เมื่อหลินหลันสัมผัสลงไปบนเบาะรองนั่งก็พบถึงความผิดปกติได้ทันที ภายในอัดแน่นไปด้วยเศษผ้าฝ้ายผสมก้อนหินขนาดเล็กจำนวนมากซึ่งส่งผลให้หัวเข่าทั้งสองข้างรู้สึกถึงความเจ็บปวด หลินหลันเหลือบสายตามองไปยังหมิงจู ขณะที่หมิงจูเองก็จ้องมายังนางเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเลิกคิ้วขึ้นและเผยสีหน้ายั่วยุเอาการอีกด้วย
มันเป็นความตั้งใจของหมิงจูเองหรือได้รับการยุยงจากแม่มดชรานั่นกันแน่นะ ถึงขั้นเล่นงานกันทั้งๆ ที่เพิ่งพบหน้าในคราแรก อยากจะทำให้นางโกรธจนสติแตกอาละวาดขึ้นมาเช่นนั้นหรือ ไม่มีทางเสียหรอก……
ต่อมาก็ได้ยินเพียงเสียงพูดของหลี่หมิงอวิน “ตงจึ นำเอกสารหนังสือขึ้นมา”
ตงจึขานรับแล้วนำเอกสารหนังสือขึ้นมาสองฉบับ
หลี่หมิงอวินยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะใช้สองมือประครองพร้อมชูเสมอศีรษะแล้วจึงเอ่ยขึ้น “นี่คือหนังสือขอแต่งงานของฝ่ายชายและหนังสือตอบรับคำขอแต่งงานของฝ่ายหญิง ขอให้ท่านพ่อโปรดประทับตรานิ้วมือลงบนนี้เสียก่อนขอรับ”
หลินหลันนึกประหลาดใจ หลี่หมิงอวินทำหนังสือแต่งงานไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน การแสดงจอมปลอมนี่ออกจะดูสมจริงสมจังไม่น้อยเลยทีเดียวแฮะ
ชุนซิ่งรับเอกสารหนังสือมาแล้วส่งมอบให้นายท่านประจำบ้าน หลี่จิ้งเสียนเปิดมันออกดู บนนั้นมีรอยนิ้วมือของพี่ชายหลินหลันประทับไว้อยู่แล้ว รวมถึงรอยนิ้วมือหัวหน้าหมู่บ้านแห่งหมู่บ้านเจี้ยนซี แล้วยังมีผู้ปกครองมณฑลเฟิงอานประทับอยู่ด้วยเช่นกัน ตอนนี้มีเพียงแค่รอยนิ้วมือของผู้อาวุโสฝ่ายชายเท่านั้นที่ขาดหายไป
หลี่หมิงอวินส่งสัญญาณผ่านสายตาไปยังตงจึ หลังจากนั้นตงจึก็รีบน้ำหมึกประทับไปให้นายท่านถึงที่
หลี่จิ้งเสียนดูลังเลใจไปชั่วครู่ ก่อนจะประทับนิ้วมือลงไปในที่สุด
“ขอบคุณมากขอรับท่านพ่อ” ได้เห็นตรานิ้วของผู้เป็นบิดาซึ่งประทับลงเป็นที่เรียบร้อย หลี่หมิงอวินก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากหลี่หมิงอวินรับเอกสารหนังสือกลับคืนมา ก็เก็บมันไว้ในอ้อมอกราวกับเป็นของล้ำค่า ขณะนี้เองจึงหยิบยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาให้การคาราวะแด่ผู้เป็นบิดา “ลูกขอให้ท่านพ่อและท่านแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นขอรับ”
หลินหลันเองก็เลียนแบบท่าทางตามผู้เป็นต้นฉบับโดยคาราวะให้แก่แม่มดชรา แล้วเอ่ยขึ้น “ลูกสะใภ้นามหลินหลันขอคาราวะน้ำชาแด่ท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ ขอให้ท่านพ่อและท่านแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเจ้าค่ะ” ขณะที่ภายในใจของนางกลับกล่าวว่า ขอให้คู่สามีภรรยาผู้ไร้ซึ่งยางอายคู่นี้ร่างกายรายล้อมไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย จะทำอะไรก็ขอให้ไม่ราบรื่น ขอให้ได้รับผลกรรมตอบสนองและตกนรกไปในเร็ววัน……
ทั้งสองเอื้อมมือออกมารับเอาไว้อย่างหน้าชื่นตาบาน ฮานชิวเยว่จิบน้ำชาเข้าไปเพียงหนึ่งคำแล้วจึงวางถ้วยน้าชาลง ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณกับชุ่ยจื่อซึ่งอยู่ด้านข้างของนางให้นำของขวัญต้อนรับขึ้นมา
ชุ่ยจื่อยกถาดขึ้นมา หลินหลันมองเห็นว่าบนนั้นมีหยกหรูอี้หนึ่งคู่วางอยู่พร้อมกับซองจดหมายสีแดงหนึ่งซอง หลินหลันจึงแอบบ่นขึ้นภายในใจ แค่นี้เนี่ยนะ? สู้สองผู้ชราแห่งตระกูลเยี่ยไม่ได้เลยสักนิด
ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนดูมีไมตรีจิต “หวังว่าหลังจากนี้เจ้าจะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และรีบให้กำเนิดทายาทเพื่อสืบทอดตระกูลหลี่ต่อไปในเร็ววัน”
ติงหลั้วเหยียนเมื่อได้ยินประโยคนี้จึงอดไม่ได้ที่เม้มริมฝีปากเข้าหากันจนแน่น
หลินหลันกล่าวขึ้นภายในใจ เรื่องการมีทายาทสืบทอดวงษ์ตระกูลนั่นไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในสัญญา แต่ท่านก็มิจำเป็นต้องกังวลไปหรอก เพราะถึงอย่างไรในภายภาคหน้าหลี่หมิงอวินก็ต้องมีทายาทอย่างแน่นอน และแต่ละคนก็จะเป็นเด็กที่ดีเสียยิ่งกว่าลูกของหมิงเจ๋ออีกด้วย
ในลำดับถัดไปคือการยกน้ำชาคาราวะแด่หลี่หมิงเจ๋อ หลินหลันเห็นว่าหลี่หมิงอวินกำลังจะลุกยืนขึ้น และนางก็คิดขึ้นมาว่า หากนางลุกขึ้นมา ความลับที่นางปิดบังไว้ก็จะถูกเปิดเผยขึ้น ในทันทีที่ขยับตัว นางแอบกัดฟันทนแต่แล้วนางก็ทรุดลงโดยหัวเข่ากระแทกลงไปอย่างแรง ทันใดนั้นของแหลมคมบางอย่างก็สร้างรอยบาดแผลให้แก่นาง ใบหน้าของหลินหลันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีซีดเผือด พวกคนนิสัยไม่ดีเหล่านี้ต้องการกลั่นแกล้งนางอย่างลับๆ เช่นนั้นนางก็จะทำให้พวกเขารู้จักว่ากลยุทธ์ทุกข์กาย [1] เป็นเยี่ยงไร
หลินหลันพยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก จนสั่นคลอนไปทั้งเรือนราง
หลี่หมิงอวินสังเกตเห็นท่าทีหลินหลันราวกับมีอะไรผิดปกติไปเล็กน้อย จึงช่วยประครองนางอีกแรงและเมื่อมองไปยังใบหน้านางที่เปลี่ยนไปเป็นสีซีดเผือด จึงกล่าวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
หลินหลันใช้มือหนึ่งข้างกุมหัวเข่าเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ฝืนยิ้มออกไป “ไม่ ไม่เป็นไร”
การปกปิดซึ่งออกจะดูชัดเจนเกินไป ตลอดจนการปฏิเสธด้วยเสียงอ่อนแรงนั่นก็ยิ่งสร้างความสงสัย และเมื่อหลี่หมิงอวินลดระดับสายตาลงก็เห็นเลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลหยดลงมาจากบริเวณหัวเข่าภายใต้ชายกระโปรงสีดอกบัวของนาง แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เนื่องจากหลินหลันกำลังอยู่เบื้องหน้าฮานชิวเยว่กับหลี่จิ้งเสียน ในเวลานี้ทั้งสองก็สังเกตเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากหัวเข่าของหลินหลันแล้วด้วยเช่นกัน จึงหันมองหน้ากันอย่างมิได้นัดหมาย แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ
หลี่หมิงอวินจ้องไปยังเบาะรองที่บริเวณเท้าของหลินหลัน ก่อนจะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาบ้านในช่วงฤดูหนาว “หยิบกรรไกรมา”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบงัน นอกเสียจากหลี่จิ้งเสียนและฮานชิวเยว่ ตลอดจนชุนซิ่งและชุ่ยจือที่ยืนประกบข้างทั้งสองคนนั้น คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็มองไปที่หลี่หมิงอวินที่มีสีหน้าโมโหขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
“หมิงอวิน……วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้าทั้งทีนะ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างไม่มีความสุข
“หมิง…..หมิงอวิน รีบประครองหลินหลันไปดูบาดแผลก่อนเถอะ” ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย
สีหน้าของหลี่หมิงอวินยังคงสงบนิ่ง แล้วเอ่ยถามหลินหลันด้วยเสียงบางเบา “เจ้าอดทนเข้าไปได้ยังไงกัน”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่นัก “หมิงอวิน ข้าไม่เป็นไร จริงๆ นะ เจ้าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”
“แม่โจว ท่านช่วยประครองเส้าฟูเหรินเอาไว้ก่อน” หลี่หมิงอวินเอ่ยพลางถือวิสาสะดึงปิ่นปักผมบนศีรษะของหลินหลันออกมา
แม่โจวก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้ได้อย่างแน่ชัดก็คือคุณชายน้อยของนางไม่มีทางเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมาโดยไร้ซึ่งสาเหตุ
“หมิงอวิน บาดแผลของหลินหลันสำคัญกว่านะ รีบไปช่วยดูบาดแผลนางก่อนเถิด” ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างร้อนรน ขณะเดียวกันนางก็เหลือบไปเห็นดวงตาของหมิงจูที่กำลังกรอกไปมาด้วยความวิตกกังวล และนั่นก็ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะกรนด่าขึ้นภายในใจ เจ้าเด็กเงอะงะไร้ความสามารถ จะทำทั้งทีก็ทำให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีมิได้ แล้วยังทำเรื่องให้แย่หนักเข้าไปอีก ฮานชิวเยว่รู้สึกโกรธมาก ทว่าตอนนี้หลี่หมิงอวินกำลังดูโกรธมากกว่านางเสียอีก สีหน้าอาการที่เขาแสดงออกอยู่นั้นราวกับว่าจะกลืนกินคนเข้าไปได้ทั้งคน ปราศจากซึ่งความสง่างามแสนอ่อนโยนดั่งคร่าแรกอย่างสิ้นเชิง ได้แต่นึกกลัวว่าเรื่องนี้จะจบไม่สวยเสียแล้ว จึงคิดที่จะจัดการเรื่องนี้โดยการถ่วงเวลาออกไปเสียก่อน
หลี่หมิงอวินทำเป็นหูทวนลมต่อคำพูดของนาง เขาหย่อนตัวนั่งยองๆ แล้วยื่นมือลงไปลูบคล่ำเบาะรอง ก่อนจะใช้ปิ่นทิ่มลงไปพลางออกแรงกรีดบนผืนผิวผ้าไหม
เสียงดัง ‘แขว่ก’ หลังจากนั้นหลี่หมิงอวินก็ยกเบาะรองนั่งขึ้นแล้วคว่ำลง เศษผ้าและก้อนหินซึ่งอยู่ภายในจึงร่วงกราวออกมา
ทุกคนล้วนอยู่ในอาการตกตะลึง ขณะนี้เองจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายรองของบ้านจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเสียขนาดนี้ ที่แท้เป็นเพราะมีผู้ใดผู้หนึ่งเล่นงานสะใภ้รองเข้าให้แล้ว ผู้คนต่างอดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปต่างๆ นานาด้วยความสงสัยว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ใจกล้าได้ถึงเพียงนี้
หลี่หมิงอวินเขวี้ยงเบาะรองลงบนพื้นอย่างแรง แล้วชี้นิ้วลงไปที่เบาะรองนั่น พร้อมกับนัยน์ตาซึ่งกำลังฉายแสงแห่งความเย็นชาและเฉียบคมราวกับสันคมมีด “ท่านแม่ รบกวนท่านช่วยอธิบายเรื่องนี้ด้วยขอรับ”
ฮานชิวเยว่รู้สึกถึงความประหม่าเป็นอย่างยิ่งไปชั่วขณะ ท่าทีของหมิงอวินในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสงสัยในตัวนาง
“นี่….นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าไม่รู้ไม่เห็นด้วยหนิ! เบาะรองนั่งนี้จะมีก้อนหินไปได้อย่างไรกัน……” ฮานชิวเยว่ตีหน้ามึนงงและเอ่ยปฏิเสธ
สายตาของหลี่หมิงอวินจ้องมองไปที่นางไม่วางตา นัยน์ตาของเขาแฝงเอาไว้ซึ่งความอาฆาต ขณะเดียวกันมุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย ยิ่งเป็นการเพิ่มความหมายแห่งการเย้ยหยันให้เด่นชัดมากขึ้น แล้วตามด้วยการเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป็นลูกมากว่าที่ต้องเป็นฝ่ายถามท่านแม่”
“หมิงอวิน ช่างเถอะนะ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ……” หลินหลันทำตัวเป็นคนดีโดยการเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลี่หมิงอวิน
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มเย็นชา “ช่างเถอะงั้นหรือ” ทันใดนั้นเขาก็เปล่งเสียงคำรามออกมาเสมือนสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ คำพูดของเขามันเต็มไปด้วยความผิดหวังและความโกรธโมโหเป็นอย่างมาก “ช่างเถอะงั้นหรือ หลินหลันเหยียบเข้ามาที่นี่เพียงแค่วันแรก อีกทั้งยังทำตามขนบธรรมเนียมให้การเคารพผู้อาวุโสด้วยมรรยาทที่ถูกต้องเหมาะสม นางทำผิดอะไรงั้นหรือ พวกท่านถึงได้ทำกับนางเยี่ยงนี้ หรือนี่คือสิ่งที่ท่านพ่อเรียกว่ายอมรับ? พวกท่านจึงใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อแสดงออกถึงการยอมรับนางงั้นสิ ใช้วิธีนี้เพื่อเป็นการอวยพรแด่ลูกชายและลูกสะใภ้เช่นนั้นหรือ ตระกูลหลี่ของพวกเราถือว่ามีหน้ามีตาในเมืองหลวง ยิ่งท่านพ่อด้วยแล้วซึ่งมีหน้ามีตาในราชสำนัก ไม่คาดคิดเลยว่าจะลงทุนใช้วิธีการสกปรกแบบนี้เล่นงานผู้หญิงที่แสนอ่อนแอและไร้ซึ่งพิษสรง แล้วหลังจากนี้ตระกูลหลี่ของเราจะยังมีหน้าอยู่รอดไปได้อย่างไรกันขอรับ”
เมื่อเอ่ยจบ หลี่หมิงอวินก็คว้ามือของหลินหลันขึ้นมาภายใต้อารมณ์เคียดแค้นที่ยังคงไม่เจือจาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแสนเจ็บปวด “ภรรยาของท่านจิ้งปั๋วโหวฝากฝังเจ้าไว้กับข้าอย่างจริงจัง ให้ข้าดูแลปกป้องเจ้าให้ดี แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งพ้นประตูเข้ามาแท้ๆ ก็ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บและเจ็บช้ำน้ำใจเสียขนาดนี้แล้ว เป็นข้าเองที่ไม่ได้เรื่อง ข้าประเมินคนเหล่านั้นต่ำเกินไปเสียแล้ว ในเมื่อบ้านนี้ไม่ต้อนรับพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็ไปจากที่แห่งนี้กันเถอะ ให้มันรู้ไปว่าใต้หล้าแห่งนี้มีหรือที่จะไม่มีที่สำหรับพวกเรา”
หลินหลันตกตะลึง หลี่หมิงอวินเรียบเรียงคำโกหกได้แนบเนียนยิ่งกว่านางเสียอีก ภรรยาของท่านจิ้งปั๋วโหวไปฝากฝังนางไว้กับเขาอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ
“หมิงอวิน…..เรื่องยังไม่ทันได้ไขข้อสงสัยให้กระจ่างดี เจ้าจะตีโพยตีพายอะไรนักหนา” หลี่จิ้งเสียนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังและแฝงเอาไว้ซึ่งความกระวนกระวาย หากหมิงอวินออกไปจากที่นี่ด้วยความโมโห เกรงว่าภายในหนึ่งชั่วยามถัดจากนี้ ทั่วทั้งปักกิ่งก็คงจะแพร่สะพัดไปด้วยข่าวลือที่ว่าหลี่จิ้งเสียนตีสองหน้า โดยจงใจทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ นั่นไม่เท่ากับชื่อเสียงของเขาก็จะถูกทำให้พังพินาจลงไปหรอกหรือ ไม่ว่าเขาจะเอือมระอาเพียงใด เขาก็รู้ดีว่าข่าวลือครั้งล่าสุดรวมถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่บังเกิดขึ้นล้วนเป็นฝีมือของหมิงอวิน หมิงอวินใช้จุดอ่อนของเขามาเป็นตัวบีบบังคับให้ท้ายที่สุดแล้วเขาต้องยอมประนีประนอมแต่โดยดี
หลี่หมิงอวินหันกลับมา แล้วกล่าวด้วยความเศร้าโศก “ท่านพ่อ นี่ยังมีอะไรให้ต้องไขข้อสงสัยอยู่อีกหรือ เบาะรองนี้มิใช่เราสองคนนำมาเสียหน่อย เห็นอยู่ทนโท่ว่ามันเป็นการจงใจตระเตรียมของคนในเรือนหนิงเฮ๋อถางแห่งนี้ ท่านพ่อ ท่านไม่พึงพอใจในตัวพวกเราก็ย่อมได้ ทว่าท่านไม่สามารถทำให้พวกเราอับอายถึงเยี่ยงนี้” ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้หลี่หมิงอวินได้เน้นหนักลงไปที่คำว่า ‘จงใจตระเตรียม’ ด้วยความโกรธแค้น
หลินหลันก็ทำทีเอ่ยโน้มน้าวเขาด้วยเช่นกัน “หมิงอวิน อย่าพูดเช่นนี้กับท่านพ่อเลยนะ จะเป็นไปได้อย่างไรกันว่าท่านพ่อจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย บางที……บางทีเบาะรองนี้อาจไว้ใช้เพื่อลงโทษสาวใช้ที่ทำความผิดก็ได้ แล้วบังเอิญเหล่าสาวรับใช้ไม่ทันได้ดูให้ละเอียดรอบครอบจึงหยิบมาผิดจนได้น่ะ……”
ฮานชิวเยว่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในใจจึงเกิดแสงสว่างขึ้นมาฉับพลัน แล้วรีบเอ่ยขึ้น “จริงด้วย จริงด้วย! ต้องเป็นเพราะเหล่าข้ารับใช้หยิบมาผิดเป็นแน่”
“หยิบมาผิดงั้นหรือ แล้วเมื่อครู่นี้เป็นข้ารับใช้ผู้ใดกันที่เป็นคนหยิบมา” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน ในตาคู่คมกริบของเขากำลังกวาดสายตามองไปยังบรรดาสาวใช้ที่อยู่ภายในห้อง
ทันใดนั้นเองสาวใช้ผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางเอ่ยขึ้นด้วยคำพูดติดๆ ขัดๆ “เอ้อร์…..เอ้อร์เส้าเหยีย เป็น เป็นข้าน้อยเองเจ้าค่ะ…..”
แวบแรกที่เห็นว่าเป็นจูจู ความคับแค้นใจทั้งจากเรื่องราวในอดีตและปัจจุบันต่างพุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย
ฮานชิวเยว่เริ่มสวมบทบาทผู้นำในการกล่าวหา “เจ้านังข้ารับใช้ไม่รักดี โดยปกติทำอะไรก็ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ข้าพร่ำสอนเจ้าไปตั้งมากมายก็ยังมิอาจแก้นิสัยเสียๆ ของเจ้าได้เลยหรือ ไม่เห็นหรือยังไงว่าวันนี้เป็นวันอะไรถึงได้หยิบเบาะรองมาผิดเยี่ยงนี้ เห็นทีว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ”
ดวงตาของหลี่หมิงอวินหรี่ลงเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก้าวร้าว “มีหินจำนวนมากในเบาะรองนี้ แค่เพียงยกขึ้นก็สามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่ามันมีน้ำหนักมากเพียงใด จูจูมิใช่คนโง่เขลาขนาดที่จะไม่สามารถแม้แต่แยกแยะน้ำหนักที่เป็นปกติและไม่ปกติได้หรอกขอรับ หากมิใช่ว่ามีคนบงการ ลูกเชื่อว่าลำพังนางซึ่งเป็นเพียงสาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น ก็คงมิอาจหาญกล้าได้ถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน”
ผู้กระทำผิดเมื่อได้ยินหลี่หมิงอวินเอ่ยเช่นนี้ก็ถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นมา
จูจูทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตกใจ ล้วนผิดที่นางไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี คุณหนูหมิงจูให้เงินรางวัลตอบแทนแก่นางมาจำนวนหนึ่ง โดยบอกว่าจะเล่นงานเอ้อร์เส้าหน่ายนาย สั่งสอนให้นางเผชิญกับความยากลำบากเสียหน่อย และมั่นใจว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะไม่กล้าปริปากเอ่ยอะไรออกมาอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปรู้ว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายคุกเข่าลงไปแล้วจะถึงขั้นเลือดตกยางออกเช่นนี้ นางเองก็อุตส่าห์ตั้งใจคัดสรรแต่หินก้อนเล็กๆ ยัดใส่ลงไปแล้วเชียว…… จบเฮ่กันแล้วสิทีนี้ นางได้พังพินาถของจริงแล้ว จูจูนึกเสียใจขึ้นมาภายหลังเสียแล้ว
ฝ่ามือของฮานชิวเยว่เริ่มเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ค่อยๆ ผุดออกมา นางตระหนักดีว่าเรื่องราวในตอนนี้คงยากที่จะคลี่คลายได้อย่างง่ายดายเสียแล้ว เดิมทีหลี่หมิงอวินก็จงเกลียดจงชังนางอยู่เป็นทุนเดิม หากวันนี้ถูกเขาถือโทษเอาความกับนางจนได้ และหากไม่สามารถหาคำอธิบายซึ่งฟังดูเป็นเหตุเป็นผลให้แก่เขาได้ เขาคงมิอาจยอมปล่อยไปเลยตามเลยอย่างแน่นอน ที่แย่ไปกว่านั้นคือ นางเองก็ไม่สามารถสักไสร้ไล่ความเพื่อหาความจริงได้ ด้วยหากสักไสร้ไล่ความแล้วก็จะเป็นการสืบสาวไปถึงตัวการอย่างหมิงจู สาวรับใช้ผู้นี้จึงตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากโดยปริยาย
ทางด้านหลี่จิ้งเสียนก็กำลังนึกสงสัยในตัวฮานชิวเยว่ด้วยเช่นกัน แม้ว่าหลี่หมิงอวินจะขานเรียนฮานชิวเยว่ว่าท่านแม่ ทว่าเขาเองก็รู้ดีว่าภายในใจของหมิงอวินนั้นเจ็บปวดและเคียดแค้นฮานชิวเยว่มากมายเพียงใด การรังแกหลี่หมิงอวินในครั้งนี้ จะให้เขาไม่อาละวาดเห็นทีว่าคงเป็นไปมิได้ หลี่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะหันไปค้อนตาใส่ฮานชิวเยว่ด้วยความโมโห
หลี่หมิงเจ๋อซึ่งกำลังเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ไม่น้อยเลยเช่นกัน เรื่องแบบนี้เขาจะช่วยเอ่ยปากอธิบายอะไรได้อีกล่ะ! ในเมื่อพูดอะไรออกไปแล้ว จะไม่กลายเป็นว่าท่านแม่ของเขาก็จะได้รับความเดือดร้อนหรอกหรือ เขาจึงได้แต่คร่ำครวญอยู่ภายในใจ ปกติแล้วท่านแม่ฉลาดหลักแหลมเสียยิ่งกะไรดี แล้วเหตุใดในเวลาเยี่ยงนี้จึงก่อเรื่องบ้าบอแบบนี้ขึ้นมาเสียดายล่ะเนี่ย อีกทั้งได้เห็นท่าทีของหมิงอวินที่ไม่ยอมลดราวาศอกอย่างง่ายดาย หลี่หมิงเจ๋อจึงทำได้เพียงออกตัวเอ่ยอย่างโน้มน้าว “เอ้อร์ตี้ [2] อ่ะ! วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า แล้วใยจักต้องอารมณ์เสียเพียงเพราะสาวใช้ไม่ได้เรื่องผู้หนึ่งกันเล่า
ท่านแม่ หลายปีมานี้ท่านก็ใจอ่อนและมีเมตตาต่อนางรับใช้จูจูมากเกินไปแล้วนะขอรับ และไม่ใช่ว่าตระกูลหลี่ของเราปราศจากซึ่งกฎระเบียบที่ชัดเจน เช่นนั้นแล้วท่านก็ควรลงโทษนางสถานหนัก เพื่อเป็นการชดใช้ให้แก่น้องรองและภรรยาของน้องรองนะขอรับ”
ฮานชิวเยว่เข้าใจดีว่าเพลานี้หมิงเจ๋อกำลังช่วยปูทางให้นางก้าวลงมาจากสถานการณ์อันยากลำบาก “หมิงเจ๋อพูดถูกยิ่งนัก เป็นแม่เองที่ใจอ่อนและมีเมตตาจนเกินไป จนหละหลวมในการควบคุมดูแลเหล่าข้ารับใช้ มันเป็นความผิดของแม่เอง” และครู่ต่อมานางก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จูจู วันนี้เจ้าทำผิดมหันต์ หากมิลงโทษเจ้า เกรงว่าความโมโหภายในใจของข้าคงยากที่จะมอดดับลงไปได้ ใครก็ได้เข้ามานำตัวจูจูออกไปแล้วลงไม้โบยยี่สิบโบย”
จูจูทรุดตัวนั่งกองลงบนพื้นด้วยความตระหนกตกใจ พลางมองไปยังนายหญิงใหญ่ของบ้านด้วยสีหน้าอันแสนน่าสงสาร จากนั้นก็มองไปที่หมิงจูคุณหนูน้อยของนาง ทว่ากลับไม่อาจพูดคำแก้ตัวอะไรออกมาได้อยู่ดี ด้วยนางรู้ดีว่านี่เป็นบทลงโทษสถานเบาที่สุดแล้ว หากนางเผยสารภาพความจริงว่าเป็นแผนบงการของคุณหนูหมิงจู เกรงว่าสถานการณ์มีแต่จะยิ่งแย่ลงไป
——
[1] กลยุทธ์ทุกข์กาย เป็นกลยุทธ์ที่หมายความถึงโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไป ย่อมไม่มีผู้ใดอยากทำร้ายตนเอง หากบาดเจ็บก็เชื่อว่าคงเกิดจากการถูกทำร้าย ถ้าหากแม้นสามารถทำเท็จให้กลายเป็นจริง หลอกให้ศัตรูหลงเชื่อโดยไม่ติดใจสงสัย กลอุบายย่อมจะสัมฤทธิ์ผล การแสร้งทำให้ศัตรูหลงเชื่อ ก็พึงเข้าใจในจุดอ่อนของศัตรู ทำเท็จให้จริงจัง ให้เชื่อจริงแท้
[2] เอ้อร์ตี้ (二弟) น้อง (ชาย) รอง