เมื่อได้ทราบว่าในที่สุดหลินหลันก็สามารถเข้าไปยังบ้านตระกูลหลี่ได้แล้ว เฉียวอวิ๋นซีตลอดจนท่านแม่ของนางต่างก็ยินดีปรีดากับหลินหลัน และในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายที่หลินหลันจะต้องแยกห่างจากไป หลินหลันจึงกล่าวปลอบใจเฉียวอวิ๋นซี ด้วยคำพูดที่ว่าถึงอย่างไรก็อยู่ในเมืองปักกิ่งด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นนางเองจึงสามารถมาเยี่ยมเยียนพวกเขาไปเสมอเท่าที่ใจต้องการ และหากเกิดเรื่องเร่งด่วนอันใด เพียงส่งคนไปบอกกล่าว ไม่เกินครึ่งชั่วยามก็สามารถมาถึงแล้ว
รุ่งเช้าหลังจากผ่านไปสามวัน การรอคอยของหลี่หมิงอวินในที่สุดก็สิ้นสุดลง
ด้วยเฉียวอวิ๋นซีไม่สามารถออกไปส่งด้วยตนเองจึงรบกวนให้ผู้เป็นมารดาออกไปส่งหลินหลันสักประเดี๋ยว อีกทั้งยังตระเตรียมของขวัญชิ้นโตไว้ให้เสียมากมายจนทำให้หลินหลันรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง
เฉียวฮูหยินเอ่ยพูดกับหลินหลันต่อหน้าหลี่หมิงอวิน “หากคนที่นั่นกล้ารังแกเจ้าล่ะก็ เพียงแค่ให้คนส่งข่าวมาเท่านั้นเป็นพอ”
หลินหลันรู้ดีว่าเฉียวฮูหยินจงใจพูดให้หลี่หมิงอวินได้สดับรับฟัง ซึ่งนางก็รู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงแสร้งกล่าวออกไปอย่างไร้ความกังวล “ขอบพระคุณเฉียวฮูหยินเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ เฉียวฮูหยินวางใจเถิด ข้ามิใช่ผู้ที่ง่ายต่อการถูกรังแกขนาดนั้น หากผู้ใดกล้ารังแกข้า ข้าก็จะสั่งสอนนางให้รู้ซึ้งไปเลยเจ้าค่ะ” หลินหลันเหลือสายตาไปมองที่หลี่หมิงอวินเป็นพิเศษ จึงเห็นได้ชัดเลยว่าคำพูดเหล่านี้ต้องการพุ่งไปที่เขา
หลี่หมิงอวินได้แต่ฉีกยิ้มเจื่อนๆ “เฉียวฮูหยินก็ได้ยินแล้วว่านางดุร้ายเพียงใด แล้วใครหน้าไหนจะกล้ารังแกนางได้ล่ะขอรับ!”
เมื่อครั้งพบหลี่หมิงอวินบนเรือในก่อนหน้านี้ เฉียวฮูหยินก็มองออกได้ทันทีว่าหลี่หมิงอวินเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ผู้หนึ่ง ซึ่งการที่นางเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็เพียงเพื่อย้ำเตือนหลี่หมิงอวินให้ปกป้องหลินหลัน อย่าได้ปล่อยให้นางถูกผู้อื่นรังแก เพลานี้พอได้เห็นพวกเขาทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เฉียวฮูหยินจึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้ “ยังไงก็แวะเวียนมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆ นะ”
หลินหลันพยักหน้าตอบรับ และกล่าวอำลาเฉียวฮูหยินก่อนจะขึ้นรถม้าโดยมีหมิงอวินคอยให้การประครองไว้
แม่โจวและคนอื่นๆ ต่างทยอยขึ้นรถม้าคันด้านหลังไปพร้อมกับความดีอกดีใจ ขณะที่เหวินซานและตงจึกำลังพูดคุยส่งเสียงหัวเราะคิกคักกันอยู่ด้านหลังของรถม้า
ด้วยความใส่ใจรายละเอียดของหลินหลันจึงพบว่าวันนี้ผู้คุมรถม้ามิใช่เหล่าโม จึงเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “พ่อของเจ้ากับแม่……” เดิมทีหลินหลันอยากจะเอ่ยคำว่าแม่มดชราออกมา แล้วเกิดนึกเตือนสติตนเองขึ้นมาได้เลยยับยั้งวาจาเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะแก้คำพูดแล้วกล่าวต่อ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่บ้านของเจ้ามีด่านอุปสรรคอันใดรอคอยข้าอยู่”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดให้เสียงดังฟังชัดก็ได้ รถม้าสองคันนี้เป็นท่านลุงที่ส่งมาให้ ดังนั้นคนคุมรถล้วนเป็นคนของตระกูลเยี่ยซึ่งเชื่อถือได้”
หลินหลันถอนให้ใจออกมาอย่างโล่งอก เช่นนั้นก็ไม่ตรงคอยพูดเสียงเบาอีกแล้ว “เจ้ารีบบอกข้ามาสิ! ข้าจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีๆ ”
ใบหน้าของหลี่หมิงอวินแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะเดียวกันดวงตาคู่คมของเขาก็จ้องมองไปที่นางด้วยนัยน์ตาอันแสนอบอุ่น “ครั้งแรกเมื่อเจ้าพ้นประตูเข้าไป แน่นอนว่าจะต้องเข้าพบผู้อาวุโสภายในบ้านเป็นอันดับแรก ในส่วนที่ว่าพวกเขาเตรียมแผนการอะไรไว้บ้างนั้นข้าเองก็มิอาจรู้ได้ แต่ถึงอย่างไร เจ้ามิจำเป็นต้องเกรงกลัวไปหรอก ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็เป็นเพียงแค่สถานการณ์หนึ่งที่เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป แต่หากพวกเขาทำกับเจ้าเกินไป เจ้าก็ยังมีข้าอยู่!”
หลินหลันสบถฮึออกมาเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น “ใครบอกว่าข้ากลัว ข้าเคยกลัวซะที่ไหนล่ะ เพียงแค่ไม่ชอบการไม่ได้ตระเตรียมรับมือก็เท่านั้น”
“คำพูดนี้ของเจ้าถือว่าพูดได้ไม่เลวเลยหนิ เช่นนั้นข้าคงจำเป็นต้องเตือนเจ้าไว้ก่อนว่าแม่มดชราผู้นั้นเป็นคนประเภทหน้าเนื้อใจเสือ มีจิตใจทั้งโหดเหี้ยมและละโมบโลภมาก เจ้าจึงต้องเตรียมรับมือนางเป็นพิเศษ รวมถึงบรรดาคนข้างกายนาง อย่าได้หลงเชื่อภาพลักษณ์ที่แสนดีของคนเหล่านั้น ในส่วนของหมิงเจ๋อและหมิงจู ต่อให้พวกเขาไม่ชอบพอเจ้า มากสุดก็ทำได้แค่พูดเหน็บแนมและใช้เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ตามข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าจะสามารถรับมือได้อยู่ดี” สีหน้าของหลี่หมิงอวินเผยทีท่าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว ผู้ที่รับมือได้ยากมากที่สุดเห็นทีว่าจะเป็นนางแม่มดชราสินะ? ก็จริงอยู่ที่ว่าแม้ท่านพ่อหลี่สาระเลวจะไร้ซึ่งยางอาย แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ชายหัวหน้าครอบครัวจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายในส่วนของงานบ้าน นั่นจึงหมายความว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับแม่มดชรามากที่สุด
หลินหลันเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ “มีบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า การต่อสู้กับฟ้า ต่อสู้กับดิน ต่อสู้กับคน ถือเป็นความสนุกที่หามีที่สิ้นสุดไม่!”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว “บุรุษผู้ยิ่งใหญ่จากแห่งหนใดกันถึงช่างกล่าวไว้เยี่ยงนี้”
แน่นอนว่าหลินหลันเองคงไม่สามารถพูดออกไปได้ว่า ผู้ที่ได้กล่าวไว้นั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด จึงทำได้เพียงกล่าวเฉไฉเป็นอื่นไป “ประโยคนี้เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยหรือ”
หลี่หมิงอวินถึงขั้นครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
หลินหลันมองเขาซึ่งเผยท่าทีจริงจังเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะ” หลังจากนั้นนางก็เผยทีท่าราวกับต้องการจะสื่อความหมายว่า ให้รู้เสียบ้างว่าข้าเป็นใคร
ชั่วขณะนี้เองหลี่หมิงอวินเกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขานึกย้อนไปถึงคราแรกที่ท่านยายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวหลินหลันเอาไว้ว่า…หนังหน้าหนามากพอตัว เขาก็อดหัวเราะเสียงดังขึ้นมามิได้
ม้าวิ่งไปอย่างช้าและเร็วสลับกันไป ขณะเดียวกันตลอดการเดินทางก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
ในที่สุดก็เดินทางเข้ามาถึงจวนหลี่เสียที สภาพอารมณ์ของหลินหลันไม่ถึงกับประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก ทว่ากลับเป็นความสับสนเสียมากกว่า นางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าในครอบครัวนี้นอกเสียจากหลี่หมิงอวินแล้ว ยังหลงเหลือผู้ใดอีกหรือไม่ที่ไม่ใช่คนสาระเลว ครอบครัวนี้ดูเต็มไปด้วยแผนการสมคบคิดมากมาย ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนต้องเป็นผู้มีจิตใจอันแสนมืดมนอย่างแน่แท้!
หลี่หมิงอวินเมื่อเห็นว่านางตกอยู่ในอาการเหม่อลอยจึงคว้ามือของนางมากอบกุมเอาไว้ แล้วส่งรอยยิ้มเล็กๆ ให้แก่นาง ราวกับกำลังพูดว่า……ข้าอยู่ตรงนี้ มิต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
หลินหลันมอบรอยยิ้มกลับไปให้แก่เขาเช่นกัน แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “หลี่หมิงอวิน เรามาทำข้อตกลงกันสักอย่างนะ”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วก่อนจะพยักหน้า “เจ้าว่ามาสิ”
“เมื่อมีการจ่ายค่าตอบแทนหลังจากภารกิจจบสิ้นในอนาคตข้างหน้า เจ้าจะต้องเพิ่มเงินให้ข้าด้วย” หลินหลันกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง
หลี่หมิงอวินตะลึงงุนงงไปชั่วขณะ จนมาถึงสถานการณ์เยี่ยงนี้แล้ว สมองนางยังจะคิดอยู่แต่เรื่องนี้ได้อยู่อีกหรือ นั่นช่างทำให้เขารู้สึกอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตาเสียจริง
“นี่ เจ้ารีบรับปากข้ามาสิ!” หลินหลันเร่งเร้า
หลี่หมิงกล่าวอย่างเอือมระอา “เรื่องนี้เอาไว้คืนนี้พวกเราค่อยว่ากันอีกที เพลานี้เหล่าข้ารับใช้กำลังมองกันอยู่มิเห็นหรือ!”
หลินหลันเหลือบตามองบนใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ไปหนึ่งที หลังจากนั้นก็ดึงอารมณ์กลับมาแล้วเผยรอยยิ้มที่เป็นมิตรพร้อมกับเดินตามหลี่หมิงอวินไปอย่างสงบเสงี่ยมโดยไม่แยแสสายตาแปลกประหลาดของผู้คนในจวนหลี่ซึ่งต่างจับจ้องมาที่นางแต่อย่างใด
หลินหลันเดินตามหลี่หมิงอวินเดินทะลุผ่านเข้าไปยังฉวนฮวาเหมิน [1] ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้น เบื้องหน้าของนางขณะนี้คือห้องหลักที่แสนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยแบ่งออกเป็นห้าห้องและให้ความรู้สึกอลังการยิ่งใหญ่ด้วยคานไม้แกะสลัก หลินหลันเคยได้ยินแม่โจวเอ่ยไว้ว่าสมบัติทั้งหมดของตระกูลหลี่ล้วนถูกซื้อมาโดยเงินของท่านแม่หมิงอวิน ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแม่มดชราที่เข้ามายึดครองไปเสียแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ซึ่งผู้ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ ท่านพ่อหลี่สาระเลวผู้น่ารังเกียจคนนั้น
สาวใช้ที่อยู่บริเวณหน้าประตูเมื่อเห็นทั้งสองคนมาเยือน จึงรีบย่อตัวลงให้การคาราวะ “เอ้อร์เส้าเหยีย……”
และก็ปราศจากซึ่งประโยคใดๆ เอ่ยต่อ หลินหลันจึงถูกมองข้ามไปเยี่ยงนี้
หลี่หมิงอวินรู้สึกไม่พึงพอใจเล็กน้อย เขาชักสีหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ท่านนี้คือเอ้อร์เส้าหน่ายนาย”
เหล่าสาวใช้เผยสีหน้าลำบากใจ ทว่าภายใต้แรงกดดันจากคุณชายรอง พวกนางจึงจำใจย่อตัวลงให้การคาราวะแก่หลินหลันแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย”
หลินหลันพยักหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ด้วยนางรู้ภูมิหลังของตนดีว่าไม่ได้เลิศเลอแต่อย่างใดจึงไม่จำเป็นต้องวางมาดอะไรให้มากพิธี แต่ก็ไม่อาจเพียงเพราะพวกเจ้าเรียกเอ้อร์เส้าหน่ายนายเพียงคำเดียว แล้วนางก็จะมีความสุขเสียมากมาย เพลานี้เพียงแค่นางต้องวางตัวให้เหมาะสมเข้าไว้ก็เป็นอันพอ
ชุนซิ่งเดินออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เชิญด้านในเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินเอื้อมมือไปจับมือของหลินหลันเอาไว้ ทว่ามิใช่เพื่อต้องการแสดงออกความรักใคร่ชวนให้ผู้ใดหมั่นไส้อิจฉา แต่เป็นการแสดงออกถึงทัศนคติของเขา การปกป้องที่เขาพร้อมจะทำเพื่อหลินหลัน ทำให้ผู้ใดก็ตามที่มีเจตนามิดีต้องคิดทบทวนให้ดีเสียก่อนว่ามันคุ้มค่าแล้วหรือ
หลินหลันเองก็ไม่ได้ผละมือออก เวลานี้ไม่จำเป็นต้องมัวหวงเนื้อหวงตัวอะไร นางปล่อยให้เขาจับมื้อไว้เช่นนี้แล้วจะเป็นไรไป? นางคือหญิงที่หลี่หมิงอวิน ‘รักมากที่สุด’ แล้วจะเป็นไรไป? มองแล้วรู้สึกไม่สบายหูสบายตาเช่นนั้นก็อย่ามอง และจะเป็นการดีที่สุดด้วยซ้ำไปหากคนเหล่านั้นโกรธจนอกแตกตายไปข้าง
หลี่จิ้งเสียนและฮานชิวเยว่มองเห็นสองคนนั้นเดินจับมากันเข้ามา ขณะนั้นเองก็รู้สึกถึงความขุ่นหมองภายในจิตใจ การกระทำของหมิงอวินออกจะชัดเจนเกินหน้าเกินตาไปเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นความจงใจของเขา
นับแต่หลินหลันเดินผ่านพ้นประตูเข้ามา ดวงตาของทั้งหมิงเจ๋อและหมิงจูต่างก็จับจ้องไปที่หลินหลันพลางกรอกสายตาไปมาอย่างเหยียดหยัน และเมื่อเห็นหลินหลันเผยสีหน้าสดใสราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจ สาวชาวบ้านผู้นี้รูปร่างหน้าตาไม่ได้โดดเด่นแต่อย่างใด เหตุไฉนสามารถทำให้หมิงอวินหลงใหลเข้าไปได้
หมิงเจ๋อหันไปมองหลั้วเหยียนซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา ภายใต้อารมณ์สุขใจยิ่งนัก ใครต่อใครล้วนนำเขาไปเปรียบเทียบกับหมิงอวินและพากันพูดว่าเขาสู้หมิงอวินไม่ได้ ไม่ดีเท่าหมิงอวิน ไม่ว่าจะด้านไหนๆ ก็เทียบชั้นหมิงอวินไม่ได้ ทว่าในขณะนี้ เขารู้สึกว่าอย่างน้อยภรรยาของเขาก็ชนะขาดภรรยาของหมิงอวิน
หลั้วเหยียนหลุบสายตามองต่ำ แม้ว่าในใจของนางต้องการมองดูหมิงอวินให้ชัดๆ เต็มตามากเพียงใดก็ตาม กี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้พบเจอกัน หมิงอวินยังคงเสมือนเมื่อก่อนหรือไม่ แต่นางก็เกรงว่าจะไปสบเข้ากับสายตาซึ่งแสดงถึงการตำหนิติเตียนของหมิงอวิน…… แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจสกัดกลั้นความปรารถนาภายในใจเอาไว้ได้…..สายตาของหลั้วเหยียนค่อยๆ ชายตาขึ้นอย่างช้าๆ และไปตกลงบนสองมือคู่นั้นที่กอบกุมกันไว้แนบแน่น
ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับถูกแส้หนามฟาดลงมาอย่างไร้ความปราณี สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส เมื่อครั้งหนึ่ง เขาก็เคยจับมือนางไว้เช่นนี้และมองหน้ากันด้วยความรู้สึกอันแสนลึกซึ้ง
กำมือแน่นที่กำลังสั่นคลอนแอบซ่อนเอาไว้ภายใต้ชายแขนเสื้อ และนางก็มิอาจควบคุมตนเองไม่ให้เงยหน้ามองได้อีกต่อไป สายตาของนางจนจดจ้องไปที่ใบหน้าอันแสนคุ้นเคยนั่น
หลังจากไม่ได้เห็นหน้าคร่าตามาเนิ่นนานหลายปี เขาทั้งดูหล่อเหลาและมีความเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังดูสงบและสง่างามเป็นยิ่งนัก ขณะนี้นัยน์ตาของเขาส่องประกายแสงอ่อนโยนอย่างชัดเจน เฉกเช่นหลายปีก่อนที่เขาเคยจ้องมองนาง แต่น่าเสียดายที่การจ้องมองนี้มิใช่เพื่อนางอีกต่อไป หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขาเป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดา ฐานะต่ำต้อยและไร้ความสามารถมาก ทว่าใบหน้าของนางกลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ภาพนี้ช่างเป็นภาพที่ทำให้นางรู้สึกบาดตาบาดใจขึ้นมาอีกระรอก ที่แท้ข้อสันนิษฐานทั้งหมดก่อนหน้านี้กลายเป็นเพียงจินตนาการเพ้อฟันของนางเองเท่านั้น และกลับกลายเป็นว่าข่าวลือเหล่านั้นล้วนเป็นความจริง…..
มิอาจยอมรับได้ มิอาจยินยอม และรู้สึกผิดหวัง ทุกอารมณ์แห่งความปวดร้าวประดังงากันเข้ามาราวกับกระแสน้ำที่ถาโถมไม่หยุดหย่อน รู้สึกสับสนจนสูญเสียความเป็นตัวเอง หลั้วเหยียนจึงได้แต่หลับตาลงอย่างเจ็บปวด
หลี่หมิงอวินก้าวไปเบื้องหน้าแล้วยกสองมือขึ้นให้การคาราวะ “ลูกพาหลินหลันมาพบท่านพ่อ……ท่านแม่”
คำว่าท่านแม่นี้ หลี่หมิงอวินเกือบจะใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีจึงได้เค้นมันออกมาจากปากได้ แม้ว่าเขาเองจะเข้าใจชัดเจนว่า หากต้องการแก้แค้นก็มิควรคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องจิบจ่อยพวกนี้ แต่ทว่าพอเอาเข้าจริง เมื่อต้องพูดออกไปก็ยังคงรู้สึกกระด้างกระเดื่องยิ่งนัก
หลี่จิ้งเสียนซึ่งทำเพียงส่งเสียง ‘อ่อ’ ออกมาอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบๆ “หมิงอวินอ่า! เจ้าคงรู้ดีว่าพ่อของเจ้าต้องแบกรับแรงกดดันมากมายเพียงใด เพื่อให้พวกเจ้าสุขสมตามปรารถนา และทำให้เพลานี้ตะกูลหลี่ของเราเป็นที่จับจ้องจากผู้คนมากหน้าหลายตา ดังนั้น การแต่งงานของเจ้าและหลินหลันไม่ควรทำอย่างเอิกเริกใหญ่โตไป วันนี้พวกเจ้าก็ทำพิธียกน้ำชากันที่ ‘หนิงเฮ๋อถาง’ แห่งนี้แล้วถือเป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วกัน จะว่าไม่ยุติธรรมก็คงไม่ยุติธรรมอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรความรักของพ่อที่มีต่อเจ้าก็มิได้ลดลงไปแต่อย่างใด พวกเจ้า……มีความเห็นอันใดหรือไม่”
หลินหลันอยากจะกรนด่าใครสักคน ท่านพ่อหลี่สาระเลวช่างไร้ยางอายเสียจริง ใช้ไม้นี้เพื่อจัดการเรื่องงานแต่งของลูกชายอย่างเร่งรัด แล้วยังมีหน้ามาพูดเรื่องความรักอีก มันช่างไร้สาระสิ้นดี……ท่านพ่อผู้นี้ไร้ยางอายเสียไม่มีใครเกินเลย
สีหน้าของแม่โจวซึ่งคอยอยู่ด้านหลังก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลี่ผู้ต่ำทรามคนนี้จะพูดออกมาเยี่ยงนี้ หากให้ท่านเหล่าฟูเหรินรับรู้เข้าคงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอน
ฮานชิวเยว่ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างโดยมิได้แสดงสีหน้าคัดค้านและปล่อยเลยตามเลยไปเช่นนั้น ขณะที่หมิงเจ๋อเผยท่าทีไม่ได้สนใจใยดีแต่อย่างใด ส่วนทางด้านหมิงจูมิกำลังเผยรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนโดยมิได้ปกปิดอารมณ์ไว้เลยแม้แต่น้อย
หลินหลันจับสังเกตทีละคน พลางรำพึงรำพันขึ้นภายในใจ เห็นได้ชัดว่านางแม่มดชรามีทักษะทางด้านการแสดงที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมเป็นที่สุด
ดูเหมือนหลี่หมิงอวินเองก็ไม่มีความคิดเห็นใดๆ แย้งขึ้นมาและกลับกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ลูกรับรู้ได้ถึงความยากลำบากของท่านพ่อ การที่ท่านพ่อยอมรับหลินหลัน ลูกก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งแล้วขอรับ ความตั้งใจของท่านพ่อลูกเข้าใจเป็นอย่างดี ลูกไม่เก็บเอาสิ่งเหล่านี้มาใส่ใจคิดเล็กคิดน้อยหรอกขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าอย่างใจชื้น
แม่เจียงขยิบตาส่งสัญญาณให้บรรดาสาวใช้ หลังจากนั้นสาวใช้สองคนก็เดินมาพร้อมกับเบาะรองนั่งทันที แล้วจัดการวางมันลงไว้ตรงเบื้องหน้าหลี่หมิงอวินและหลินหลัน ขณะที่สาวใช้อีกคนหนึ่งนำถาดเคลือบสีทองแดงมาแล้ววางถ้วยชาสองถ้วยไปบนนั้น
หลี่หมิงอวินคุกเข่าลงนำไปก่อน โดยมีหลินหลันเตรียมคุกเข่าตามลงไปเช่นกัน ระหว่างนั้นเองนางเหลือบไปเห็นสายตาของหมิงจูที่กำลังแสดงสีหน้าอาการอย่างสนอกสนใจ โดยจ้องมองไปที่เบาะรองนั่งเบื้องหน้านางไม่วางตา
ในใจของหลินหลันรู้สึกหวั่นใจผิดปกติ หรือว่าจะมีอะไรแปลกปลอมอยู่ในนี้งั้นหรือ
ทันใดนั้นหลินหลันจึงค่อยๆ ชะลอตัวย่อคุกเข่าลงไปอย่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
——
[1] ฉวนฮวาเหมิน ชื่อเรียก ประตูกลางในบริเวณพื้นที่ตัวบ้าน