บทที่ 50

รอยยิ้มของถังหยินที่เหมือนกับดวงอาทิตย์เจิดจ้า ทำให้เหลียงหยวนและอู่หลีเซียงลุกขึ้นมา

หมอนี่… หมอนี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว มันเป็นคนบ้า! ปีศาจกระหายเลือด! เหลียงและอู่พากันชักดาบออกมาวางพาดบนคอของอัยเจีย พวกเขาทั้งคู่พูดเสียงสั่นเทา “อย่า อย่าเข้ามานะ เจ้า… ถ้าเจ้าเข้ามาข้าจะฆ่านาง!”

“หึหึ ฮ่ะฮ่ะ”

ถังหยินหัวเราะเบา ๆ พร้อมทั้งเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเรื่อย ๆ “ถ้าเจ้าอยากทำก็ทำไปสิ ของแค่นี้ขู่ข้าไม่ได้หรอก ทว่าการสังหารลูกน้องข้ามันก็เหมือนกับการดูหมิ่นข้าในที่สาธารณะนั่นแหละ ดังนั้นถ้าเจ้าลงมือจริง ๆ งั้นข้าก็คงต้องถลกหนังพวกเจ้าออกมา จากนั้นจึงบดขยี้กระดูกของพวกเจ้าจนละเอียด แม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ก็คงช่วยเจ้าไม่ได้ แน่นอนว่าจะไม่เชื่อก็ได้นะ ลองดูสิ!”

เสียงของเขานุ่มลึก หากแต่ถ้อยคำกลับเต็มไปด้วยความโหดร้าย แม้จะมีรอยยิ้ม ทว่ามันก็ดูเย็นชา บอกได้เลยว่าคำพูดของเขาไม่ใช่แค่คำขู่ หากแต่เป็นความต้องการที่แท้จริง

เหลียงหยวนไม่มีความสามารถอะไรทั้งนั้น เขาเป็นแม่ทัพกองพลได้เพราะตระกูลล้วน ๆ

แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าเขานั้นหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ใบหน้าของถังหยินทำให้ลำตัวของเขาแทบจะหดเหลือ 2 นิ้วอยู่แล้ว

เหลียงหยวนกรีดร้องออกมา เขารู้สึกว่าข้อมือของตนเจ็บปวดราวกับถูกงูฉก ว่าแล้วก็โยนดาบทิ้ง ก่อนจะรีบวิ่งไปทันที เมื่อเห็นว่าไม่อาจฝ่าออกไปได้ เหลียงหยวนก็พลันคุกเข่าลงแล้วร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้น!

หมอนี่มันขยะไร้ประโยชน์ชิ้นดีเลยนี่ !

เมื่อเห็นแบบนี้ถังหยินก็อดที่จะผิดหวังไม่ได้ ตอนนี้ความกระหายเลือดของเขาถูกปล่อยออกมาแล้ว และไม่อยากจะให้มันสูญเปล่า “แม่ทัพอู่ สหายของเจ้านี่มันช่างอ่อนแอเสียจริง” จากนั้นชายหนุ่มก็ชี้ไปยังเหลียงหยวน “แม่ทัพอู่คงไม่เป็นอย่างเขาใช่ไหม?”

อู่หลีเซียงยื่นนิ่งไม่กล้าขยับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัว แต่เป็นเพราะว่ามือของเขาสั่นเกินไปที่จะขยับตามที่ต้องการ จนไม่อาจจะหนีได้ทันต่างหาก!

เขาไม่เข้าใจว่าถังหยินต้องการอะไร ได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายที่มองมายังตนพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ตอนนี้ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าหยุดถังหยิน พวกเขาได้แต่จ้องมองอย่างเงียบ ๆ กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอกด้วยทักษะแบบนั้นน่ะ มีโอกาสเดียวที่จะชนะได้ก็คือใช้พลังปราณ” ถังหยินเข้ามายืนต่อหน้าพร้อมหัวเราะไปด้วย “ในฐานะแม่ทัพกองพัน เจ้าไม่อาจปกป้องลูกน้องตัวเองได้หรือ? เร็วเข้า รีบใช้พลังปราณสิ ไม่อยากฆ่าข้าเพื่อล้างแค้นให้คนพวกนั้นเหรอ?”

“เจ้า เจ้า…” อู่หลีเซียงไม่รู้ว่าถังหยินต้องการอะไร

อันที่จริงแล้วความต้องการของชายหนุ่มมันก็ง่าย ๆ เพียงแค่ให้อีกฝ่ายใช้พลังปราณเพื่อละเมิดกฎกองทัพก็เท่านั้นเอง ตามความคิดของเขานั้น พลังของอีกฝ่ายคงไม่น่าจะสูงมากนัก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น การได้กลืนกินมันก็น่าจะอิ่มหนำพอสมควร

เมื่อเขาคิดถึงตรงนี้ก็พลันเลียปากไปด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้าง ๆ หูอีกฝ่ายเบา ๆ ว่า “ท่านแม่ทัพจะรออะไรอีกละ ? อยากโดนข้าดูหมิ่นต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้อีกงั้นหรือ ? ในฐานะแม่ทัพ เกียรติยศต้องมาก่อนชีวิตสิ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าจะไม่มีความสามารถที่เหมาะจะเป็นผู้นำคนเลยนะ”

หลังจากพูดจบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ขยับตัว ถังหยินจึงหันมองขึ้นลงทั่วร่างกายของอีกฝ่าย “นี่แหละคือแม่ทัพของเจ้าล่ะ ลืมตาขึ้นมองไอ้ขยะไร้ประโยชน์นี่ซะ! ข้าว่าน่าจะปลดกองพันที่ 9 ซะดีกว่ามั้ง การให้ทหารกองพันนี้เข้าไปรบคงมีแต่เข้าไปตายทั้งนั้นแหละ” หลังพูดจบชายหนุ่มก็คว้าตัวอัยเจียออกไปด้วย “ผู้กอง เจ้ารับใช้ข้ามานานแล้ว ได้เวลาเผ่นแล้วล่ะ!”

อัยเจียมองถังหยินอย่างตื่นตะลึง ราวกับว่าชายหนุ่มนั้นเป็นคนแปลกหน้า น่าแปลกที่นางนั้นไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวดั่งเช่นคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย หญิงสาวกลับรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเสียมากกว่า

ถังหยินดึงอัยเจียและเมินเหลียงหยวน กับอู่หลีเซียงราวกับไม่เห็นทั้งสองในสายตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะพาคนอื่นเดินกลับออกไป การที่โดนเหยียดหยามโดยถังหยินแบบนี้จะไม่ทำให้พวกเขาโกรธได้ยังไง? แต่ถึงแม้จะรู้สึกโกรธ หากทว่าอารมณ์ดังกล่าวมันก็ได้ถูกกลบเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อชายหนุ่มเสียจนมิด

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่เริ่มการใช้พลังปราณก่อน ไม่นานนักก็ตามมาด้วยคนอื่น ๆ ที่เริ่มใช้พลังปราณกับอาวุธในมือ เฉกเช่นเดียวกับอู่หลีเซียงที่ตั้งท่าพร้อมเข้าโจมตี เขามองถังหยินจากด้านหลัง “ถังหยิน ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะฆ่าเจ้า!”

เมื่อเห็นแบบนี้ อัยเจียกับคนอื่น ๆ ก็รู้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ มีแค่ชิวเจิ้นที่ทำตัวตามปกติเพราะเขารู้ดีว่านี่เป็นแผนของถังหยิน แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นสีหน้าของถังหยิน ดวงตาของชายหนุ่มในตอนนี้นั้นมันเต็มไปด้วยความดีใจและตื่นเต้น

เขาดันอัยเจียเข้าไปในกลุ่มและพูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า มันเป็นเรื่องของข้า!” ระหว่างที่พูด เขาก็สะบัดข้อมือเรียกดาบซิมิทาร์ออกมาในมือ มันมีสีดำ และแผ่ความหนาวเย็นออกมาตลอดเวลาด้วยปราณเย็น

เขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจนไม่มีใครเห็นว่าชักอาวุธออกมาตอนไหน ชายหนุ่มกำดาบไว้ในมือและหมุนตัวรอบ ๆ เพื่อเผชิญหน้ากับอู่หลีเซียงและทุกคน เขายิ้มออกมา “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เข้ามาเลยดีกว่า!”

“ถังหยิน เจ้าต้องตายยย!”

อู่หลีเซียงตะโกนพร้อมพุ่งเข้าไปหาถังหยิน ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับพวกทหารคนอื่น ๆ ในกองพันที่ 8 ที่พากันโถมเข้าหาชายหนุ่ม ทำให้ทั่วทั้งโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยพลังปราณ

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามา ถังหยินก็ยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับไปไหน มือของเขาปลดปล่อยหมอกสีดำออกมาล้อมรอบดาบของเอาไว้ เตรียมจะลงมือ

จากนั้นก็มีใครบางคนตะโกนออกมา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

สิ้นเสียงก็มีร่างสีแดงพุ่งเข้ามาจากด้านนอก

เมื่อเห็นคนผู้นี้ ทุกคนก็พากันตกตะลึง ก่อนจะรีบปลดอาวุธตัวเอง และหยุดการกระทำทุกอย่างลงทันที

ทางด้านถังหยิน เขากลับรู้สึกผิดหวังต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันเป็นโอกาสที่ดีแท้ ๆ แต่เจ้าใครที่ไหนก็ไม่รู้นี่กลับเข้ามาขวางเสียได้ !

ตรงกันข้ามกับถังหยิน ชิวเจิ้นกับคนอื่น ๆ ต่างก็ตะลึงและดีใจ ในเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ตกตะลึงที่เห็นกับคนคนนี้ ถ้างั้นนอกจากอู่เหมยแล้วก็คงไม่มีใครอื่นได้อีก

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ดวงตาที่เป็นดั่งคบเพลิงจ้องมองไปทั่วโรงเตี๊ยม ก่อนจะตะโกนออกมา “ใครบอกข้าได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

ทว่าต่อให้ไม่ต้องบอกนางก็รู้อยู่แล้ว

เมื่อมองไปยังศพบนพื้นและคนที่หมดสติ นางก็ยิ้มออกมา ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าถังหยินเป็นคนที่โหดร้าย แต่หญิงสาวก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้ นางไม่มองที่เขา หากแต่มองที่อู่หลีเซียงซึ่งอยู่ชุดเกราะรบเต็มอัตราศึก “แม่ทัพอู่ เจ้าและลูกน้องบังอาจใช้พลังปราณงั้นหรือ”

“นี่มัน…”

เขาพยายามแก้ตัว แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ทั้งนี้ก็เพราะพวกตนนั้นเป็นฝ่ายผิดที่ใช้อาวุธกับพลังปราณก่อนด้วย ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดสิ่งใดทั้งนั้น อู่หลีเซียงรีบปลดพลังลมปราณให้กลับสู่สภาวะปกติโดยพลัน

เขาสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อพยายามตั้งสติ ก่อนจะเดินเข้าไปหากับอู่เหมยด้วยท่าทีหวาดกลัว “ท่านแม่ทัพอู่ ดีแล้วที่ท่านมาที่นี่ มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยระหว่างข้ากับแม่ทัพถัง แต่ทว่าทางด้านแม่ทัพถังนั้นกลับลงมือฆ่าลูกน้องของข้าก่อน”

“หึ!” ถังหยินเย้ยหยัน ก่อนจะหันหน้าหนี ด้วยไม่อยากสบตากับอู่เหมยเพราะขี้เกียจอธิบาย

ดังนั้นชิวเจิ้นจึงต้องรับหน้าที่นี้แทน เขาเดินเข้าไป และพูดอธิบายว่า “ท่านแม่ทัพอู่ พวกเขาเป็นคนที่เริ่มก่อน หากพวกเขาไม่ดูหมิ่นแม่ทัพถัง และพยายามลวนลามคนของพวกเราก่อน มันก็คงไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นหรอก แล้วแบบนี้แม่ทัพถังจะผิดได้ยังไงกัน? ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพถังก็ทำเพื่อป้องกันตัวเองทั้งนั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ทำผิดกฎก่อน ท่านแม่ทัพถังนั้นยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย”

สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง ถึงแม้อู่หลีเซียงจะไม่อยากยอมรับมัน แต่เขาก็เถียงไม่ออก คนที่ตายคือลูกน้องของกองพันที่ 8 ดังนั้นเขาในฐานะของแม่ทัพกองพันที่ 9 จึงไม่อาจมีเรื่องได้ เขาไม่มีอะไรจะพูดและได้แต่มองเหลียงหยวน

สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงก็คือการที่จนกระทั่งตอนนี้เหลียงหยวนก็ยังคงไม่ได้สติ!

คนผู้นี้นั้นเกิดมาในตระกูลอันสูงศักดิ์ ดังนั้นจึงไม่เคยเห็นฉากน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แม้แต่คนที่โหดเหี้ยมเช่นถังหยินก็ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงรับมือไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้สติล่องลอยออกไปไกล

อู่เหมยมองอู่หลีเซียง ก่อนจะหันไปหาเหลียงหยวนที่นั่งตัวสั่นอยู่ นางแอบหัวเราะในใจและพูดขึ้น “ข้าจะพิสูจน์เรื่องนี้เอง ตอนนี้พวกเจ้าออกไปก่อน ถ้าเกิดว่าครั้งหน้าพวกเจ้ามีเรื่องทะเลาะกันหรือมีการใช้พลังปราณอีกละก็ ข้าจะลงโทษพวกเจ้าทั้งหมด!”