บทที่ 63 คู่ยวนยางกลางน้ำค้าง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

เซียวจิ่นหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย ราวกับเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตัวเอง ก่อนหน้านี้เมื่อหมอหลวงบีบนวดให้เขายังไม่บังเกิดความรู้สึกชัดเจนเช่นนี้ กล้ามเนื้อเพียงแต่รู้สึกเมื่อยล้าราวกับได้เดินทางมาด้วยระยะทางไกลแสนไกล ทว่าเมื่อหลินชิงเวยนวดให้เขา ความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่เขาได้รับทำให้เขาแทบจะส่งเสียงครางออกมาด้วยทนไม่ไหว

เซียวจิ่นกล่าว “เจ้าเป็นเจาอี๋ของเจิ้น มิใช่พี่สาวของเจิ้น”

“โปรดประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเคยชินเสียแล้ว ฝ่าบาทอย่าได้ถือสา แต่เรื่องที่หม่อมฉันอายุมากกว่าฝ่าบาทสามปีเป็นความจริงเช่นกัน”

“แต่เจ้ายังคงเป็นเจาอี๋ของเจิ้น”

หลินชิงเวยยังไม่โง่เขลาขนาดมาทุ่มเถียงเพื่อเอาชนะกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นจึงกล่าวว่า “ถูกต้องเพคะ ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ”

เซียวจิ่นพักหายใจหายคอแล้วจึงกล่าวอีกว่า “ในยามปกติเสด็จอางานยุ่งมาก ทั้งงานหลวงงานราษฎร์ เขายังต้องแบ่งเวลามาดูแลเจิ้น เจิ้นรู้ว่าเขาทุ่มเทจิตใจมาโดยตลอด หากมีเรื่องใดที่เขาทำให้ให้เจ้าโกรธเคืองเจ้าก็อย่าได้กล่าวโทษเขาเลย” หลินชิงเวยเพิ่งจะคิดว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่เพียงมีจิตใจอ่อนไหว อีกทั้งยังเป็นคนจิตใจเมตตา ละเอียดอ่อนถี่ถ้วน เซียวจิ่นยังกล่าวอีกว่า “เพราะต่อให้เจ้ากล่าวโทษเขาแล้วเขาก็ไม่มีทางปรับปรุง ความโกรธเคืองนั้นคงได้แต่เก็บอัดเอาไว้ในใจ”

ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวจิ่น หลินชิงเวยหัวเราะขึ้นมาอย่างปราศจากเหตุผลเมื่อได้ยินคำพูดของเซียวจิ่น นางกล่าวว่า “ดูท่าแล้วฝ่าบาททรงเข้าใจเซ่อเจิ้งอ๋องมากนะเพคะ”

คิดไม่ถึงว่าเซียวเยี่ยนออกไปครั้งนี้กระทั่งท้องฟ้าใกล้มืดแล้วก็ยังไม่กลับมา หลินชิงเวยจึงถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เสด็จอายังไม่กลับมา เย็นนี้ฝ่าบาทจะทรงรอเสด็จอากลับมาเสวยพระกระยาหารค่ำพร้อมกันหรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่นส่ายหน้า “ไม่รอแล้ว เมื่อเช้าเสด็จอาเสียเวลาอยู่ที่เจิ้นเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน คาดว่าเวลานี้จะยังคงสะสางงานอยู่กระมัง”

เซียวเยี่ยนและเซียวจิ่นสองอาหลานมีความผูกพันใกล้ชิดแน่นแฟ้น นี่เป็นความจริงที่ทุกคนต่างรู้ดี เพื่อเป็นการสะดวกต่อการดูแลเซียวจิ่นในยามปกติเซียวเยี่ยนจะพำนักอยู่ในวังหลวง ขอเพียงเซียวเยี่ยนมีเวลาเพียงเล็กน้อยก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนเซียวจิ่น ด้วยเซียวจิ่นยังเล็กนัก ความรู้ ความคิดเห็น ทฤษฎีการบริหารราชกิจ ทัศนคติทั้งสามด้านของเซียวจิ่น ล้วนเป็นเซียวเยี่ยนที่อบรมสั่งสอนมากับมือ

หลินชิงเวย “ยุ่งอะไรเพคะ?”

เซียวจิ่นกล่าวเปิดเผยอย่างไม่คิดจะปิดบังว่า “ระยะนี้เสด็จอากำลังไต่สวนคดีอยู่คดีหนึ่ง คดีนี้เกี่ยวพันกับผู้คนในวงกว้าง โทษสถานเบาเป็นคดีขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดประชาชน โทษสถานหนักคือพวกเขาซ่องสุมกำลังพลมีแผนการก่อการกบฏ”

เซียวเยี่ยนไม่อยู่ ดังนั้นหลินชิงเวยจึงได้แต่อยู่ร่วมทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนเซียวจิ่น นางแตกต่างจากเซียวเยี่ยน นางจำเพาะเจาะจงเลือกกับข้าวที่เซียวจิ่นไม่ชอบกินให้เขากิน เนื้อปลาที่เลาะก้างปลาออกแล้ว เนื้อไก่ที่เอาหนังออกแล้ว จากนั้นวางลงในถ้วยของเซียวจิ่น

เมื่อเห็นเซียวจิ่นอิดออด หลินชิงเวยจึงกล่าวว่า “เด็กน้อยที่เลือกกินไม่ใช่เด็กดีเพคะ”

ใบหน้าของเซียวจิ่นมีรอยยิ้มเฉกเช่นสายลมอันอบอุ่นในฤดูวสันต์ เขาขยับตะเกียบและกล่าวว่า “เจิ้นไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว”

หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว หลินชิงเวยอุ้มเซียวจิ่นไปเอนกายนอนลงบนเตียง “หากฝ่าบาทยังไม่รู้สึกง่วง นั่งเอนหลังอ่านหนังสือไปก่อน หากเหนื่อยแล้วก็นอนลงนะเพคะ”

เซียวจิ่นยื้อยุดมือของหลินชิงเวยเอาไว้ มือของเขาให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย เหมือนผ้าไหมเนื้อเย็นอย่างดี เขากล่าวยิ้มๆ กับนางว่า “ชิงเวย เจ้าจะกลับไปแล้วหรือ? เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเจิ้นอีกสักหน่อยได้หรือไม่?”

หลินชิงเวย “ไม่ได้เพคะ หม่อมฉันต้องกลับไปนอนพักผ่อนแล้วเช่นกัน”

เซียวจิ่นปล่อยมือของนาง “เช่นนั้นก็ได้ เจ้ากลับไปเถิด”

หลินชิงเวยหันกายเดินออกไปได้สองก้าว รู้สึกเหมือนมีสายตาหักใจไม่ได้จับจ้องมองตนอยู่ นางก้าวเท้าไม่ออก เอาเถอะ รอยยิ้มของเด็กคนนี้ช่างทำให้คนยากที่จะปฏิเสธลงคอ ดูเหมือนหากนางไปจริงๆ ก็เป็นเช่นคนบาป

ดังนั้นหลินชิงเวยจึงหันกายกลับมาอีกครั้ง นางนั่งลงริมเตียงของเซียวจิ่น รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นพลันสว่างไสวเจิดจ้ายิ่งขึ้น นางนั่งเฝ้ากระทั่งเซียวจิ่นนอนหลับสนิท จึงลุกขึ้นออกไป

ขณะเดียวกันนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว

หลินชิงเวยออกมาจากตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นและน้ำค้างกลางดึกทำให้นางต้องต่อสู้กับสงครามแห่งความหนาวเหน็บ เวลานี้นางเป็นทั้งหมอและเป็นทั้งพี่เลี้ยงเด็กในเวลาอันรวดเร็ว

หลินชิงเวยออกจากตำหนักซวี่หยาง มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักฉางเหยี่ยน นางเดินเพียงลำพัง แสงไฟจากโคมไฟใต้เงาร่มไม้นั้นไม่สว่างนัก แต่ยังเพียงพอที่จะทำให้นางเห็นทางเดินได้ชัดเจน

ความหนาวเย็นในยามรัตติกาล เหมือนหมอกหนาๆ ที่เป็นคล้ายผ้าไหมสีดำห่อหุ้มร่างกายของหลินชิงเวยเอาไว้

หากเป็นเวลากลางวันระยะทางจากตำหนักซวี่หยางถึงตำหนักฉางเหยี่ยน หลินชิงเวยเองได้ใช้เส้นทางนี้หลายครั้งอย่างน้อยนางสามารถกลับไปถึงที่พักได้อย่างราบรื่น ทว่าเวลานี้ท่ามกลางแสงสลัวในความมืด หลินชิงเวยเป็นคนไม่เอาไหนในเรื่องทิศทาง นางเดินไปเรื่อยๆ อ้อมไปอ้อมมาไม่รู้ว่าตนเองเดินมาถึงที่ไหน เมื่อนางเงยหน้าขึ้น รอบด้านล้วนเป็นทางเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยป่าไม้อันร่มรื่น เบื้องหน้าคือทางแยกแยกหนึ่งนางรู้สึกว่าทุกทิศทางล้วนไม่แตกต่างกัน

ดังนั้นหลินชิงเวยจึงอาศัยสัมผัสที่หกของตน เลือกทางแยกหนึ่งในนั้น เดินไปข้างหน้า นางเดินไปเรื่อยๆ กลับไม่พบสระน้ำที่ตนเคยเดินผ่านเสมอ ทว่าต้นไม้ข้างทางกลับดูหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม และเส้นทางที่ตนเดินอยู่นั้นมองไปไม่เห็นปลายทาง

นางจึงหยุดยืนใต้ต้นไทรต้นหนึ่ง ต้นไทรต้นนี้อายุมากเสียจนลำต้นของมันโน้มลงถึงพื้นดิน ดูไปแล้วบังเกิดความน่าสะพรึงกลัวอยู่หลายส่วน

โคมไฟบนทางเส้นนี้บางดวงยังคงสว่างไสว บางดวงนั้นดับไปเพราะสายลมยามดึกที่พัดผ่านมา นางกำนัลในวังไม่ได้มีมากนักจึงไม่อาจดูแลให้โคมไฟทุกดวงสว่างไสวได้ตลอดทั้งคืน

หลินชิงเวยยกมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วทอดถอนใจ คนจำทางไม่เก่งไม่อาจเดินไปไหนยามค่ำคืนได้จริงๆ

ขณะที่นางกำลังจะตัดสินใจเดินย้อนกลับไปเลือกทางแยกอีกทางหนึ่ง พลันได้ยินเสียงลอยมาจากสนามหน้าท่ามกลางกลุ่มต้นไทรที่หนาแน่น ดูเหมือนจะมีเสียงคน

หลินชิงเวยหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปดู รากของต้นไทรที่โน้มลงมานั้นเหมือนม่านหน้าต่าง บดบังให้ทัศนียภาพเบื้องหลังถูกอำพราง

นางค่อยๆ เดินย่องเข้าไป เดินเข้าไปหาต้นไทรต้นนั้น จากนั้นยื่นศีรษะออกไปดู

ดียิ่งนัก ท่ามกลางแสงจากโคมไฟเก่าคร่ำคร่า เพียงครู่เดียวหลินชิงเวยก็มองเห็นขายาวๆ ขาวๆ ทั้งสี่ข้าง บนพื้นหญ้านั้นถึงกับเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง

ไม่ กล่าวให้ถูกต้องก็คือ เป็นคู่ยวนยางท่ามกลางน้ำค้าง[1]คู่หนึ่ง

หญิงสาวถูกชายหนุ่มกดข่มอยู่บนพื้น แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ถอดไม่ทันจึงปลดเพียงกางเกงก่อน อาภรณ์ด้านบนเปิดออกเห็นลาดไหล่งดงาม เส้นผมไม่เป็นระเบียบ เครื่องประดับบนศีรษะร่วงหล่น

นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยั่วยวนว่า “คนเลว ดูท่านใจร้อน”

ชายหนุ่มจึงได้แต่หัวเราะเสียงต่ำสองครั้ง กล่าวว่า “คนดี เจ้าใจไม่ร้อน?” จากนั้นโอบเอวอ่อนราวกับงูน้ำนั้นขึ้นมา

หลังจากที่คนทั้งสองเสร็จกิจ จึงสวมเสื้อผ้าอาภรณ์กลับไปแล้วจัดผมเผ้าให้เข้าที่ แล้วพากันออกไปจากที่นี่ ทว่าพวกเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าหลินชิงเวยอยู่ด้านหลังต้นไทร

หลินชิงเวยออกมาด้านหลังจากต้นไทร แล้วเดินไปตามทางต่อไป นางไม่ได้ย้อนกลับไป แต่เดินหน้าต่อไปจนสุดปลายทาง

และทางเส้นนี้ถือว่าสุดทาง สุดปลายทางเดินมีแสงไฟสว่างไสว หลินชิงเวยพรูลมหายใจโล่งอก ต่อให้ไม่ใช่ตำหนักฉางเหยี่ยน เข้าไปถามทางก็คงได้กระมัง

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ที่นี่เรียกว่า ทิงจู๋เซวียน

ผู้ที่พักอาศัยอยู่ด้านในควรจะเป็นเจ้านายท่านใดสักคน เมื่อรายงานเข้าไป ข้างในมีกุ้ยเหรินสกุลจู๋นางหนึ่งอยู่จริงๆ

สกุลจู๋ถือเป็นสกุลที่มีน้อยมากในชาวฮั่น มีเพียงชนกลุ่มน้อยจึงจะมีสกุลเช่นนี้

[1] หมายถึงคู่รักที่ยังไม่ได้ตกแต่งเป็นทางการ เปรียบได้กับน้ำค้างที่มีเวลาการอยู่คงที่สั้นๆ