บทที่ 62 น้ำแกงหงส์มังกร

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

เด็กคนนี้น่าจะได้รับยีนที่ดีเลิศจากเชื้อพระวงศ์ นอกจากสุขภาพไม่ดีแล้วที่จริงหน้าตาของเขานั้นจัดอยู่ในขั้นดีเลิศ เมื่อเขาหัวเราะขึ้นมาราวกับเป็นสายลมเย็นสายหนึ่ง อีกทั้งเขาผ่ายผอมเกินไป

เขาควรจะเสริมภูมิต้านทานของร่างกายครั้งต่อไปจะได้ไม่ล้มป่วยโดยง่าย

ในที่สุดเซียวเยี่ยนก็ยอมปริปากพูดจาเสียที “หลินเจาอี๋ เจ้าคิดจะให้ฝ่าบาทกินน้ำลายของเจ้าหรือไร?”

หลินชิงเวยก้มหน้ามองตะเกียบของตนแล้วกล่าวอย่างนึกขึ้นได้ว่า “อ้อ ตะเกียบนี้ข้ากินแล้ว ฝ่าบาทถือเรื่องความสะอาดหรือเพคะ?”

นางเพิ่งจะหันหน้าไปมองเซียวเยี่ยน ทางด้านเซียวจิ่นกลับคีบเนื้อปลาชิ้นนั้นส่งเข้าปากตนเรียบร้อย ทางหนึ่งเม้มปากเพื่อจะลิ้มลองรสชาติ อีกทางหนึ่งกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่เป็นไร ชิงเวยเพียงแต่มีเจตนาดี” ต่อมาเซียวจิ่นดื่มน้ำซุปอีกสองคำ “วันนี้น้ำแกงนี้รสชาติสดดีมาก เสด็จอา ท่านช่วยตักน้ำแกงให้นางถ้วยหนึ่งให้นางลองชิมดู นางตักไม่ถึง”

เซียวเยี่ยนมองหลินชิงเวยแวบหนึ่ง “ข้ากำลังคิดจะตักให้นางถ้วยหนึ่งเช่นกัน” พูดแล้วด้วยแขนของเขายาว เพียงยืดกายขึ้นเล็กน้อยก็ตักน้ำแกงใส่ถ้วยน้ำแกงของนาง

หลินชิงเวยมองโต๊ะเสวย “วันหลัง ปรับปรุงโต๊ะเสวยตัวนี้สักหน่อย วางแผ่นกระจกที่หมุนได้สักแผ่นไว้ข้างบน ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่อยู่ไกลหรือใกล้ล้วนตักได้หมด”

“กระจก?”

หลินชิงเวยทำท่าเท้าค้างของตนและครุ่นคิด “ถูกต้องเพคะ หากไม่มีกระจก เช่นนั้นใช้ไม้กระดานเรียบๆ แทนก็ได้เช่นกันเพคะ” พูดแล้วเซียวเยี่ยนส่งถ้วยน้ำแกงมาให้นาง นางรับมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน “ขอบคุณเสด็จอาเพคะ”

น้ำแกงนี้รสชาติดีเลิศจริงๆ รสชาติหวาน สดใหม่ หลินชิงเวยถาม “นี่เป็นน้ำแกงอะไร รสชาติดีเช่นนี้?”

เซียวเยี่ยนอธิบายกับนางอย่างมีน้ำอดน้ำทนยิ่งยวด “น้ำแกงหงส์มังกร”

“ชื่อก็ไพเราะเช่นกัน ทำมาจากอะไรเพคะ?”

ครานี้สีหน้าของเซียวเยี่ยนปรากฎรอยยิ้มบางๆ ทว่ามีน้ำสกปรกเต็มท้องแน่นอน “ไก่และงูตุ๋นด้วยกัน”

“พรืด–”

เซียวเยี่ยนกล่าวต่อ “ต้องตุ๋นไปเรื่อย กระทั่งเนื้อไก่และเนื้องูเปื่อยยุ่ยอยู่ในน้ำแกง สุดท้ายเหลือเพียงกระดูก เพียงแค่เลือกกระดูกออกมา…”

หลินชิงเวยยืนพรวดขึ้นแล้ววิ่งออกไป ยืนค้ำกำแพงเริ่มอาเจียนออกมา

เซียวเยี่ยนหยิบผ้าไหมมาแตะเช็ดมุมปากของตนด้วยกริยาอันสง่างาม เขาลุกขึ้นกล่าวเรียบๆ “ฝ่าบาทค่อยๆ เสวย”

อาหารเลิศรสที่กินเข้าไปในยามกลางวัน เวลานี้ดียิ่งนัก นางอาเจียนออกมาเสียสิ้นไส้สิ้นพุงไม่มีเหลือ

เซียวเยี่ยนเดินออกมาสายตามองตรงไปข้างหน้าไม่ว่อกแว่ก เมื่อเขาเดินผ่านร่างของหลินชิงเวยเขาทำทีราวกับมองไม่เห็นนางอย่างไรอย่างนั้น หลินชิงเวยเช็ดมุมปากของตนแล้วยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อของเขา

“ท่านจงใจใช่หรือไม่?” หลินชิงเวยถาม

เซียวเยี่ยนเลิกคิ้ว “ดูจากตรงไหน?”

“ท่านรู้ว่าข้าไม่กินเนื้องู”

“เปิ่นหวางไม่เคยได้ยินเจ้าพูดมาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ากินอะไร ไม่กินอะไร?”

หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมอง เห็นสีหน้าท่าทีแกล้งโง่ที่เขาเสแสร้งออกมา จึงเช็ดริมฝีปากของตน “อาศัยแค่ท่าน จะมาข่มขู่ให้พี่สาวตกใจได้? ท่านดูท่านสิ หางตาของท่านแทบจะชี้ขึ้นฟ้าอยู่แล้วในใจท่านคงยินดีแทบแย่กระมัง หา?”

เซียวเยี่ยนลูบหางตาของตนอย่างเป็นธรรมชาติ “มีหรือ? เจ้าคิดไปเองกระมัง” เขาหันกายด้านข้างให้เรือนร่างบอบบางของหลินชิงเวย ก้มหน้าลงมองนาง “อายุของเปิ่นหวางอย่างน้อยก็มากกว่าเจ้าถึงเก้าปี ถือเป็นผู้มีอาวุโสกว่าเจ้า เจ้าเรียกตัวเองว่าพี่สาวต่อหน้าเปิ่นหวาง? อายุน้อยเท่านี้ ใครสั่งสอนให้เจ้ากระทำการข้ามหน้าข้ามตา กำเริบเสิบสานเยี่ยงนี้?”

หลินชิงเวย “มารดาของท่าน”

“…” เซียวเยี่ยนคิดว่าพูดกับนางมากอีกหนึ่งประโยคล้วนเป็นเรื่องเปลืองน้ำลายโดยใช่เหตุ เขาจึงหันกายกล่าวว่า “ทางด้านฝ่าบาทต้องการให้เจ้าดูแล เปิ่นหวางยังมีเรื่องอื่นต้องทำ ขอตัวก่อน หากเจ้าดูแลไม่ละเอียดถี่ถ้วน เปิ่นหวางจะให้ห้องเครื่องตุ๋นน้ำแกงหงส์มังกรให้เจ้าดื่มทุกวัน”

หลินชิงเวย “มารดาท่านน่ะสิ”

รอกระทั่งหลินชิงเวยนั่งพักอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง คลายจากความผะอืดผะอมแล้วจึงกลับเข้าไปในห้องของเซียวจิ่น เวลานี้เขาดูเหมือนจะกินอิ่มแล้วนั่งมองนางด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างสงบ

“เสด็จอาทำให้เจ้าโมโห? เจ้าไม่กินน้ำแกงหงส์มังกร?” เซียวจิ่นกล่าว “เช่นนั้นต่อไปเจิ้นจะสั่งลงไปไม่ให้ห้องเครื่องทำอาหารจานนี้มาขึ้นโต๊ะอีก”

หลินชิงเวยคิดว่าโมโหส่วนโมโห แต่นางย่อมไม่พาลพาโลเช่นนี้ จึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทเสวยเรียบร้อยหรือเพคะ?”

เซียวจิ่นกล่าว “เจิ้นกินอิ่มแล้ว เจ้ากินอิ่มแล้วหรือไม่ กับข้าวเย็นชืดหมดแล้ว เจิ้นเรียกให้พวกเขาขึ้นอาหารร้อนๆ ให้เจ้าได้”

หลินชิงเวยไหนเลยจะกินอะไรลงอีกเล่า นางเพียงแต่เข็นเก้าอี้ของเซียวจิ่นไปที่ริมหน้าต่างตามที่เขาร้องขอ

เหล่านางกำนัลเข้ามาเก็บกวาดโต๊ะเสวย ต่อมาภายในตำหนักบรรทมอันกว้างใหญ่กลับเข้าสู่ความเงียบสงบดังเดิม เซียวจิ่นนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง เงาร่างนั้นดูโดดเดี่ยว อ้างว้าง ทว่าทุกครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองหลินชิงเวยมักจะมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนประดุจความอบอุ่นในฤดูวสันต์ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอ

หลินชิงเวยคิดว่าที่จริงเด็กน้อยคนนี้ก็มิง่ายดายเช่นกัน มีสภาพร่างกายพิการมาจนถึงบัดนี้ สภาพจิตใจยังมองโลกในแง่ดีได้ถึงเพียงนี้

เซียวจิ่นกล่าว “ชิงเวย เจ้าชอบอ่านหนังสือหรือไม่ ในตำหนักซวี่หยางมีห้องสมุดอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าชอบหนังสือประเภทใดไปเลือกมาอ่านได้ตามใจชอบ”

หลินชิงเวยกล่าว “ข้าชอบอ่านหนังสือนิยายสีเหลือง[1] ในตำหนักฝ่าบาทที่นี่มีหรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ยังถามอีกว่า “อะไรคือ หนังสือนิยายสีเหลือง?”

หลินชิงเวยกระพริบตาปริบๆ ใส่เขา หัวเราะจนหน้าอกกระเพื่อม “ก็คือหนังสือประเภทที่ทั้งลามกทั้งทะลึ่ง”

เซียวจิ่นกระแอมกระไอในคอครั้งหนึ่ง “เจิ้นไม่รู้เหมือนกัน หนังสือที่เจิ้นอ่านล้วนเป็นหนังสือที่เสด็จอาหยิบให้ทั้งสิ้น เจิ้นเดินเหินไปมาไม่สะดวก ครั้งหน้าเจ้าถามเสด็จอาได้”

หลินชิงเวยกล่าว “ช่างเถิด ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันไม่อ่านดีกว่า เรื่องชั้นสูงเช่นการอ่านหนังสือเก็บไว้ให้คนเช่นฝ่าบาทอ่านจะดีกว่า หม่อมฉันทำอาชีพที่หม่อมฉันถนัดจะดีที่สุดเพคะ” นางพูดแล้วเดินมาหยุดเบื้องหน้าเซียวจิ่น ย่อกายนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าเก้าอี้รถเข็นของเขา ยังดีที่บนพื้นกระดานนี้ได้ปูพรมเอาไว้แล้ว จึงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกแข็งกระด้าง นางยื่นมือไปปัดอาภรณ์สีเหลืองสว่างของเขา

เซียวจิ่นไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับประสบการณ์หลายครั้งที่ได้พบหน้ากันมา เขาได้กลายเป็นเช่นสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกอีกแล้ว เขากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าคนเช่นเจิ้น เป็นคนประเภทใดกัน?”

หลินชิงเวยตอบอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ย่อมต้องเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือเพคะ” ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินจะไม่อ่านหนังสือได้อย่างไรกัน ต่อให้ไม่ใช่คนรักการอ่านก็ต้องบังคับตัวเองให้อ่านสักเล็กน้อย อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่พอจะมีน้ำหมึกอยู่ในท้องบ้างจึงจะใช้ได้ “ฝ่าบาทอ่านหนังสือของฝ่าบาทต่อไปเถิดเพคะ หม่อมฉันจะช่วยนวดขาทั้งคู่ของฝ่าบาท”

พูดแล้วปลายนิ้วก็นวดขึ้น-ลงบนขาของเซียวจิ่น แม้กล้ามเนื้อขาของเขาจะเล็กลีบไปบ้าง แต่มิได้เป็นกล้ามเนื้อตายไปทั้งหมด ขาของเขายังคงมีกระแสโลหิตไหลเวียนสม่ำเสมอ ดูเหมือนจะเป็นเพราะกระดูกบางส่วนได้รับความเสียหายจึงส่งผลให้เขาไม่อาจลุกขึ้นมายืนได้

หลินชิงเวยใช้กำลังได้อย่างเหมาะสมและจับตำแหน่งชีพจรได้แม่นยำ บีบนวดเสียจนเซียวจิ่นส่งเสียงร้องครางออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาไม่อาจอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิได้อีกต่อไป

เซียวจิ่นกล่าวด้วยความรู้สึกถอดใจเล็กน้อย “ชิงเวย เจ้าไม่ต้องนวดแล้ว ก่อนหน้านี้หมอหลวงนวดให้เจิ้งบ่อยๆ แต่ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ เจิ้นยังคงยืนขึ้นมาไม่ได้อยู่นั่นเอง”

“ฝ่าบาทจะทรงทราบได้อย่างไรว่าตลอดชีวิตนี้ฝ่าบาทจะลุกขึ้นมายืนไม่ได้เพคะ? อย่างน้อยฝ่าบาทยังมีความรู้สึกถูกต้องหรือไม่เพคะ?” หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าและหว่างคิ้ว นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเฉกเช่นนางปฏิบัติต่อซินหรู “รู้สึกเสียวอย่างมากใช่หรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่นรู้สึกกระดากใจยิ่งยวดจึงเลือกที่จะเงียบ “…”

หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “หากรู้สึกเสียวฝ่าบาทก็ร้องออกมา อย่างไรที่นี่มีเพียงหม่อมฉันที่ได้ยิน คนข้างนอกล้วนไม่ได้ยินทั้งสิ้น ไม่ต้องกลัวพี่สาวไม่เปิดโปงท่านหรอก”

[1] หวง โดยปกติแปลว่าสีเหลือง มีอีกความหมายหนึ่งก็คือแปลว่าอะไรที่ทะลึงๆ โจ๋งครึ่ม ลามก ดังนั้น 小黄书 จึงแปลว่านิยายสีเหลือง หรือ นิยายโป๊