จู๋กุ้ยเหรินนางนั้นได้ยินว่ามีแขกมาเยือนจึงลุกขึ้นออกมาต้อนรับกลางดึก นางกำนัลเดินนำทางให้หลินชิงเวย เดิมทีหลินชิงเวยคิดเพียงจะมาถามทาง ทว่าคนในเรือนกลับออกมาต้อนรับ หากนางไม่เข้าไปทักทายดูเหมือนจะเป็นการเสียมารยาทอยู่บ้าง

ทิงจู๋เซวียน เป็นสถานที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง ตลอดทางที่เดินผ่านมาพบเห็นมากที่สุดก็คือต้นไผ่

ภายในเรือนปรากฏให้เห็นโคมไฟสีนวลตา นางกำนัลหยุดอยู่ด้านนอก

หลินชิงเวยยกเท้าก้าวเข้าไปข้างใน เมื่อเงยหน้าขึ้น หญิงงามภายในเรือนนั่งอยู่บนตั่งตัวยาว เบื้องหน้ามีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งวางอยู่ มือคู่นั้นกำลังเลือกไส้ตะเกียงจากนั้นเติมน้ำชา

นางสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งสีแดงสดทั้งตัว ผมยาวนั้นราวกับม่านน้ำตก ปลายนิ้วเรียวยาว งดงามเฉิดฉายประหนึ่งภาพวาด

หลินชิงเวยรู้สึกเหมือนนางเป็นเปลวไฟกลุ่มหนึ่ง อากาศภายในห้องล้วนถูกนางทำให้อบอุ่นขึ้น พลันคิดในใจว่าตั้งแต่โบราณมาหญิงสาวที่ถูกคัดเลือกเข้าวังมา แต่ละนางล้วนเป็นหญิงงามที่มีความงามเป็นเลิศทั้งสิ้น

หลินชิงเวยรู้สึกเสียดายลึกๆ เพียงแค่เสียดาย เซียวจิ่น เด็กคนนั้นยังเล็ก

จู๋กุ้ยเหรินท่านนี้เงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวย นางคลี่ยิ้มเต็มที่ กล่าวด้วยมารยาทว่า “จู๋อวิ๋นถวายคำนับเจาอี๋เหนียงเหนียง”

ในความทรงจำของหลินชิงเวยไม่คุ้นเคยกับนาง การพบกันครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ดูจากท่าทางของนางกลับดูเหมือนรู้จักตน ทว่ารูปร่างหน้าตาของนางดูเหมือนจะแตกต่างจากผู้อื่น รูปหน้าของนางคมขำชัดเจน เบ้าตานั้นค่อนข้างลึกรับกับดวงตากลมโต ยิ่งทำให้ดูลึกลับ นางกลับมีลักษณะและกลิ่นอายของชนกลุ่มน้อย หลินชิงเวยกล่าว “เจ้าไม่ต้องเกรงใจ มารบกวนกลางดึก ยังต้องให้กุ้ยเหรินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เสียมารยาทเกินไปแล้ว”

“หากเจาอี๋เหนียงเหนียงไม่รังเกียจ ที่นี่ได้ตระเตรียมน้ำชาไว้แล้ว เชิญเหนียงเหนียงลองชิมดูเถิด”

หลินชิงเวยจึงเดินเข้าไป กลิ่นหอมหวานเอียนของแป้งหอมที่กำจายออกมาจากร่างของจู๋กุ้ยเหริน น่าจะเป็นกลิ่นที่ชายหนุ่มชื่นชอบ แต่จมูกของหลินชิงเวยนั้นไวราวกับจมูกสุนัข นอกจากกลิ่นเครื่องหอมแล้วนางยังได้กลิ่นอย่างอื่นปะปนมาด้วย

หลินชิงเวยนั่งลงตรงข้ามจู๋กุ้ยเหริน สายตากวาดผ่านร่างของจู๋กุ้ยเหรินเรียบๆ อาภรณ์ผ้าไหมสีแดงบนร่างของนางช่วยบดบังผิวพรรณของนางได้อย่างพอเจาะพอเหมาะ ตนเองจึงได้แต่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องใดๆ เม้มปากดื่มน้ำชาไปหนึ่งคำ “ไม่ปิดบังความจริง คืนนี้ข้าเดินหลงทาง เดินไปๆ ไม่รู้ว่าเดินไปถึงที่ใดแล้ว เดิมทีคิดจะกลับไปตำหนักฉางเหยี่ยน ทว่ากลับมารบกวนจู๋กุ้ยเหรินโดยมิรู้เนื้อรู้ตัว อีกประเดี๋ยวยังต้องรบกวนจู่กุ้ยเหรินให้นางกำนัลของที่นี่ไปชี้ทางให้ข้าสักหน่อย”

จู๋กุ้ยเหรินกล่าวยิ้มๆ “เหนียงเหนียงเกรงใจเกินไปแล้ว ทิงจู๋เซวียนของหม่อมฉันเงียบสงบตลอดมา วันนี้มีเหนียงเหนียงให้เกียรติมาเยือน อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะให้คนส่งเหนียงเหนียงกลับไป”

หลินชิงเวยวางถ้วยน้ำชาลง “ไม่ต้องแล้ว ขอเพียงช่วยชี้ทางให้ข้าถึงริมสระไท่เยี่ยก็พอ เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของกุ้ยเหริน”

หลินชิงเวยออกมา เสียงของจู๋กุ้ยเหรินลอยออกมาจากภายในเรือน น้ำเสียงนั้นแหบเล็กน้อย ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดคนยิ่งนัก นางกำชับให้นางกำนัลมาชี้ทางให้หลินชิงเวย

ต่อมาหลินชิงเวยออกจากทิงจู๋เซวียน นางกำนัลชี้ทางให้นางแจ่มแจ้งดีแล้ว นางจึงเดินกลับไปตามทางเล็กที่นางเดินมา เพียงแต่เมื่อเดินออกมาไกลพอแล้วนางหันกลับไปมองไม่เห็นตำหนักทิงจู๋เซวียน หลินชิงเวยจึงพิงต้นไม้ข้างทาง ก้มหน้าลงถ่มน้ำชาคำนั้นที่นางอมไว้ในปากตลอดเวลาออกมา

หลังจากผ่านประสบกาณ์การรถูกลอบทำร้ายมาหลายครั้งหลายครา หลินชิงเวยจึงจำเป็นต้องมีการป้องกันตนเองที่มากพอ

หลังจากนางถ่มน้ำชาแล้ว พลันมีเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มคนหนึ่งลอยเข้าหูของนาง “อืม คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีการป้องกันแน่นหนาเช่นนี้”

“ใครกัน?” หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียง

ภายใต้เงามืดมีเงาร่างร่างหนึ่งเดินออมา เป็นบุรุษคนหนึ่งจริงๆ ออกมาทำหลบๆ ซ่อนๆ ในเวลากลางดึกเห็นได้ว่ามิใช่พฤติกรรมของคนดี

ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เขาเดินเข้ามาหาหลินชิงเวยทีละก้าว แม้จะมีหน้าตาหล่อเหลา รอยยิ้มดูแล้วเจ้าชู้เสเพล ทว่ากลับให้ความรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งร่างกับผู้คน

รูปร่างเล็กบอบบางเช่นหลินชิงเวย….ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ จะมองใครล้วนต้องเงยหน้าทั้งสิ้น นอกจากมองซินหรูและเซียวจิ่น!

ชายหนุ่มผู้นี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เขายืนอยู่เบื้องหน้าหลินชิงเวย รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยิ่งกดลึกขึ้น “เมื่อก่อนไฉนข้าจึงไม่เคยรู้สึก หากว่าด้วยเรื่องรูปร่างหน้าแล้วเจ้าก็ไม่ได้โดดเด่นกว่าสตรีนางอื่นแม้แต่น้อย? ใบหน้าเล็กๆ นี้มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ ผมที่หน้าผากก็แทบจะปิดดวงตาของเจ้าอยู่แล้ว”

ชิ เจ้าจะรู้อะไร ทรงผมของแม่เขาเรียกหน้าม้าย่ะ

พูดแล้วบุรุษคนนี้ก็ยื่นมือออกมาหมายจะปัดเส้นผมของหลินชิงเวย หลินชิงเวยถอยหลังกรูดโดยอัตโนมัติ จมูกนางย่อมได้กลิ่นแล้วว่าบนร่างของชายหนุ่มคนนี้มีกลิ่นหอมหวานเลี่ยนเอียนที่คล้ายมีคล้ายไม่มี เป็นกลิ่นชนิดเดียวกับในเรือนของจู๋กุ้ยเหริน

แม่เป็นคนที่เจ้าอยากจะเกี้ยวพาก็เกี้ยวพาได้หรือไร เจ้าเป็นต้นหอมต้นไหน

เพียงแต่ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนเมื่อก่อนเขารู้จักตน

ได้ คนเหล่านี้ล้วนรู้จักตน มีเพียงตนที่ไม่รู้จักพวกเขาเท่านั้นเอง

บุรุษคนนั้นหัวเราะ “ดวงตาทั้งคู่ใต้เส้นผมบนหน้าของเจ้าทั้งใหญ่ทั้งวาววับ เมื่อสักครู่เห็นอะไรแล้วเล่า?”

หลินชิงเวยเอียงหน้ามองประเมินเขา “หากข้าบอกว่าข้าเห็นอะไร ท่านจะสังหารข้าปิดปากหรือไม่?”

“ไม่ ที่จริงข้ายังสามารถควักดวงตาของเจ้าได้”

หลินชิงเวยไร้ซึ่งความเกรงกลัว นางแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ร่างกาย เส้นผม ผิวพรรณ ล้วนเป็นความรักจากบิดามารดา ดวงตาของข้าคู่นี้เกรงว่าท่านจะยังเอาไปไม่ได้ ภายในตำหนักในแห่งนี้มีสตรีมากมาย เรื่องราวที่ไม่อาจพบหน้าผู้คนได้มีมากมายยิ่งนัก ท่านคิดว่าข้าเห็นอะไรแล้วก็จะเอาไปพูดหรือไร ท่านนับเป็นใครกัน?”

บุรุษผู้นั้นหรี่ตาลง สายตาที่มองนางนั้นดูน่าสนใจขึ้น

หลินชิงเวยเดินอ้อมตัวเขา มุ่งหน้าเดินต่อไป เขากลับแนบร่างเข้ามา ไม่ใส่ใจว่าจะโอบร่างของหลินชิงเวยเข้าไปในอ้อมอกของตนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าข้างจอนผมหลินชิงเวย “ชิงเวย เจ้าจำข้าไม่ได้แล้ว หืม?”

หลินชิงเวยเต็มไปด้วยความสะอิดสะเอียน นางเกร็งร่างสุดฤทธิ์ “ข้ารบกวนให้ท่านไสหัวออกห่างไปสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าไม่สนใจว่าท่านเป็นใคร!”

บุรุษหัวเราะเสียงเกียจคร้าน “เจ้าออกมาจากตำหนักเย็นได้อย่างไร? ข้าได้ยินว่าข้างกายฝ่าบาทมีท่านหมอเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”

ในเมื่อเขาถามเช่นนี้แล้ว พิสูจน์ว่าเขาได้สอบถามเรื่องราวมาแล้ว นางถวายการรักษาข้างกายฮ่องเต้ นี่ไม่ใช่ความลับอะไรแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนภายในตำหนักในต่างรู้ดี

หลินชิงเวยหมดความอดทนต่อพฤติกรรมล่วงเกินตนของเขา จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เป็นมารดาของท่าน! มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องมารดาท่านด้วยเล่า!”

บุรุษตกตะลึง ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาคาดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยจะกล่าววาจาหยาบคายเช่นนี้ออกมาได้ ต่อมาหลินชิงเวยฉวยโอกาสที่เขากำลังงงงัน ยกมือขึ้นจับแขนของเขา ขาข้างหลังกวาดตวัดขาของเขาทั้งคู่ ล้มร่างเขาข้ามไหล่ลงได้อย่างสวยงาม

บุรุษคนนี้เมื่อหงายลงบนพื้นก็ยังให้ความรู้สึกเจ้าชู้ประตูดินแก่ผู้คนอยู่ดี แต่ทั้งหมดนี้ของเขาอยู่ในท่าทางเหลือเชื่อ

หลินชิงเวยเป็นสตรีบอบบางนางหนึ่ง กลับจับเขาทุ่มลงบนพื้นได้

ที่สำคัญก็คือ นางถึงกับกล้าลงมือ

หลินชิงเวยเองคิดว่า นางแสดงฝีมือได้ดีผิดธรรมดาครั้งหนึ่ง หลินชิงเวยตบมือแปะๆ ก้มหน้าลงมองเขาและกล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิดคิดว่าตนเองนั้นเก่งกาจ ข้าความจำไม่ค่อยดี และนึกไม่ออกว่าท่านเป็นใครกันแน่ แต่ท่านทำให้ข้าลืมท่านได้หมดจดเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าท่านไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เจ้าลักลอบกับใครแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า ต่อให้ท่านไปลักลอบกับไทเฮาก็ไม่เกี่ยวกับข้า แต่ข้าสามารถกดไลค์ให้ท่านได้”

พูดแล้ว หลินชิงเวยก็เดินผ่านร่างของบุรุษไป