ตอนที่ 51 ไว้อาลัย

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เส้นบะหมี่เหนี่ยวนุ่ม ฮูหลัวปอสดใหม่ ทำซวนหลิวสั่วหวานจื่อออกมามีกลิ่นหอมและกรอบ รสชาติถูกปากยิ่งนัก ส่วนผักไป่เหอก็มีกลิ่นหอม ผักสลัดน้ำก็หวานกรอบ เป็นจานผัดผักไป่เหอกับผักสลัดน้ำที่รสชาติดียิ่ง…เป็นอาหารเจที่ทางวัดกันเฉวียนทำออกมาอย่างสุดฝีมือ ไม่เพียงทำให้เฉิงเจียทานได้อย่างเอร็ดอร่อยเท่านั้น แม้แต่คนที่ประณีตมาตลอดอย่างพานชิงก็ยังทานไปอีกครึ่งชามอย่างพึงพอใจ มีเพียงโจวเสาจิ่นเท่านั้นที่ไม่มีความอยากอาหารทานไปราวกับเคี้ยวขี้ผึ้ง

 

 

เฉิงซวิ่นเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ตามหลักการแล้วพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่สมควรจะสวดภาวนาให้เขา อย่างไรก็ตาม สมดังคำกล่าวประโยคที่ว่า ‘คนยากจนต่อให้อยู่กลางที่ชุมชนก็ไม่ผู้คนถามถึง ส่วนคนร่ำรวยต่อให้อยู่ถึงหุบเขาลึกก็ยังมีญาติห่างๆ’ จวนหลักมีตำแหน่งสูงส่ง ไม่เพียงแค่เจียงซื่อและคนอื่นๆ ที่ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาที่วัดกันเฉวียนเท่านั้น แม้แต่จวนห้าและตระกูลสายรองที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับซอยจิ่วหรูอย่างครอบครัวชองเฉิงอวี้และเฉิงลู่ก็มาด้วยเช่นกัน

 

 

หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ นางก็คงจะไม่ตอบตกลงมาที่วัดกันเฉวียนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว

 

 

อาจจะเป็นเพราะวันนั้นนางเชือดเฉือนต่งซื่อไปหลายประโยค หรือก็อาจจะเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางอยู่ข้างกายโดยตลอด ต่งซื่อจึงไม่ได้ดึงนางไปพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนมเหมือนเช่นที่เคยทำมา ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก

 

 

อย่างไรก็ตาม ปรารถนาให้ไม่ต้องพบกับเฉิงลู่…ก็ยังมีเฉิงสวี่อีก

 

 

แต่เรื่องราวก็มักจะไม่เป็นไปตามที่คนปรารถนา

 

 

เมื่อรับมื้อเที่ยงเสร็จ ทุกคนต่างกลับไปพักผ่อนที่ห้องสักพักหนึ่ง และกลับมาที่ห้องโถงข้างอีกครั้งเพื่อร่วมพิธีกรรมของเฉิงซวิ่น

 

 

เฉิงลู่เดินเข้ามา

 

 

หลังจากที่โจวเสาจิ่นกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับเฉิงลู่

 

 

เฉิงลู่ในเวลานี้ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีผู้หนึ่งเท่านั้น รูปร่างผอมสูงเฉกเช่นต้นไผ่สูง หน้าตาหล่อเหลา ในความขี้อายนั้นมีความเขินอายอยู่หลายส่วน ราวกับพี่ชายข้างบ้านที่เป็นมิตร

 

 

ใครจะไปคิดว่าต่อไปเขาจะกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามทว่ากลับเป็นจอมวายร้ายที่มีแต่คำหลอกลวงผู้หนึ่งกัน

 

 

เขามาหาต่งซื่อ

 

 

สองแม่ลูกยืนกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงมุมห้องโถงไม่รู้ว่าคุยอะไรกันบ้าง ทันใดนั้น ฮูหยินใหญ่เวิ่นที่ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะจุดธูปก็กล่าวกับต่งซื่ออย่างจงใจว่า “ได้ยินมาว่าลู่เกอเอ๋อร์จะลงสนามสอบในเดือนหกนี้ เกรงว่าซิ่วไฉผู้หนึ่งคงเป็นแค่เรื่องง่ายดายเสียแล้ว”

 

 

“ที่ไหนกันเจ้าคะ!” ต่งซื่อฝืนยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “บัณฑิตในเจียงหนานมีมากมาก ไม่รอให้ถึงประกาศของทางการ ใครก็ไม่อาจทราบได้ว่าผลจะเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงลู่ไม่มองฮูหยินใหญ่เวิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อหลายวันก่อนน้องสาวรองตระกูลโจวไม่สบาย? ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง หากมีอะไรที่สามารถช่วยเหลือได้ น้องสาวรองตระกูลโจวอย่าได้เกรงใจ ขอเพียงบอกกับท่านแม่ของข้า”

 

 

ท่าทางราวกับรังเกียจที่จะสนทนากับฮูหยินใหญ่เวิ่น และกล่าวทักทายได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

โจวเสาจิ่นตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

 

 

เฉิงลู่ที่อยู่ตรงหน้านี้…ดูแปลกและไม่คุ้นชินด้วยมากขนาดนี้เชียว

 

 

ราวกับว่าคนที่นางฆ่าเองกับมือคนนั้นกับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย

 

 

คนหนึ่งคน ทำไมถึงมีการเปลี่ยนแปลงที่มากขนาดนี้ได้

 

 

นางยิ้มพลางพยักหน้าให้เฉิงลู่

 

 

ฮูหยินใหญ่เวิ่นกลับเปลี่ยนสีหน้า กล่าวขึ้นว่า “ใครไม่รู้บ้างว่าลู่เกอเอ๋อร์ของพวกเจ้าเป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง ต่อไปก็อาจจะได้เป็นขุนนางผู้มีความสามารถระดับสูง ฮูหยินใหญ่ไป่กับข้าทำไมต้องเกรงใจกันขนาดนี้ด้วย หรือกลัวว่าเมื่อลู่เกอเอ๋อร์มีชื่อเสียงแล้วญาติผู้ยากจนอย่างพวกข้านี้จะไปรบกวนอย่างนั้นหรือ เจ้าวางใจเถอะ ตระกูลเฉิงเช่นพวกข้านี้ถึงจะเสื่อมโทรมก็ยังมีเหล็กกล้าอีกสามจิน ต่อให้ต้องขอข้าวกินก็คงไม่ขอไปถึงจวนของพวกเจ้าหรอก”

 

 

ใบหน้าของต่งซื่อพองขึ้นจนแดงก่ำ

 

 

สตรีคนอื่นๆ ของตระกูลเฉิงเองก็ไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นโมโหเรื่องอะไร

 

 

ทว่าเฉิงลู่กลับมีสีหน้าสงบ หันไปกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ อย่างนอบน้อม และเอ่ยกับโจวเสาจิ่นว่า “ได้ยินมาว่าน้องสาวรองตระกูลโจวมีว่าวเป่ารุ่ยเสียงอยู่หลายตัว ข้าอยากจะขอยืมมาดูสักหน่อยว่าทำอย่างไร ไม่ทราบว่าน้องสาวรองสะดวกหรือไม่”

 

 

ชาติก่อน ทุกครั้งที่เฉิงลู่ติดต่อกับนางก็ล้วนมีความมั่นใจ เปิดเผยและตรงไปตรงมา ด้วยเหตุนี้โจวเสาจิ่นจึงไม่เคยเคลือบแคลงสงสัยมาก่อน ทว่าชาตินี้ เมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนี้อีกครั้ง โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าน่าขันยิ่งนัก

 

 

เฉิงลู่ คนที่รู้จักระมัดระวังตัวขนาดนี้ จากที่ใช้ประโยชน์จากชื่อของจวนห้าจนได้รับการแนะนำจากจวนสี่ให้เข้าไปเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษา จนถึงการเป็นคนที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับทุกคนในสำนักศึกษาได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่รู้ว่าชายหญิงควรมีระยะห่าง และทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ได้?

 

 

หากว่านางจำไม่ผิด ว่าวพวกนั้นทั้งหมดก็น่าจะเป็นเฉิงลู่ที่ส่งมาให้นางเมื่อก่อนหน้านี้

 

 

ตอนนี้กลับต้องการเอากลับไปอย่างเปิดเผย เกรงว่าพอผ่านไม่กี่วันก็คงจะส่งกลับมาให้นางอย่างเปิดเผยเช่นกัน

 

 

เพียงแต่ว่าในระหว่างเรื่องนี้จะมีอะไรที่แตกต่างจากนี้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้

 

 

และนางก็ไม่อยากจะไปสืบสาวราวเรื่องกับเฉิงลู่ด้วย

 

 

“เป่ารุ่ยเสียงนั้นอยู่ที่ตรอกฉุนอี้ พี่ชายลู่เองก็อาศัยอยู่ที่ตรอกฉุนอี้” โจวเสาจิ่นกล่าวเรียบๆ “หากพี่ชายลู่จะมาขอยืมว่าวกับข้า ไม่สู้ไปดูที่ตรอกฉุนอี้น่าจะดีกว่า ตอนที่พี่ชายอี้มอบว่าวให้ข้านั้นเคยกล่าวเอาไว้ว่า ด้านหลังสวนของเป่ารุ่ยเสียงเป็นตรอกที่ทำว่าว หากพี่ชายลู่ไปที่นั่น ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้เห็นเคล็ดลับในการทำว่าวด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

นางซ่อนความเข้าใจเอาไว้และแสร้งทำเป็นงุนงงสับสน ยกเรื่องว่าวมากล่าวว่าเป็นเฉิงอี้ที่เป็นคนมอบให้นาง ต่อให้ในอนาคตเฉิงลู่คิดจะเล่นแง่อะไรอีก แต่ต่อหน้าผู้ใหญ่มากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่กล้ายกเรื่องที่ว่าเขาเป็นคนมอบว่าวให้นางขึ้นมาพูดอีก ต่อไปก็ไม่อาจนำเรื่องว่าวมาสร้างให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้อีก

 

 

เมื่อกล่าวจบ โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าหากปล่อยเฉิงลู่ไปเช่นนี้ออกจะเป็นเรื่องที่ง่ายเกินไป จึงกล่าวเสริมอีกว่า “พวกเราพี่ชายน้องสาวต่างก็โตแล้ว คงจะไม่ดีนักหากจะยังเล่นกันเป็นกลุ่มก้อนอย่างเช่นตอนเด็กๆ อีก เกรงว่าคงจะไม่สะดวกให้พี่ชายลู่ยืมว่าวนี้แล้ว ขอพี่ชายลู่โปรดอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

ในดวงตาของฮูหยินผู้กัวมีรอยยิ้มพึงพอใจวาบผ่านอยู่สายหนึ่ง

 

 

เฉิงลู่หน้าแดงก่ำ ค้อมศีรษะให้แล้วเดินจากไป

 

 

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปทีหนึ่ง หมุนกายคุกเข่าลงบนเบาะ เตรียมตัวสวดมนต์พร้อมกันกับหลวงจีนในวัด ทว่าในใจกลับเหมือนกับน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ

 

 

อาจเป็นเพราะว่าตนไม่เพียงแทงเขาไปครั้งหนึ่งเท่านั้น ยังสร้างกับดักให้เฉิงลู่กระโดดลงไปอีกด้วย ความเกลียดชังในชาติก่อนได้รับการแก้แค้นแล้ว หากนางพบกับเฉิงลู่อีก ก็ไม่มีความเกลียดเข้ากระดูกดำอีกแล้ว ทว่ากลับแน่ใจได้อีกครั้งว่า ทุกการกระทำของเฉิงลู่นั้นล้วนมีเจตนาแอบแฝงอยู่

 

 

ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่า ระหว่างนางกับเขาและกับคนอื่นๆ นั้นมีความแตกต่างกันอยู่

 

 

ทำไมเฉิงลู่ต้องทำเช่นนี้ด้วย

 

 

ถึงแม้ว่าท่านยายกับท่านลุงใหญ่จะต้องออกหน้าเพื่อนางอย่างแน่นอน แต่การช่วยเหลือตนเองย่อมดีกว่าความช่วยเหลือจากผู้อื่น โจวเสาจิ่นจึงตัดสินใจจะพิสูจน์เรื่องนี้ให้กระจ่าง

 

 

เพียงต้องรู้วัตถุประสงค์ของเฉิงลู่ให้ได้เท่านั้น ถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วได้

 

 

ไม่เช่นนั้นมีความตั้งใจก็เหมือนไม่มี นางอาจะหลบตอไม้อันนี้ไปได้แต่ไม่มีทางจะหลบตอไม้อันต่อไปได้อีก

 

 

หากว่ามีบ่าวรับใช้ที่จงรักภักดีสักคนก็คงจะดี!

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิด จนกระทั่งพิธีกรรมดำเนินไปถึงช่วงพักครึ่ง นางจึงออกจากห้องโถงข้างไป และให้คนไปตามซือเซียงมาพบ จากนั้นสั่งการนางให้ไปตามหาเฉิงอี้ “บอกไปว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องการพบเขา!”

 

 

ซือเซียงรับคำแล้วจากไป

 

 

โจวเสาจิ่นยืนรออยู่ที่ด้านล่างห้องขนาดเล็กของห้องโถงข้างนั้น

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนสองคนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่ศาลาตรงกลางภูเขา

 

 

คนหนึ่งสวมชุดหลวงจีน อีกคนสวมชุดนักพรตเต้าเผา ท่าทางเป็นกันเองยิ่งนัก เพียงแต่ว่าอยู่ค่อนข้างไกล ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน

 

 

พอดีกับที่มีหลวงจีนน้อยเดินผ่านมา โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ถามหลวงจีนน้อยว่า “ทราบหรือไม่ว่าใครนั่งอยู่ตรงนั้น”

 

 

หลวงจีนน้อยมองไปที่ศาลาครั้งหนึ่ง ตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกว่า “เป็นนายท่านสี่ของจวนท่านกับพระอาจารย์ฉางจิงโหลวของพวกข้ากำลังสนทนาธรรมกันอยู่”

 

 

เฉิงซวิ่นเสียชีวิตด้วยความเจ็บป่วย ทว่าท่านน้าฉือกลับมีแก่ใจมาสนทนาธรรมกับพระในวัดกันเฉวียนอย่างนั้นหรือ

 

 

เขาไม่กังวลใจเกี่ยวกับเรื่องทายาทของจวนรองเลยหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นยิ่งรู้สึกว่านิสัยของท่านน้าฉือผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก

 

 

ไม่นาน เฉิงอี้ก็วิ่งเข้ามา เอ่ยถามนางเสียงหอบว่า “เจ้าตามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ ทางด้านโน้นข้ากำลังรอจุดตะเกียงให้พี่ชายซวิ่นอยู่นะ! มีเรื่องอะไรก็รอให้กลับจวนแล้วค่อยพูดกันไม่ได้หรืออย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่คิดว่าที่ห้องโถงหลักจะยุ่งขนาดนี้ รู้สึกกระดากอายอยู่ในใจ จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงอยากสอบถามหน่อยเท่านั้น ว่าทำไมจู่ๆ พี่ชายลู่ถึงมาหามารดาของเขา…สตรีทั้งหลายล้วนอยู่กันครบ และยังมีแขกเหรื่ออีก เขาทำเช่นนี้ดูไม่ชอบมาพากลยิ่งนักเจ้าค่ะ!”

 

 

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” คิ้วของเฉิงอี้ขมวดเป็นปม กล่าว “พี่ชายลู่อยู่ที่ห้องโถงข้างโดยตลอด…ระหว่างนั้นก็ไปห้องสุขาครั้งหนึ่ง ยังบอกเช่นนั้นกับพวกข้าด้วย ความจริงแล้วเขาไปหามารดาของเขาหรอกหรือ แต่เมื่อเขากลับมาที่ห้องโถงหลักก็ไม่ได้กล่าวอะไรเลยนะ…”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้แก่ใจดีว่าอะไรเป็นอะไร จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดาว่าน่าจะมีอะไรที่ไม่เหมาะที่จะพูดนัก ท่านกลับไปก็อย่าเอะอะไป จะได้ไม่เป็นการทำให้พี่ชายลู่ต้องอับอายขายหน้า”

 

 

ด้วยความที่ทางด้านของเฉิงอี้ก็กำลังยุ่งอยู่กับการจุดตะเกียง เมื่อได้ยินแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรมาก และวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

โจวเสาจิ่นยืนอยู่ที่ด้านล่างห้องขนาดเล็กนั้นพักใหญ่ กว่าจะหมุนกายเดินเข้าไปในห้องโถงข้าง

 

 

จากนั้นนางก็อยู่อย่างเงียบเชียบโดยตลอด

 

 

จนกระทั่งพิธีกรรมเสร็จสิ้นลง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะโกนเรียกนางให้ไปประคองตนเอง ตรงไปที่ห้องโถงหลัก รอจนจุดธูปถวายองค์พระโพธิสัตว์เสร็จ พวกเขาก็ควรจะกลับจวนกันได้

 

 

ระหว่างทาง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบที่มือของโจวเสาจิ่นเบาๆ พลางกล่าว “พรุ่งนี้พักผ่อนสักวัน วันมะรืนค่อยไปคัดลอกพระธรรมที่ห้องพระดีหรือไม่ ระวังอย่าให้เสียสุขภาพได้”

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกง่วงและเพลียมากจริงๆ จึงขานรับไปเบาๆ หลังจากที่ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นรถม้าไปแล้ว ก็พิงไหล่ของพี่สาวและหลับไปตลอดทางจนถึงจวน

 

 

ฝานหลิวซื่อพาบุตรชาย ฝานลู่กับฝานฉี มารอนางอยู่ในห้องโถงรับแขก

 

 

เมื่อเห็นสองพี่น้องตระกูลโจว พวกเขาสามคนแม่ลูกก็รีบก้าวเข้ามาคารวะทำความเคารพ

 

 

โจวเสาจิ่นให้คนไปประคองฝานหลิวซื่อลุกขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูท่าทางเจ้าเช่นนี้แล้ว ธุระที่บ้านคงจะจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

 

 

“จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะๆ” ฝานหลิวซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ลุงใหญ่เขาคืนที่นาให้พวกข้าแล้ว ยังกล่าวอีกว่าต่อไปจะดูแลลู่เอ๋อร์ให้มากขึ้นด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

ฝานลู่ดูจริงใจและซื่อๆ เพียงพยักหน้าอยู่ข้างๆ

 

 

ทว่าฝานฉีกลับ ‘หึ’ ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ก็จริงๆ เลยขอรับ สุดท้ายยังจะรับปากอีกว่าจะจ่ายห้าร้อยเหรียญทองแดงให้ลุงใหญ่ทุกปี เป็นการตอบแทนที่เขาดูแลพวกเรามาหลายปี ถือเป็นความความกตัญญูของพวกเราให้กับเขาขอรับ!”

 

 

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นตะลึงงัน

 

 

“ฉีเอ๋อร์!” ฝานหลิวซื่อหน้าเคร่งขึ้น ตำหนิไปว่า “เจ้าเองก็รับใช้อยู่ที่จวนมาหลายวัน คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง และข้ากำลังคุยกันอยู่ ไหนเลยจะถึงคราวของเจ้าได้พูดกัน ยังไม่รีบสำนึกผิดต่อคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองอีก!”

 

 

ฝานฉีบุ้ยปาก คุกเข่าลงโขกศีรษะให้สองพี่น้องตระกูลโจว

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามฝานหลิวซื่อว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

“ญาติที่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่ชิดใกล้” ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ “ยิ่งไปกว่านั้นลุงใหญ่เขาก็เป็นทั้งญาติและเป็นทั้งเพื่อนบ้าน สองบ้านขัดแย้งกัน เมื่อผู้อื่นเห็นแล้วก็ได้แต่ดูถูกตระกูลฝานเท่านั้น ไม่สู้ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กเสีย ถือเป็นการซื้อความสงบครั้งหนึ่ง”

 

 

โจวเสาจิ่นฟังแล้วราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด

 

 

โจวชูจิ่นกลับกล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียก็เป็นญาติ สุดท้ายแล้วการเก็บความขุ่นเคืองใจเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร”

 

 

ฝานหลิวซื่อคิดถึงญาติของตนเองที่ไม่อาจเปรียบได้กับสองพี่น้องตระกูลโจวที่รับใช้ด้วยเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นแล้ว ขอบตาก็แดงขึ้น กล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ขอบคุณคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองยิ่งนักเจ้าค่ะ หากว่าไม่มีพวกท่าน แม่หม้ายลูกติดเช่นพวกข้า เกรงว่าแม้แต่กระเบื้องบังลมสักชิ้นก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้…” ขณะที่พูด ก็พาบุตรทั้งสองไปโขกศีรษะคำนับให้กับสองพี่น้องตระกูลโจวอีกครั้ง

 

 

โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปจับฝานหลิวซื่อเอาไว้

 

 

โจวชูจิ่นเองก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเป็นแม่นมของนาง ฝานลู่และฝานฉีก็เป็นพี่ชายร่วมน้ำนมเดียวกันของนาง ก็ควรจะเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันถึงจะถูก ต่อไปก็ไม่ต้องกล่าวอย่างเกรงใจเช่นนี้อีก”

 

 

ฝานหลิวซื่อพยักหน้าหงึก

 

 

โจวชูจิ่นรู้ว่าฝานลู่ตั้งใจมาเพื่อแสดงความกตัญญู จึงให้คนไปทำความสะอาดห้องข้างและให้ฝานลู่อยู่ค้างคืนด้วย วันรุ่งขึ้นตอนที่ฝานลู่จะกลับไปนั้นยังให้รางวัลเขาอีกยี่สิบเหลี่ยง

 

 

ฝานลู่โขกศีรษะให้โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่น โขกจนศีรษะเขียวช้ำไปหมด หากไม่ใช่ว่าได้ชุนหว่านดึงเอาไว้ เขาก็คงจะโขกต่อไปไม่หยุดเป็นแน่

 

 

เมื่อส่งฝานลู่ออกไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็เรียกฝานฉีเข้ามา

 

 

……………………………………………………………….