บอกแล้วว่าขอแค่ท่านให้ความร่วมมือแต่โดยดี งั้นตระกูลฉินจะดูแลชีวิตที่เหลือนับต่อจากนี้ของท่านเอง”
ฉินเทียนหายใจถี่แต่ยิ้มพลางพูด: “แล้วถ้าผมไม่ให้ความร่วมมือล่ะ?”
เถียหยิงยิ้มอย่างเยือกเย็น: “งั้นก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน”
“นายหญิงใหญ่บอกแล้วว่าต่อให้ต้องลักพาตัว ก็ต้องนำตัวท่านกลับไปให้ได้”
“คุณชายใหญ่ ท่านน่าจะเข้าใจกำลังรบของลูกน้องผมอยู่นะครับ ท่านยังคิดจะเล่นกับผมอีกหรือ?”
“อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย!”
พอสิ้นเสียง ลูกน้องที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ได้เคลื่อนไหวร่างกาย กระโจนมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง รายล้อมฉินเทียนเอาไว้อย่างแน่นหนา
กองกำลังเงาของราชาเถียหยิงแห่งตระกูลฉิน ไร้พ่ายและไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกเขาได้ในซีเป่ย
แต่ตอนนี้กลับใช้มันมาจัดการคุณชายขยะที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง เถียหยิงรู้สึกว่าเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อย
ในมุมมองของเขา ฉินเทียนก็เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
“งั้นผมจะทำให้คุณได้รู้เองว่าใครกันแน่ที่ไร้เดียงสา”
ฉินเทียนขยับแล้ว
เหมือนเศษร่างหนึ่งที่พุ่งไป ๆ มา ๆ อยู่ท่ามกลางผู้คน ได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ชายร่างใหญ่แต่ละคนกระเด็นออกไปเหมือนหญ้าที่ถูกตัด
รอเถียหยิงตอบสนองกลับมาได้ ฉินเทียนก็กลับไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมแล้ว ดูเหมือนเขาไม่เคยขยับไปไหนมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
นะนี่ เป็นไปได้ยังไง? ภายในแววตาเถียหยิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจากกันแค่ไม่กี่ปี ฉินเทียนจะมีทักษะฝีมือที่เยี่ยมยอดขนาดนี้เลยงั้นเหรอ
“ขอยืมปากคุณฝากคำพูดให้ยายแก่นั่นหน่อย ถ้ายังกล้ามารังควานชีวิตผมอีก มาหนึ่ง ผมฆ่าหนึ่ง มาสอง ฆ่าสอง”
“ไสหัวไป!”
เสียงตะคอกคำเดียว ทำให้เถียหยิงไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงตึกดังขึ้น รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางหน้าอก
เขากระอักเลือด ก้าวถอยหลังกลับไปสามก้าวติดต่อกัน ใบหน้าขาวซีดลงไปภายในพริบตา
มองดูเงาหลังของฉินเทียนที่เดินจากไปเหมือนดั่งเทพมาร
“ผมประมาทเอง!”
“แต่ว่าคุณชายใหญ่ ท่านน่าจะเข้าใจศักยภาพความสามารถของตระกูลฉินแห่งซีเป่ยดีกว่าใครเลยนะ!”
“และท่านก็รู้นิสัยของนายหญิงใหญ่เช่นกัน ขอแค่เป็นสิ่งของที่ท่านหมายตาไว้แล้ว ยังไม่มีสิ่งไหนที่ท่านไม่เคยได้ครอบครอง!”
“คุณชายใหญ่ หวังว่าเราจะยังมีโอกาสได้เจอกันอีก!”
คนกลุ่มหนึ่งมาเร็วแต่ก็กลับเร็วเช่นกัน หายเข้าไปในกลีบเมฆภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนยังไงอย่างนั้น
ฉินเทียนนึกถึงภาพที่ตนและแม่ถูกเนรเทศออกจากตระกูลฉิน สุดท้ายแม่แท้ ๆ ของตนป่วยหนักและเสียชีวิตในที่สุด ประสบการณ์ที่เจ็บปวดเหล่านั้นทำให้เขาในตอนนี้ดูหม่นหมองจนน่ากลัว
ลมบริเวณรอบ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นลมหนาวใต้นรก
“อย่านะ อย่า……”
มีเสียงพึมพำอย่างกระวนกระวายใจดังเข้ามาในหู ฉินเทียนตกใจได้สติกลับมา ก่อนจะพบว่าใบหน้าของซูซูเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
“ซูซู คุณพูดได้แล้วเหรอครับ?”
เขาพูดอย่างตื่นเต้น
หลังจากที่กลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินซูซูพูด
ซูซูมองหน้าฉินเทียนอย่างแปลกใจ แล้วพูดอย่างลนลาน: “ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับบ้าน ปล่อยฉัน!”
ภายใต้ความรู้สึกที่ลนลาน เธอจึงอยากลุกขึ้นมาจากวีลแชร์
ฉินเทียนรู้อยู่ว่าตัวเองทำให้ซูซูตกใจ เขาจึงรีบพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน: “ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะพาคุณกลับบ้าน”
ซูซูน่าจะนึกถึงประสบการณ์อันน่าเศร้าในอดีตเพราะการถูกกระตุ้น ในเมื่อเป็นแบบนี้ แสดงว่าจิตใจของเธอกำลังฟื้นฟูอยู่
บางทีนี่อาจจะเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อก็ได้
ด้วยโอกาสนี้เขาจึงใช้กุ่ยเหมินสิบสาม เพื่อเปิดช่องว่างเส้นประสาทที่กำลังบีบรัด แบบนี้น่าจะสามารถทำให้เธอได้สติกลับคืนมา
ข้างนอกคนเยอะอาจตกเป็นที่สังเกตของผู้อื่นได้ ฉินเทียนจึงเข็นซูซูมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของบ้าน
เงาร่างที่อ่อนช้อยงดงามได้ออกมาจากด้านหลังต้นกุ้ยฮวาในท่าหมุน
ซึ่งเธอคนนั้นคือเถียหนิงซวงจากตระกูลเถียนั่นเอง
ก่อนหน้านี้เธอถูกบีบบังคับให้คุกเข่าขอโทษฉินเทียนในบ้าน อีกทั้งคุณปู่ถึงกับจะให้เธอไปเป็นคนใช้หญิงของฉินเทียนอีก จิตใจเธอจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่ยอม
สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธเกรี้ยวมากกว่าคือสตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์อย่างเธอถูกฉินเทียนปฏิเสธในทันทีโดยที่ไม่คิดอะไรเลย
เถียหนิงซวงอยากหาโอกาสประลองกับฉินเทียนดี ๆ สักตั้งมาโดยตลอด
วินาทีนี้ เธอมองดูทิศทางที่ฉินเทียนจากไป นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอในเมื่อกี้นี้ ภายในดวงตาที่งดงามคู่นั้นของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความช็อก
ทักษะความสามารถที่เหมือนปีศาจร้ายนั่น ในที่สุดก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับฉินเทียนแล้ว เธอไม่มีค่าอะไรเลย
กัดฟันแน่น เธอได้ทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ ก่อนจะวิ่งไล่ตามไปในทิศทางที่ฉินเทียนจากไป
กลับไปถึงวิลล่า ฉินเทียนเคี่ยวซุปสงบจิตได้หนึ่งถ้วย หลังจากที่ป้อนให้ซูซูแล้ว ในที่สุดเธอก็เงียบสงบลงและค่อย ๆ นอนหลับไป
คงจะมีแค่ตอนนอนหลับเท่านั้นแหละ เธอถึงจะดูบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบ กลับคืนสู่สภาพที่สวยงาม
ในที่สุดก็จะเริ่มทำการรักษาแล้ว จู่ ๆ ฉินเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาอุ้มร่างซูซูขึ้นมาแล้วว่างลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอออกไปอย่างระมัดระวัง
เนื่องจากอาการโรคพิเศษ หากจะทำการรักษา ต้องทำการเชื่อมจุดฝังเข็มทุกจุดบนร่างกายเข้าด้วยกัน อีกทั้งในระหว่างการรักษาต้องห้ามเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้
มองดูร่างแกะสลักหยกที่อยู่ตรงหน้า มีภาพเหตุการณ์ที่ทุกข์ยากลำบากเมื่อห้าปีก่อนผุดขึ้นมาในหัวอย่างควบคุมไม่ได้
เลือดลมในร่างกายฉินเทียนลอยตัว จังหวะในการหายใจเริ่มถี่ขึ้น
เขารีบดึงสติตัวเองกลับมา รักษาสภาพจิตวิญญาณให้ใสสะอาด
จากนั้น ถอดเสื้อออก ถอดผ้าซัพพอร์ตสีดำเส้นหนึ่งลงมาจากเอว
พลิกผ้ากลับมา ด้านบนผ้าปักเต็มไปด้วยเข็มเล็ก ๆ สีดำที่ความยาวไม่เท่ากัน