ตอนที่ 52 สืบความ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นถามฝานฉี “เจ้าอยากไปเที่ยวเล่นรอบเมืองจินหลิงหรือไม่”

 

 

“อยากขอรับ!” ฝานฉีไม่รู้ถึงวัตถุประสงค์ของโจวเสาจิ่น ดวงตาทั้งคู่มองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างตื่นๆ แต่ก็ยังตอบไปตามความจริง

 

 

โจวเสาจิ่นอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ให้ซือเซียงหยิบเงินสองเหลี่ยงมาให้เขา กล่าวขึ้นว่า “หากว่าเจ้าสามารถไปเดินรอบๆ เมืองจินหลิงมารอบหนึ่ง แล้วไม่ว่าข้าจะถามถึงสถานที่อะไรเจ้าก็รู้หมดทุกที่แล้วล่ะก็ ไม่เพียงสองเหลี่ยงนี้เท่านั้นที่จะให้เจ้า ข้ายังจะให้รางวัลเจ้าเพิ่มอีกสองเหลี่ยงด้วย!”

 

 

ฝานฉีไม่กล้ารับไว้ ลูบศีรษะพลางเอ่ยถามว่า “คุณหนูรองอยากให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ”

 

 

“ต่อไปเจ้าต้องติดตามมาเป็นบ่าวให้ข้า คงไม่ต้องให้ข้าต้องคอยบอกเจ้าตลอดว่าของอะไรต้องไปซื้อที่ไหนหรอกใช่หรือไม่” โจวเสาจิ่นกล่าว “เจ้าลองไปถามพ่อบ้านหม่า ว่าที่ข้าพูดนั้นจริงหรือไม่”

 

 

“ข้าทราบขอรับ!” ฝานฉีรีบกล่าว “พ่อบ้านหม่าเคยบอกเอาไว้ เพียงนายท่านสั่งการลงมา พวกเราก็ควรจะรู้แล้วว่าต้องทำอะไร ทำอย่างไร ไม่ใช่ไปถามนายท่านว่าของสิ่งนี้ต้องไปซื้อจากที่ไหน หรือของสิ่งนี้ไปหาได้จากที่ใด”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

ฝานฉีรับเงินมาแล้วก็วิ่งจากไป

 

 

ซือเซียงยิ้มพลางกล่าว “คุณหนูไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือฝานมามาเช่นนี้ก็ได้กระมังเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่อธิบาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “รอให้เจ้าหาสามีได้สักคนหนึ่งแล้ว ข้าก็จะช่วยเหลือเจ้าเช่นนี้เหมือนกัน”

 

 

“คุณหนู!” ซือเซียงหน้าแดงและวิ่งออกไป

 

 

รอยยิ้มของโจวเสาจิ่นค่อยๆ จางหายไป นั่งเงียบๆ อยู่บนตั่งหลัวฮั่นอยู่ครู่ใหญ่

 

 

เนื่องจากไม่ต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน โจวเสาจิ่นจึงได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ไปตื่นหนึ่ง

 

 

จนกระทั่งตอนที่ไปคารวะยามเย็นท่านยายในช่วงเย็น พี่สาวกระซิบบอกนางว่า “ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนคุยกับเฉิงลู่แล้ว บอกว่ามีข่าวลือเกิดขึ้นจากทุกที่ในช่วงนี้ จึงให้เขาเอาทรัพย์สินของครอบครัวไปฝากรวมกับจวนห้าจะดีกว่า แต่เฉิงลู่วิงวอนขอร้องเอาไว้ กล่าวว่าเดือนหกเขาต้องลงสนามสอบแล้ว รอให้เขาสอบเสร็จแล้วค่อยมาจัดการเรื่องทรัพย์สินของครอบครัวเขาได้หรือไม่ ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนไม่อยากบีบบังคับเขา จึงรับปากว่าถึงเดือนแปดค่อยมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง”

 

 

โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าท่านยายกับท่านลุงใหญ่เหมี่ยนจะเด็ดขาดและรวดเร็วถึงเพียงนี้ พอบอกว่าจะทำก็คือทำเลย

 

 

ในความเป็นจริงหากว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป พอถึงเดือนหกเฉิงลู่ก็จะสอบผ่านการสอบระดับเมือง ทำให้มีคุณสมบัติพอให้ได้รับยกเว้นการจ่ายส่วยภาษี เขาก็ไม่ต้องการการปกป้องจากจวนสี่อีก แต่การที่ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนเตือนเขาเช่นนี้ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีของจวนสี่ ให้เขาได้รู้สึกไม่สบายใจบ้างก็ดีเหมือนกัน

 

 

นางรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก เมื่อพบฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงแสดงความขอบคุณอย่างอ่อนหวานไปให้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าต่างก็เป็นคนที่ข้าเลี้ยงดูให้เติบโตมาตั้งแต่เล็กๆ เป็นหลานสาวของข้า ข้าไม่ปกป้องพวกเจ้าแล้วใครจะปกป้องพวกเจ้ากัน?”

 

 

ชาติก่อน ทำไมนางถึงไม่ใส่ใจที่จะมองเรื่องพวกนี้บ้าง ทำให้พลาดโอกาสไปมากมายอย่างเปล่าประโยชน์

 

 

โจวเสาจิ่นคิดกับตัวเองว่าต่อจากนี้ไปจะต้องกตัญญูต่อครอบครัวของท่านยายให้ดี

 

 

จนถึงวันรุ่งขึ้น นางไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานเช่นเดิม เพียงแต่ว่าตอนที่ไปนั้นได้พบกับมามาข้างกายของฮูหยินหลินเจี้ยวอวี้ที่มาส่งของขวัญตอบแทนให้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอดี

 

 

ตระกูลเฉิงจวนหลักนั้นมีสถานะสูง ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะที่ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอาศัยอยู่อย่างเรือนหานปี้ซาน

 

 

นางถามเสี่ยวถานอย่างประหลาดใจว่า “ครอบครัวของหลินเจี้ยวอวี้กับฮูหยินผู้เฒ่าสนิทสนมกันหรือ”

 

 

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เดี๋ยวนี้เสี่ยวถานผ่อนคลายเป็นอย่างมากยามอยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้เพียงว่าเมื่อหลายวันก่อนฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้านำชุดเครื่องเขียนไปมอบให้ครอบครัวของหลินเจี้ยวอวี้ กล่าวว่ามอบให้กับคุณชายของจวนหลินเจี้ยวอวี้ใช้ยามไปสอบ วันนี้ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้จึงให้คนมาส่งของขวัญตอบแทน…ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าไปมาหาสู่กับครอบครัวของหลินเจี้ยวอวี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ”

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังตอบแทนที่ภรรยาของหลินเจี้ยวอวี้ช่วยพูดให้เฉิงสวี่ตอนอยู่ที่ลานเปิดโล่งเรือนซื่ออี๋ในวันนั้นนั่นเอง!

 

 

เพียงพริบตาเดียวโจวเสาจิ่นก็ลืมเรื่องนี้เสียแล้ว

 

 

ผ่านไปไม่กี่วัน จวนต่างๆ ก็เริ่มส่งของขวัญเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างให้กัน

 

 

โจวเสาจิ่นเฝ้าสังเกตมาแล้วสักพัก ก็ไม่เห็นมีของขวัญที่อู๋เป่าจางส่งมาให้พวกนางสองพี่น้อง

 

 

ดูเหมือนว่าหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมา ชาติก่อนกับชีวิตนี้มีส่วนที่ไม่เหมือนกันแล้ว

 

 

นี่จึงทำให้โจวเสาจิ่นมีความมั่นใจต่อเรื่องราวในอนาคตมากยิ่งขึ้น

 

 

ฝานฉีมาหานางอย่างเบิกบานใจ “คุณหนูรอง ท่านลองทดสอบข้า ดูว่าข้าจะตอบได้หรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้ม ถามเขาไปหลายสถานที่ เขาล้วนตอบได้ถูกต้องอย่างลื่นไหลทั้งหมด

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะมอบหมายงานให้เจ้าไปทำเรื่องหนึ่ง” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าตรอกฉุนอี้ คุณชายใหญ่ลู่ของตระกูลเฉิงอาศัยอยู่ที่นั่น”

 

 

“ทราบขอรับๆ” ฝานฉีรีบตอบ “ที่นั่นมีวัดผู่เสียนขนาดเล็กอยู่วัดหนึ่ง มีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งหมู่ มีห้องโถงหลักขนาดสามห้องกั้น ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศเหนือต่างหันเข้าหาถนนกวนเจีย ส่วนทิศตะวันตกเป็นสวนดอกไม้ของจวนดอกเหมยขอรับ” พูดจบ เขาก็กล่าวอีกว่า “ท่านรู้จักจวนดอกเหมยหรือไม่ขอรับ ที่นั่นก็คือจวนดอกเหมยที่ปลูกต้นเหมยหลายร้อยต้นเอาไว้ภายในจวนหลังนั้น ความจริงแล้วพวกเขาแซ่หลิว แต่เพราะในจวนปลูกดอกเหมยเอาไว้มากมาย พออากาศหนาว ถนนกวนเจียทั้งเส้นจะได้กลิ่นหอมของดอกเหมย ผู้คนจึงต่างเรียกจวนของพวกเขาว่า ‘จวนดอกเหมย’ เวลาผ่านไปนานวันเข้า กลับไม่รู้แล้วว่าจริงๆ แล้วนายท่านของจวนนั้นแซ่หลิว…”

 

 

ถึงแม้ว่าโจวเสาจิ่นจะอยู่ที่เมืองจินหลิงจนอายุย่างเข้าสิบห้าปีถึงได้ออกจากจินหลิงไป ทว่ากลับไม่ได้ออกจากจวนบ่อยครั้งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าคุ้นเคยกับถนนใหญ่หรือซอยเล็กซอยน้อยของเมืองจินหลิง แต่ ‘กลิ่นหอมของดอกเหมย ที่ส่งกลิ่นไปทั่วถนนทั้งเส้น’ ที่ฝานฉีกล่าวถึงนั้น นางกลับรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเคยได้ยินใครพูดเอาไว้ตอนไหน แต่นางก็ไม่ได้คิดมาก กลับยิ้มและกล่าวขัดคำพูดของฝานฉีขึ้นมาว่า “เอาล่ะๆ เจ้าแค่บอกว่าเจ้ารู้จักก็พอแล้ว”

 

 

ฝานฉีหัวเราะร่าอย่างเขินอาย

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าสืบความเรื่องจวนของคุณชายใหญ่ลู่สักหน่อย”

 

 

ฝานฉีดวงตาเบิกกว้าง

 

 

โจวเสาจิ่นกระซิบ “แต่ว่าเรื่องนี้ ไม่ว่าใครเจ้าก็ไม่อาจบอกได้ รวมทั้งแม่ของเจ้าด้วย เจ้าทำได้หรือไม่”

 

 

“ไม่อาจบอกแม่ของข้า!” ฝานฉีลังเลเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “หากว่าแม่ของเจ้าถามขึ้นมาว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าก็เพียงบอกไปว่าข้าไม่ให้เจ้าบอก แม่ของเจ้าก็จะไม่ถามอะไรเจ้าอีก”

 

 

ฝานฉีกล่าวขึ้น “หากพูดตามที่คุณหนูรองบอก แม่ของข้าก็จะไม่ถามอะไรข้าอีก เช่นนั้นข้าย่อมไม่บอกแม่ของข้าได้อย่างแน่นอนขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ข้าทราบมาว่าท่านปู่ทวดของคุณชายใหญ่ลู่กับทางฝั่งของจวนห้าเป็นพี่น้องกัน เจ้าช่วยไปสืบความมาให้ข้าหน่อยว่า จวนที่คุณชายใหญ่ลู่อาศัยอยู่ตอนนี้ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาอาศัยอยู่ที่ตรอกฉุนอี้มากี่ปีแล้ว โดยปกติที่จวนไปมาหาสู่อย่างสนิทสนมกับคนประเภทใดมากที่สุด เพื่อนบ้านแถวนั้นพูดถึงคุณชายใหญ่ลู่และฮูหยินใหญ่ไป่ว่าอย่างไรบ้าง เจ้าจำได้หมดหรือไม่”

 

 

เด็กคนไหนบ้างที่ไม่มีความอยากรู้อยากเห็น?

 

 

ฝานฉีสนใจยิ่งนัก ทวนคำพูดของโจวเสาจิ่นอีกหนึ่งรอบ และเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้าพูดได้ถูกต้องหรือไม่ขอรับ”

 

 

“ถูกต้องๆๆ” ฝานฉีดูตั้งตารอคอยมากยิ่งกว่าโจวเสาจิ่นเสียอีก นางจึงยิ้มตาหยีจนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และตกรางวัลให้เขาอีกสองเหลี่ยง “จำนวนนี้ให้เป็นค่าน้ำชาให้เจ้า หากว่างานนี้ทำได้ดี ยังจะมีรางวัลอีก!”

 

 

“คุณหนูรอง ท่านให้รางวัลข้ามาแล้วขอรับ!” ฝานฉีไม่ได้รับเงินสองเหลี่ยงนั่นเอาไว้ กลับเอ่ยอย่างเกรงใจขึ้นมาว่า “คุณหนูรอง ข้า ข้าอยากเรียนอ่านเขียนกับพี่สาวซือเซียง…ท่านให้รางวัลข้าเป็นเรื่องนี้แทนได้หรือไม่ขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “ได้ ข้าจะบอกซือเซียงให้ ให้นางสอนเจ้าอ่านเขียน รอให้จดจำคำที่ซือเซียงรู้จนหมดแล้ว ข้าจะพูดกับคุณชายใหญ่เก้าหรือไม่ก็คุณชายรองอี้ ให้เจ้าไปช่วยพวกเขาถือกระดาษและแท่งหมึก จะได้ไปฟังอาจารย์สอนที่สำนักศึกษาด้วย”

 

 

ฝานฉีดีใจจนอยากจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมา กล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นไม่หยุด ตอนที่เดินออกไปนั้นเกือบจะสะดุดธรณีประตูล้มลงไปแล้ว ทำให้ซือเซียงที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอกต้องปิดปากเอาไว้และหัวเราะอย่างขบขัน

 

 

ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็เปลี่ยนเป็นสดใสไม่น้อยเช่นเดียวกัน

 

 

ตอนกลางคืนนางจุดตะเกียงเร่งทำชุดฤดูร้อนให้พี่สาวและตัวเอง และยังทำกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนให้ท่านยายผืนหนึ่งด้วย

 

 

กระทั่งถึงตอนที่ได้รับเทียบเชิญให้ไปชมดอกไม้และร่วมงานเลี้ยงบทกวีที่แต่ละจวนส่งเข้ามาให้อย่างไม่ขาดสายนั้น ฝานฉีก็มารายงานผลให้โจวเสาจิ่น “จวนของคุณชายใหญ่ลู่นั้นเป็นจวนที่ได้รับช่วงต่อมาจากบรรพบุรุษของคุณชายใหญ่ลู่ ซื้อตอนที่ท่านปู่ทวดของคุณชายใหญ่ลู่แยกตัวออกมาจากซอยจิ่วหรู กระทั่งถึงช่วงของนายท่านไป่ผู้เป็นบิดาของคุณชายใหญ่ลู่ นายท่านไป่ได้ซื้อจวนข้างๆ มาด้วย ถึงได้มีอาณาเขตเป็นเจ็ดหมู่อย่างทุกวันนี้ นายท่านไป่เสียชีวิตในปีอี๋โอ่ว หรือก็คือรัชศกจื้อเต๋อปีที่แปด เพื่อนบ้านต่างกล่าวกันว่า ก่อนที่นายท่านไป่จะเสียชีวิตนั้นต้องนอนอยู่บนเตียงเกือบครึ่งปี ในครึ่งปีนั้นราวกับว่าได้เปลี่ยนเป็นคนละคน นอกจากจะโมโหร้ายแล้ว ยังดุด่าสาวใช้และถีบเตะบ่าวชาย เกือบจะทำให้คนเสียชีวิตเสียแล้ว หากไม่ใช่ว่าได้ทางฝั่งซอยจิ่วหรูช่วยออกหน้าเอาไว้ ไม่ต้องรอให้นายท่านไป่ไปพบเหยียนหวางก็คงจะได้เข้าคุกเข้าตารางไปก่อนเสียแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะเหตุผลนี้ หลังจากที่นายท่านไป่เสียชีวิตแล้ว ฮูหยินใหญ่ไป่รู้สึกเสียหน้า จึงไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านมากนัก นอกจากกลับบ้านเดิมแล้ว ก็จะมาเยี่ยมเยียนที่ซอยจิ่งหรู ประตูจวนแน่นหนามาก เพื่อนบ้านซ้ายขวาต่างกล่าวกันว่าพวกเขารู้สึกว่าฮูหยินใหญ่ไป่เป็นคนที่ซื่อสัตย์ มั่นคงและเป็นคนดีผู้หนึ่ง…

 

 

…ในส่วนของคุณชายใหญ่ลู่นั้น เรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่เด็ก ในยามปกตินอกเหนือจากไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาแล้วก็จะอ่านหนังสืออยู่ที่จวน หากว่าจะออกไปข้างนอก ก็จะไปกับสหายร่วมห้องที่สำนักศึกษาหรือไม่ก็คุณชายทั้งหลายของตระกูลเฉิง ผู้คนที่ตรอกฉุนอี้ต่างกล่าวกันว่าคุณชายใหญ่ลู่นั้นเป็นผู้คงแก่เรียน ไม่แน่ว่าอาจจะสอบได้ลำดับที่หนึ่งก็เป็นได้ ผู้คนต่างก็อิจฉาฮูหยินใหญ่ไป่ ว่านางเป็นผู้ที่มีวาสนาดีผู้หนึ่งขอรับ”

 

 

พูดเสร็จ เขายังมีเรื่องจะพูดต่อ กลืนน้ำลายไปครั้งหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าได้ยินคนพูดกันว่า เมื่อก่อนครอบครัวของคุณชายใหญ่ลู่มีที่นาอยู่เพียงหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าหมู่ กับร้านค้าสองร้าน ทั้งหมดล้วนให้ผู้อื่นเช่า ส่วนตนเองเก็บค่าเช่ากินเท่านั้น กระทั่งมาถึงมือของนายท่านไป่ หลังจากที่นายท่านไป่สอบได้ซิ่วไฉแล้วก็ไม่ได้เรียนต่ออีก เริ่มขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อทำการค้า ครอบครัวถึงได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ไม่เพียงได้บ้านสวนที่ผูโข่วเพิ่มมาอีกสองร้อยกว่าหมู่ ยังซื้อร้านติดถนนได้อีกหกร้านที่ถนนกวนเจียอีกด้วย โดยมีคนเฝ้าร้านที่อยู่มาตั้งแต่ก่อนที่นายท่านไป่จะเกิดเสียอีกเป็นผู้ดูแล ในทุกปีรายได้จากร้านค้าเพียงไม่กี่ร้านก็มีถึงหนึ่งพันกว่าเหลี่ยงขอรับ…”

 

 

โจวเสาจิ่นนึกขึ้นมาได้

 

 

ตอนที่จวงซื่อผู้เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดนางเสียชีวิตนั้น ท่านยายทวดและท่านตาตามสายเลือดของนางต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว ภาพเขียน หนังสืออักษรภาพ ทองคำ เงินสดอีกนิดหน่อยและอื่นๆ ของตระกูลจวงล้วนยกให้มารดาของนาง ส่วนบ้านและที่นายกให้ท่านลุงเปี้ยนอี๋ผู้เป็นญาติห่างๆ ผู้นั้น ในเวลานั้นโจวเจิ้นผู้เป็นบิดายังไม่ได้มีตำแหน่ง หลังจากที่มารดาเสียชีวิตแล้ว ท่านลุงเปี้ยนอี๋เคยมาที่จวนเพื่อขอสินสอดของมารดาของนาง ท่านพ่อไม่ยินยอมให้เหตุนี้มาทำลายชื่อเสียงของมารดา จึงนำเงินสองพันเหลี่ยงไปที่ทางการเพื่อร่างสัญญาเอาไว้เป็นหลักฐาน ถึงได้จบเรื่องนี้กับท่านลุงเปี้ยนอี๋ผู้นั้นของนางไปได้

 

 

แต่ท่านลุงผู้นั้นของนางไม่ใช่คนที่ทำตามข้อตกลง

 

 

เมื่อสองปีก่อน หรือหากรวมชาติที่แล้วกับชาตินี้แล้วก็น่าจะเป็นเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ท่านป้าของนางวางแผนมาพบนาง กล่าวว่าท่านลุงของนางติดการพนัน นำทรัพย์สินที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษทั้งหมดไปเดิมพันจนแพ้ ตอนนี้ แม้แต่สินสอดของฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งก็คือบ้านหลังเล็กขนาดสองห้องหลังนั้นก็จะต้องเอาไปขายแล้ว…ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดีมาก เมื่อเข้าฤดูหนาวถนนทั้งสายก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย ไม่รู้ว่าจะมีบัณฑิตกี่มากน้อยที่ต้องการซื้อบ้านหลังเล็กๆ สักหลังอยู่ที่นั่น หากว่าคุณหนูรองไม่ใส่ใจอีก สมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ ของที่แม้จะใช้เงินก็ซื้อไม่ได้เช่นนี้ก็คงจะต้องขายออกไปในราคาถูกเสียแล้ว อย่างไรเสีย คุณหนูรองไม่ลองนำเงินไม่กี่ร้อยเหลี่ยงออกมาช่วยท่านลุงของเจ้าในยามฉุกเฉินก่อน…

 

 

นางกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก เดิมทีจึงไม่ค่อยรู้เรื่องของตระกูลท่านตา และยิ่งไม่รู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อสมบัติที่ตระกูลจวงทิ้งเอาไว้ให้ ในเวลานั้นนางเพียงรู้สึกอับอาย ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่เงินของหลานสาวผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเรือนของผู้อื่นเช่นนางก็ยังอยากจะหลอกเอาไปอีก นางทั้งไม่ยินยอมและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงเอาเรื่องทั้งหมดยกให้พี่สาวเป็นผู้จัดการแทน…

 

 

……………………………………………………………