“ช้าก่อน!” หลี่หมิงอวินตะโกนหะห้ามเอาไว้
เขามองไปที่ฮานชิวเยว่อย่างเย็นชาและกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ “เหตุใดท่านแม่จึงไม่แม้แต่จะเอ่ยถามจูจูว่าทำเยี่ยงนี้ไปเพื่ออันใด หรือว่า……ท่านแม่มีอะไรอื่นแอบแฝง?”
“หมิงอวิน เจ้าพูดอะไรของเจ้า เหตุใดจึงได้พูดจาเยี่ยงนี้กับท่านแม่ของเจ้า” หลี่จิ้งเสียนพยายามหะห้ามไม่ให้หมิงอวินถลำลึกออกไปมากกว่านี้
ฮานชิวเยว่ที่ถูกหลี่หมิงอวินจับพิรุธได้ ด้วยรู้สึกจนปัญญาจึงทำได้เพียงแสร้งตะคอกออกไป “หมิงจู ยังไม่รีบอธิบายความจริงออกมาอีก เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร……” นางจ้องมองไปที่จูจูด้วยท่าทีข่มขู่โดยหวังว่าจูจูจะเข้าใจไม่มากก็น้อย
หลินหลันสังเกตลักษณะอาการของหมิงจูมาโดยตลอด ในบางครั้งนางก็รู้สึกโล่งใจและในบางครั้งก็ดูเป็นกังวลและอยู่ไม่สุข หลินหลันอ่านใจได้ออกชัดแจ๋วว่าเหตุการณ์ครั้งนี้แปดสิบเปอร์เซ็นเป็นหมิงจูอย่างแน่นอนที่เป็นผู้บงการ ฮึ……ครานี้ถึงคราวที่นางจะได้ชมการแสดงสนุกๆ แล้วสินะ และหวังว่าหลี่หมิงอวินจะทำอะไรให้ได้มากกว่านี้อีกสักหน่อยนะ
จูจูคอยให้การปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินมาเป็นระยะเวลานานมากแล้วจึงรู้และเข้าใจนิสัยใจคอของนายหญิงใหญ่เป็นอย่างดี แม้ภายนอกนางดูจิตใจดีมีเมตตา ทว่าความจริงแล้วนั้นนางจิตใจโหดเหี้ยมก็ยังว่าได้ หากจะต้องได้รับโทษจากฮูหยินมิสู้ยอมรับโทษจากคุณชายรองยังจะดีเสียกว่า…..หมิงจูจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา “มันเป็นความผิดของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ เป็นเพราะข้าน้อยเห็นว่าเหล่าเหยียและฮูยินต้องเผชิญความเจ็บช้ำใจและลำบากใจไปกับการแต่งงานของเอ้อร์เส้าเหยีย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าน้อยก็เลยรู้สึกเกลียดเอ้อร์เส้าหน่ายนาย จึงอยากกลั่นแกล้งเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ เดิมทีข้าน้อยไม่คาดคิดเลยว่าจะทำให้เอ้อรเส้าหน่ายนายถึงขั้นรับบาดเจ็บ ข้าน้อยช่างโง่เขลายิ่งนัก ข้าน้อยเต็มใจที่จะถูกลงทันต์เจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่แอบถอดถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่จูจูเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้อย่างง่ายดายผู้หนึ่ง
ขณะนี้เองแม่เจียงจึงถือโอกาสเอ่ยแทรกขึ้นมา โดยจ้องมองไปยังจูจูแล้วเอ่ยตำหนิว่ากล่าว “จะว่าเจ้าโง่เขลา เจ้าก็ช่างโง่เขลาจริงๆ นั่นแหละ ทั้งเหล่าเหยียและฮูหยินต่างก็ยอมให้เส้าเหยียแต่งงานกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายแล้ว ดังนั้นเท่ากับว่าทั้งสองท่านมองเอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นเสมือนคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เจ้าเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง ไม่รู้จักแยกแยะหน้าที่ของตนเองแล้วยังสร้างเรื่องเดือดร้อนให้แก่ผู้เป็นนายอีก ทำตัวเป็นตัวตั้งตัวตีกลั่นแกล้งเอ้อร์เส้าหน่ายนาย เห็นทีเจ้าจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วสินะ” เมื่อแม่เจียงเอ่ยตำหนิติเตียนจบ แล้วจึงตบท้ายด้วยการตะคอกขึ้นมาอีกครั้ง “ยังไม่รีบลากตัวนังข้ารับใช้ไม่ได้เรื่องได้ราวผู้นี้ออกไปอีก”
แน่นอนว่าหลี่หมิงอวินไม่อาจเชื่อในคำพูดของจูจูได้ เขาผายมือขึ้นหนึ่งข้างแล้วกล่าว “ช้าก่อน การโบยเพียงยี่สิบไม้โบยสำหรับข้ารับใช้ที่ชั่วร้ายไม่ถือว่าเบาเกินไปหรอกหรือ กล้าอาจหาญได้ถึงเพียงนี้ ทว่ากลับรับโทษเพียงสถานเบา เกรงว่าวันหน้าวันหลังก็ยังจะเกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้นมาอีกกระมัง!”
ฮานชิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบครั้นกระทั่งจนตรอกไร้ทางเลือก “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะเห็นสมควร แล้วเจ้าว่าควรจัดการอย่างไรหรือ”
หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปากพร้อมกับหลุบนัยน์ตาคู่เย็นชาลงเล็กน้อย แล้วกล่าวออกไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตามหลักกฎมายที่ข้าเคยผ่านตามา ข้ารับใช้ผู้ร้ายกาจหลอกลวงผู้เป็นนาย สมควรได้รับโทษประหารชีวิต”
จูจูตื่นตกใจเป็นอย่างมากจนหน้าถอดสีแล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้น ดวงตาของนางเบิกกว้างและมองไปที่คุณชายรองด้วยความเหลือเชื่อ ใครๆ ต่างก็พูดว่าเอ้อร์เส้าเหยียเป็นผู้มีนิสัยใจคออบอุ่นและอ่อนโยน แล้วเหตุใดเขาจึงแสดงออกอย่างโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้กันล่ะ
เป็นธรรมดาที่นางจะไม่สามารถเข้าใจได้ และนางก็คิดไม่ถึงด้วยเช่นกัน ว่าเรื่องราวในปีนั้นที่จื่อโมคุกเข่าอยู่บนผืนหิมะแล้วนางนำน้ำเย็นสาดเทลงไปบนตัวจื่อโมจะกลับกลายเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ของวันนี้ และนางยิ่งคิดไม่ถึงด้วยว่า หญิงสาวผู้อยู่ในนามภรรยาของคุณชายรองประจำบ้านได้กลายเป็นตัวแปรในจิตใจและความฉกาจของเขาไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
ในหัวสมองนางตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวนึกออกนั่นก็คือนางไม่อยากตาย ไม่อยากถูกเฆี่ยนตีด้วยไม้จนขาดใจตาย สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดจึงผุดขึ้นจนทำให้นางลืมผลลัพธ์อันร้ายแรงที่จะตามมา หากนางเปิดโปงคุณหนูหมิงจูแทนที่จะเป็นนางออกรับไว้เสียเอง นางคุกเข่าและคลานไปยังเบื้องเท้าของนายน้อย แล้วพร่ำเอ่ยอย่างอ้อนวอน “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่ควรเชื่อฟังคำสั่งของเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ เป็นเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะที่สั่งการให้ข้าน้อยกระทำเยี่ยงนี้เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ……เอ้อร์เส้าเหยีย ขอท่านโปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ…….”
หมิงจูเมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของนางถึงกลับถอดสีไปในทันที ก่อนจะเอ่ยตีโพยตีพายพลางชี้นิ้วไปยังจูจูภายใต้อารมณ์โมโห “เจ้า……เจ้าโกหก ข้าสั่งการให้เจ้าทำตั้งแต่เมื่อไหร่กันห๊ะ”
ฮานชิวเยว่นึกเดือดดาลอยู่ภายในใจ นังข้ารับใช้สาระเลว หากรู้แต่แรกเมื่อครู่ก็คงสั่งให้นำตัวนางไปเฆี่ยนตีให้ตายก่อนแล้ว
หลี่จิ้งเสียนถึงกับทำอะไรไม่ถูกภายใต้ความรู้สึกเจ็บปวด คาดไม่ถึงเลยว่าผู้บงการริเริ่มที่แท้แล้วจะเป็นหมิงจูไปได้
หลินหลันแอบยิ้มเยาะในใจ จูจู เจ้าก็ไม่เบาเลยนี่
จูจูรีบหยิบซองกระดาษออกมาจากอ้อมแขนของนาง “นี่คือรางวัลตอบแทนที่เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะให้ข้าน้อยไว้เจ้าค่ะ แล้วยังบอกอีกว่าหลังเรื่องราวสำเร็จลุล่วงแล้ว ยังมีรางวัลชิ้นใหญ่ให้อีกเจ้าค่ะ……”
ด้วยความโกรธปนกระวนกระวาย หมิงจูจึงรีบพุ่งเข้าไปคว้าซองนั่นแล้วโยนลงบนพื้น แล้วออกแรงกระทืบเท้าบดขยี้ไปสองสามที พลางพึมพำไม่หยุดหย่อน “เจ้าโกหก เจ้าพูดโกหก” นางหันกลับมาแล้วพูดกับฮานชิวเยว่อย่างกระวีกระวาด “ท่านป้า จูจูนางใส่ร้ายข้า ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะ……”
จูจูเองก็ร้อนใจเช่นกัน ในเมื่อนางถูกนายหญิงน้อยดึงลงน้ำด้วยกันแล้ว นางจึงทำได้เพียงต้องหาที่ยึดเหนี่ยวเกาะไว้เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ นางเอ่ยขึ้นทั้งหยาดน้ำตา “เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ เป็นท่านเองที่พูดว่าไม่เป็นอะไรหรอก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาท่านจะรับผิดชอบเอง ข้าน้อยจึงได้อาจหาญถึงเพียงนี้ ข้าน้อยจัดการเรื่องแทนท่าน แล้วท่านจะไม่ใยดีข้าน้อยเลยได้อย่างไรกัน……”
ในใจของหลินหลันขณะนี้กำลังส่งกำลังใจให้จูจูสู้ๆ ใส่ไปเลย ใส่เข้าไปอีก ใส่เข้าอย่าได้ยั้ง ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
หมิงจูซึ่งก่อนหน้านี้ก็วิตกกังวลอยู่ไม่น้อย และเมื่อครู่นี้จูจูได้หลุดปากสารภาพออกมา นางก็ยิ่งลุกลี้ลุกลนสติแตกกระเจิงเข้าไปใหญ่ นางร้องห่มร้องไห้แล้วเข้าไปในอ้อมแขนของฮานชิวเยว่ โดยต้องการความคุ้มครองจากฮานชิวเยว่ ทว่านางกลับผลักหมิงจูออกและเอ่ยข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จูจู เจ้ารู้ดีใช่หรือไม่ว่าโทษของการให้ร้ายผู้เป็นนายคืออะไร”
ขณะนี้จูจูสนแต่การเอาตัวเองให้รอดเท่านั้น และเมื่อนางสบตาเข้ากับนัยน์ตาคู่อาฆาตของฮูหยินที่กำลังเผยออกมาอย่างเด่นชัดนั้น จึงทำได้เพียงก้มคำนับหน้าผากแตะลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า “ทุกประโยคที่ข้าน้อยพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นเจ้าค่ะ ขอฮูหยินและเอ้อร์เส้าเหยียโปรดตรวจสอบหาความจริงได้เลยเจ้าค่ะ……ขอเอ้อร์เส้าเหยียโปรดให้ความเมตตาด้วยเจ้าค่ะ……”
สถานการณ์เบื้องหน้าในขณะนี้วุ่นวายจนทำให้หลี่หมิงเจ๋อหงุดหงิดแทบบ้า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นอย่างรำคาญ “พอเถอะน่า พอเถอะน่า วันนี้เป็นงานมงคลแท้ๆ ทำไมจะต้องถือโทษเอาความอย่างไม่ลดราวาศอกเช่นนี้ด้วย มันมีความหมายนักหรือ”
หลี่หมิงอวินหันหน้าไปมองเขาด้วยสายตาดูถูกเย้ยหยัน พลางกล่าวขึ้นอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้าน “ต้าเกอ [3] หากวันนี้เป็นต้าซ่าว [4] ที่ถูกกลั่นแกล้ง เจ้าจะรู้สึกว่ามันมีความหมายไหมล่ะ”
ติงหลั้วเยียนซึ่งตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันเป็นเวลาเนิ่นนานกลับเงยหน้าขึ้นมาในทันทีและมองไปยังใบหน้าเรียบเฉยของหลี่หมิงอวิน สายตาของหลี่หมิงอวินสบอยู่แต่กับใบหน้าของหลี่หมิงเจอเท่านั้น ความผิดหวังในใจของนางแผ่ซ่านออกไปเสมือนคลื่นแห่งความเศร้าโศกระลอกใหม่ที่มิอาจควบคุมได้ แม้กระทั่งมองหน้านางสักครั้งเขาก็ไม่ยินยอมแล้วหรือ
และหลี่หมิงเจ๋อก็เกิดเป็นใบ้ไปอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดได้ว่ามันไม่มีความหมาย เพราะการพูดเช่นนี้จะเท่ากับว่าเขาไม่สนใจใยดีหลั้วเหยียน และคำพูดที่พร่ำแสดงความรักไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดต่อหน้าหลั้วเหยียนก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงโดยปริยาย เขาจึงได้แต่สบถฮึด้วยความโกรธเคืองแล้วหันหน้าหนี
หลินหลันเพียงแค่อยากจะเปิดโปงตัวการอย่างหมิงจูเท่านั้น และสั่งสอนให้นางรู้ว่าการหาเรื่องใส่ตัวเองนั้นเป็นอย่างไร แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นการเอาชีวิตของจูจูขึ้นมาเสียเช่นนี้ไปได้ จึงกล่าวโน้มน้าวออกไป “หมิงอวิน ช่างเถอะนะ! ที่ต้าเกอพูดก็ถูกต้อง วันนี้เป็นวันมงคลของเรา……”
หลี่หมิงอวินไม่รอให้นางเอ่ยพูดจนจบก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ก็เพราะวันนี้เป็นวันมงคลสำหรับเจ้าและข้า ข้าจึงไม่สามารถปล่อยคนเลวเหล่านี้ลอยนวลไปได้ เพื่อที่วันข้างหน้าจะไม่มีผู้ใดอาจหาญกล้าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเฉกเช่นคนเลวเหล่านี้ไงล่ะ” ขณะพูด เขาก็หันหน้าและเอ่ยถามฮานชิวเยว่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านแม่คิดว่าอย่างไรขอรับ”
เวลานี้ฮานชิวเยว่เองก็อดไม่ได้ที่อยากจะเฆี่ยนตีจูจูให้ตายไปเสียเลย เผื่อจะได้ระบายความโกรธโมโหของหมิงอวินไปบ้างและบางทีเขาจะได้ไม่ถือโทษเอาความกับหมิงจู ทันใดนั้นเองฮานชิวเยว่ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นำตัวจูจูไปเฆี่ยน……ให้ตาย…..”
จูจูสติกระเจิงและร้องไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก “ฮูหยินท่านจะทำเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ……นี่ไม่ใช่ความผิดของข้าน้อย……ข้าน้อยไม่ยินยอม……”
เมื่อนายหญิงใหญ่ของบ้านออกคำสั่งลงมา มีหรือใครจะกล้าหืออือขัดขวาง บรรดาป้าๆ สามสี่คนจึงก้าวเข้ามาแล้วรวบตัวจูจูที่ยังคงแสดงท่าทีขัดขืนโดยลากนางออกไป
หลี่จิ้งเสียนดูเหนื่อยล้ามาก ซึ่งมันเป็นความเหนื่อยล้าที่ออกมาจากหัวใจของเขาอย่างแท้จริง ความแข็งกร้าวและความเด็ดขาดที่หลี่หมิงอวินแสดงออกมาในวันนี้ ทำให้เขาเสียขวัญอย่างมาก ลูกชายคนนี้มิใช่ผู้ที่เชื่อฟังเขาเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว มันยากสำหรับเขาที่จะควบคุมหลี่หมิงอวินได้อีกต่อไปแล้ว เรื่องของเยี่ยซินเหว่ยเกือบจะทำลายอนาคตของเขา โชคดีที่เขาใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเปลี่ยนเรื่องเลวร้ายให้กลับกลายเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดี เขาจึงเกรงกลัวว่าหากครั้งนี้มีปัญหากับหมิงอวินอีก เหตุการณ์เลวร้ายที่เขาอุตส่าห์ระงับไว้ในปีนั้นจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง จะโทษก็คงต้องโทษที่ลูกชายคนนี้เป็นคนดีและโดดเด่นเกินไป ในขณะที่ยังคงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก หลี่จิ้งเสียนก็ตระหนักได้ว่าแผนการเดียวสำหรับเขาในปัจจุบันนี้ คือการพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหมิงอวินและสร้างความประทับใจระหว่างพ่อลูกเป็นกาวเชื่อมสัมพันธ์กับเขา โชคดีที่หลินหลันดูเหมือนจะเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ดังนั้นหลี่จิ้งเสียนจึงเบนสายตาจ้องไปยังฮานชิวเยว่อย่างไม่พอใจแล้วกล่าวขึ้น “เมื่อเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าในฐานะเป็นนายหญิงของบ้านก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ข้าไม่อยากให้ใครต่อใครเอาตระกูลเราไปติฉินนินทาได้”
ฮานชิวเยว่พยักหน้าอย่างรับผิด “เหล่าเหยียใจเย็นๆ นะเจ้าคะ เป็นเฉี้ยเซินเองที่ประมาทเลินเล่อไปเสียแล้วเจ้าค่ะ”
และหลี่จิ้งเสียนก็หันไปพูดกับหลินหลันอย่างใส่ใจ “หลินหลัน ถือซะว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงเหตุการณ์อุบัติเหตุแล้วกันนะ เจ้าก็อย่าได้เก็บเอามาใส่ใจเลย ในเมื่อตระกูลนี้ยอมรับเจ้าเข้ามาแล้วก็จะถือว่าเจ้าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันอย่างแน่แท้”
หลินหลันก้าวไปเบื้องหน้า สกัดกลั้นความเจ็บปวดแล้วย่อตัวลงให้การคาราวะ แล้วกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างอธิบายไม่ถูก “ความเห็นอกเห็นใจของท่านพ่อ ลูกรู้สึกขอบพระคุณอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ลูกเชื่อว่าเปี่ยวเหม่ยเองก็มิได้ตั้งใจ เพียงแค่เป็นการหยอกล้อเกินเหตุเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
ในเพลานี้ที่ฮานชิวเยว่เกรงกลัวที่สุดก็คือการที่ผู้ใดก็ตามเอ่ยถึงชื่อหมิงจูขึ้นมา ทว่าหลินหลันก็คอยจะเอ่ยถึงนางขึ้นมาอยู่เรื่อย หลินหลันนางผู้นี้ตั้งแต่พ้นประตูเข้ามา ภายใต้ทุกการกระทำและคำพูดดูเสมือนเป็นผู้มีคุณธรรม แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าที่นางมักเอ่ยพูดขึ้นมานั้นถือเป็นความตั้งใจของนางหรือไม่ตั้งใจกันแน่ จะอย่างไรก็ช่างยิ่งพูดก็มีแต่ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆ
กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นสินะ หลี่หมิงอวินตวัดสายตามองไปที่หมิงจูอีกครั้งจนได้
เมื่อหมิงจูมองเห็นลักษณะท่าทีอันโหดร้ายของพี่ชายคนรองผู้แปลกหน้าท่านนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวก็ปะทุขึ้นภายในใจและพร้อมกับการก้าวถอยหลังกลับไปสองฝีก้าว
“เปี่ยวเหม่ยแม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกในตระกูลหลี่ของเรา แต่เมื่ออยู่อาศัยในตระกูลหลี่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของตระกูลหลี่ อย่าคิดว่าการที่เจ้าอายุยังน้อยแล้วจึงสามารถกระทำการอันใดได้ตามอำเภอใจ จนทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหลี่ของเราต้องเสียหาย” หลี่หมิงอวินกล่าวสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นพี่ชายผู้หนึ่งที่สั่งสอนน้องสาว
หมิงจูน้อยอกน้อยใจจนน้ำตาคลอ แต่ก็ไม่กล้าปริปากโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
ฮานชิวเยว่รีบเอ่ยตักเตือนนางขึ้นมาด้วยเช่นกัน “ยังไม่รีบเข้าไปขอโทษเอ้อร์เปี่ยวเกอ และเอ้อร์เปี่ยวเส้าของเจ้าอีก?”
หมิงจูให้การคาราวะแด่หลี่หมิงอวินอย่างไม่เต็มใจนัก “เอ้อร์เปี่ยวเกอ เอ้อร์เปี่ยวซ่าว หมิงจูขอโทษพวกท่านด้วยเจ้าค่ะ”
หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงองอาจ “สำนึกผิดแล้วก็ดี โดยตามกฎระเบียบของตระกูลหลี่ เมื่อกระทำความผิดก็จักต้องได้รับโทษ”
เมื่อหมิงจูได้ยินประโยคดังกล่าวสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันที ขณะเดียวกันสมองของฮานชิวเยว่ก็ถึงกับเตลิดเปิดเปิงด้วยความตื่นตกใจ
“ตามกฎของตระกูลหลี่ เจ้าควรไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อนั่งคุกเข่าเป็นเวลาครึ่งวัน ทว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนของตระกูลหลี่ เจ้าจึงไม่สามารถเข้าไปคุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษได้ และข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เช่นนั้นก็จะละโทษสถานเบาโดยให้ไปนั่งคุกเข่าที่ด้านนอกเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วกัน!” หลี่หมิงอวินเอ่ยพูดอย่างสบายอกสบายใจ
หลี่หมิงเจ๋อมิอาจทนฟังต่อไปได้ จึงโวยวายขึ้นมา “หลี่หมิงอวิน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันห๊ะ? ถึงได้มาเอ่ยปากถึงเรื่องกฎระเบียบของตระกูลหลี่ ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ทนโท่ตรงนี้! ดังนั้นตระกูลหลี่ยังไม่ถึงคราที่เจ้าจะออกคำสั่งอย่างหยิ่งผยองอะไรได้ทั้งนั้น”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่พึงพอใจ “ต้าเกอ นี่คงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วสินะ ในฐานะบุตรชายของตระกูลหลี่ เป็นธรรมดาที่จะต้องรักษากฎของตระกูลหลี่เอาไว้ให้ขึ้นใจและติดไว้บนริมฝีปากอยู่เสมอ ดังนั้นการตักเตือนให้ระวังคำพูดและการกระทำ มันไม่ถูกต้องตรงไหนกันหรือ ในส่วนคำสั่งที่ฟังดูหยิ่งผยองของข้า อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะข้าเห็นแก่เปี่ยวเหม่ยด้วยซ้ำ เพราะหากข้ารอให้ท่านพ่อเป็นผู้เอ่ยออกมาเอง เกรงจะมีแต่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป ท่านพ่อเข้มงวดกับลูกๆ มากเสียยิ่งกว่าบรรดาข้าบริวารทั้งหลาย มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าความซื่อสัตย์ ความเข้มงวดและการเสียสละต่อส่วนรวมของท่านพ่อจะได้มาจากไหนงั้นหรือ ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าก้าวก่ายเกินหน้าเกินตาไปเสียแล้ว เช่นนั้นก็เรียนเชิญท่านพ่อออกคำสั่งแล้วกัน” ขณะที่หลี่หมิงอวินกำลังพูดอยู่นั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังหลี่หมิงเจ๋ออย่างไม่เกรงกลัว และมือทั้งสองของเขาก็ไพล่ไว้ด้านหลังเผยให้เห็นท่าทีซึ่งดูสบายอกสบายใจ
หลินหลันพอรู้อยู่ว่าหลี่หมิงอวินเป็นชายหนุ่มที่ไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง แต่ก็คาดไม่ถึงว่าความไม่ธรรมดาของเขากลับเป็นโหมดมืดชนิดที่น่าเกรงกลัวได้เสียขนาดนี้ ทำให้นางอดรู้สึกทึ่งอึ้งมิได้เลย เขากำลังใช้จุดอ่อนของท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย โดยการสวมหัวโขนเยินยอให้แก่เขาก่อน แล้วทำให้ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายถึงกับพูดไม่ออก หลังจากนั้นก็โยนปัญหาทั้งหมดไปให้แก่เขา ในสถานการณ์เยี่ยงนี้แล้วนอกเสียจากท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนั่นจะเอ่ยปากเออออไปตามน้ำ แล้วยังจะเป็นอะไรอื่นไปได้อีกหรือ นอกเสียจากเขาจะยอมรับว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นผู้เห็นแก่ตัว ไอ้หย่า……ได้มองเห็นสีหน้าหงุดหงิดของแม่มดชราและยังต้องแสร้งทำใจเย็น ได้เห็นท่านพ่อหลี่ไร้ยางอายที่กำลังอึดอัดใจแทบแย่ทว่าต้องแสร้งทำเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมและเข้มงวด และก็ยังได้เห็นหลี่หมิงอวินที่หาเรื่องใส่ตัวให้ต้องอับอายขายหน้าของจริง การเผชิญหน้าครั้งนี้ มันช่างทำให้รู้สึกสดชื่นเสียจริงเลยแฮะ
——
[3] ต้าเกอ ใช้เรียก ผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนโต
[4] ต้าซ่าว ใช้เรียก ภรรยาของพี่ชายคนโต