ตอนที่ 65 เครื่องรางป้องกันภยันอันตราย

ปฏิญญาค่าแค้น

สุดท้ายแล้วหมิงจูก็ยังคงต้องไปนั่งคุกเข่าเพื่อรับโทษแต่โดยดี 

 

 

หมิงอวินโอบอุ้มหลินหลันเอาไว้ตลอดทางเดินกลับไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย 

 

 

เหตุการณ์ก่อนหน้าตอนที่อยู่ในหนิงเฮ๋อถาง นางต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอและเดินกะโพกกะเพกไปงั้นแหละ รอจนออกพ้นหนิงเฮ๋อถางมาแล้ว นางจึงอยากจะลงมาจากอ้อมแขนของเขา นี่มันก็แค่แผลถลอกจนมีเลือดออกมานิดหน่อยเท่านั้น มิใช่บาดแผลอะไรใหญ่โตเสียหน่อย แล้วยังไงล่ะทีนี้ หลี่หมิงอวินกลับไม่ยอมปล่อยนางลงให้เป็นอิสระ แล้วยังเผยสีหน้าเคร่งขรึมที่ราวกับว่าบนใบหน้าของเขาเขียนอักษรไว้อย่างเด่นชัดว่า……ไม่ต้องพูดให้มากความ หลินหลันอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า เมื่อครั้งก่อนที่หลี่หมิงอวินถูกหญิงสาวของตระกูลจางต้าฮู่ลวนลามเข้าให้จนทั้งขั้นใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ แล้วเหตุไฉนพอมาตอนนี้ทั้งๆ ที่มีหญิงงามอยู่ในอ้อมแขนแนบชิด เขากลับดูอาจหาญไร้ซึ่งท่าทีเขินอายไปได้เสียขนาดนี้…… 

 

 

การเคลื่อนไหวไปตลอดทางด้วยสภาพเช่นนี้แน่นอนว่าจะยิ่งเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาเป็นอย่างมาก หลินหลันจึงถึงกับใบหูแดงกล่ำขึ้นเล็กน้อยมาโดยธรรมชาติ เมื่อสาวใช้สองนางเห็นนายน้อยเดินอุ้มสะใภ้รอง โดยมุ่งไปยังทิศทางเรือนหลั้วเซี๋ยจาย พวกนางก็รู้สึกตื่นตกใจพร้อมกับใบหน้าที่แดงกล่ำขึ้นมา ทันใดนั้นหลินหลันก็ตระหนักว่าสาวรับใช้ซึ่งอยู่ด้านนอกอาจไม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหนิงเฮ๋อถาง ดังนั้นพวกนางจึงเข้าใจผิดกันไปคิดว่าหลี่หมิงอวินคงแทบอดใจรอที่จะพานางเข้าเรือนหอเจ้าสาวไม่ไหวแล้ว? การตระหนักขึ้นมาได้เช่นนี้ทำให้นางถึงกับอ่อนระทวยไปหมดและใบหูของหลินหลันก็ร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกเผาจดมอดไหม้ไปหมดแล้ว 

 

 

จะว่าไปแล้วท่านพ่อหลี่ผู้สาระเลวกับนางแม่มดชรานั่นก็ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ต่อให้พวกเขาจะดูหมิ่นดูแคลนสะใภ้สาวบ้านนอกอย่างนาง แต่ก็ควรให้เกียรติหลี่หมิงอวินบ้าง ในเมื่อปากบอกว่าเป็นถึงวันงานมงคลครั้งใหญ่ อย่างน้อยๆ ภายในบริเวณจวนตามทางเดินและมุมต่างๆ ก็ควรประดับประดาโคมไฟแดงและติดอักขระมงคลเอาไว้บ้างสักนิดหน่อยก็ยังดี ทว่าจนตลอดทางเดินที่ผ่านมาล้วนไม่เห็นเลยแม้แต่อันเดียว นอกเสียจากดอกกุหลาบสีแดงสดสองสามดอกในแปลงดอกไม้ที่เดินผ่านมา ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่เป็นสีแดงอีกเลย หลินหลันเปลี่ยนไปคิดถึงเรื่องอื่น เพื่อที่จะลดระดับความประหม่าลงไปไม่มากก็น้อย โดยการนำท่านพ่อหลี่สาระเลวกับนางแม่มดชรามาเป็นตัวล่อความคิดของนางให้ออกมาจากสถานการณ์ในตอนนี้ 

 

 

“มากันแล้ว มากันแล้ว เอ้อร์เส้าเหยียพาเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาแล้ว……” สาวใช้สองคนที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูลานกว้าง ส่งเสียงพูดคุยกันอย่างมีความสุข 

 

 

หลินหลันดึงสติกลับคืนมาอีกครั้งแล้วหันหน้าไปมองยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย โคมไฟสีแดงสองดวงถูกแขวนไว้เหนือหน้าประตูทางเข้าบริเวณลานกว้าง อีกทั้งบนโคมไฟนั้นยังปิดแผ่นอักขระสีทองเอาไว้โดยให้ความหมายว่า ‘ความสุข’ และบรรยากาศแสนครึกครื้นรื่นเริงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของนาง 

 

 

เฉี่ยวโหรวและจิ่นซิ่วมองดูเอ้อร์เส้าเหยียที่กำลังโอบอุ้มเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมา และนึกถึงว่านายน้อยของพวกนางเพื่อจะได้แต่งงานกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายจึงยอมถูกนายท่านกักบริเวณมาตลอดหนึ่งเดือน และเมื่อวานนี้ก็ลงมือประดับประดาเรือนหลั้นเซี๋ยจายด้วยตนเอง วุ่นวายเข้านอกออกในไม่เว้นว่าง จึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่านายน้อยของพวกนางรักใคร่เอ้อร์เส้าหน่ายนายด้วยใจจริงอย่างมิต้องสงสัย จึงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า หลังจากนี้พวกนางจะคอยให้การปรนนิบัติภรรยาของนายน้อยให้เป็นอย่างดี 

 

 

เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียก ป๋ายฮุ่ยกับหรูอี้ก็พากันวิ่งพรวดออกมาจากด้านใน ทั้งสี่คนแบ่งกันยืนเป็นสองฝั่งแล้วย่อตัวลงให้การคาราวะพลางเอ่ยด้วยเสียงดังสดใส “กงสี่ [1] เอ้อร์เส้าเหยีย กงสี่เอ้อร์เส้าหน่ายนาย” 

 

 

หลินหลันกระซิบกระซาบขึ้นมาทันที “รีบวางข้าลงได้แล้ว” 

 

 

หลี่หมิงอวินแสร้งทำเป็นหูทวนลม แล้วหันไปพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้แก่ป๋ายฮุ่ยและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายได้รับบาดเจ็บที่เท้าน่ะ พวกเจ้าช่วยไปเตรียมน้ำร้อนและผ้าสะอาดๆ ไว้ให้ที ส่วนหยินหลิ่ว เจ้าช่วยไปนำกล่องยามาที” 

 

 

ทั้งสี่คนเผยสีหน้าตื่นตระหนก ไม่ใช่ว่านายน้อยเพิ่งพานายหญิงน้อยไปหนิงเฮ๋อถางเพื่อแนะนำให้กับญาติผู้ใหญ่หรอกหรือ แล้วใยจึงได้บาดเจ็บขึ้นมาได้ล่ะ 

 

 

ระหว่างที่กำลังมึนงง นายน้อยของพวกนางก็ได้โอยอุ้มพานายหญิงน้อยพ้นเข้าประตูเรือนไปเรียบร้อยแล้ว ป๋ายฮุ่ยจึงรีบเอ่ยขึ้น “ยังไม่รีบไปจัดเตรียมกันมาอีก” 

 

 

ขณะนั้นเองทุกคนถึงได้รีบร้อนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมาย 

 

 

หลินหลันหน้าแดงกล่ำจนเกินต้าน นางจึงเริ่มแสดงท่าทีขัดขืนขึ้นมา “เจ้ารีบปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ข้าเดินเองได้” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าว “อย่าโวยวายไป อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว” 

 

 

ป๋ายฮุ่ยที่เดินนำมาถึงก่อนเพียงไม่กี่ก้าวช่วยผลักบานประตูเปิดออก แล้วหลี่หมิงอวินก็แทรกตัวเดินเข้าไปด้านในก่อนจะวางหลินหลันลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล 

 

 

“หยินหลิ่ว ส่งกล่องยามา……” 

 

 

หลี่หมิงอวินม้วนแขนเสื้อขึ้นขณะพูด ดูจากท่าทางนี้แล้วราวกับว่าเขาต้องการลงมือทำแผลให้แก่นางด้วยตนเอง 

 

 

หลินหลันรีบชักขาสองข้างหดกลับพร้อมงอตัวโน้มปิดบังหัวเข่าเอาไว้ “ข้าจัดการเอง เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นหมอนะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินชะงักไปชั่วครู่ เขาลืมไปเสียสนิทเลยจริงๆ ด้วย 

 

 

“น้ำมาแล้วเจ้าค่ะ” จิ่นซิ่วถือภาชนะซึ่งบรรจุน้ำร้อนนำเข้ามา 

 

 

หลินหลันพึมพำขณะมองไปยังหลี่หมิงอวิน “เจ้า……เจ้าออกไปก่อนได้ไหม” 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วหันไปกำชับป๋ายฮุ่ยและคนอื่นๆ “พวกเจ้าคอยช่วยปรนนิบัตินายหญิงให้ดีๆ ล่ะ” 

 

 

หลินหลันรู้ดีว่าความจริงแล้วบาดแผลนี่ไม่ได้เป็นอะไรหนักหนาสาหัสเลย เพียงแค่กระแทกหัวเข่าลงไปให้คมหินทิ่มเพื่อทำให้ผิวหนังถลอกปอกเปิดก็เท่านั้นเอง เรื่องอะไรนางจะทำให้ตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสกันเล่า 

 

 

หลักจากเช็ดคราบสะเกล็ดเลือดออกไปเรียบร้อยแล้ว หลินหลันเลือกหยิบยาขี้ผึ้งสำหรับห้ามเลือดและสมานบาดแผลทาลงไป เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ป๋ายฮุ่ยรู้สึกไม่วางใจเท่าไหร่นัก “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ แค่นี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้วหรือเจ้าคะ” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก จริงสิ พวกเจ้านามว่าอะไรกันบ้างหรือ” 

 

 

ป๋ายฮุ่ยรีบแสดงท่าคาราวะในทันที “ข้าน้อยป๋ายฮุ่ย ยินดีที่ได้พบเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ” 

 

 

จิ่นซิ่วก็กล่าวขึ้นเช่นกัน “ข้าน้อยจิ่นซิ่ว ยินดีที่ได้พบเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อวี้หลง รีบนำของกำนัลที่ข้าเตรียมไว้ออกมาทีสิ” 

 

 

อวี้หลงก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วส่งถุงหอมจำนวนหนึ่งให้แก่หลินหลัน 

 

 

“แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีราคาอะไรนัก ทุกคนรับไว้ถือว่าเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งก็แล้วกันนะ!” หลินหลันนำถุงหอมส่งให้ป๋ายฮุ่ยและจิ่นซิ่ว 

 

 

ทั้งสองให้การคาราวะเพื่อแสดงความขอบคุณอีกครั้ง 

 

 

“ผู้นี้คืออวี้หลง และนี่คือหยินหลิ่ว หลังจากนี้พวกเจ้าต้องทำความรู้จักกันไว้ให้ดีๆ นะ” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ หลี่หมิงอวินเคยพูดไว้ว่า คนที่เรือนหลั้วเซี๋ยจายนี้เชื่อถือได้ ดังนั้น นางไม่จำเป็นต้องวางมาดเคร่งครึมแต่อย่างใด 

 

 

ป๋ายฮุ่ยกับจิ่นซิ่วขานรับเป็นเสียงเดียวกัน 

 

 

เฉี่ยวโหรวกับหรูอี้ก็เข้ามาทักทายด้วยเช่นกัน หลินหลันสังเกตเห็นว่าจิ่นซิ่วกับเฉี่ยวโหรวมีลักษณะร่าเริงมีชีวิตชีวา ในขณะที่ป๋ายฮุ่ยดูเป็นผู้สง่างามและเคร่งขรึมที่สุดโดยทั้งคำพูดและการกระทำล้วนเป็นไปตามมารยาทกฎระเบียบ ส่วนหรูอี้ดูเป็นคนกลางๆ ระหว่างสองบุคลิกนั้น ไม่ว่าจะเป็นร่าเริงมีชีวิตชีวาหรือสงบนิ่งเคร่งขรึม ท่ามกลางสีหน้าค่าตาของพวกนางที่จ้องมองมายังหลินหลันอย่างตื่นตาตื่นใจและมีความเป็นกันเอง จึงอดไม่ได้นางเองก็รู้สึกดีต่อพวกนางด้วยเช่นกัน 

 

 

“ป๋ายฮุ่ย พวกเจ้าช่วยพาอวี้หลงกับหยินหลิ่วไปพักผ่อนเสียหน่อย แล้วช่วยนำข้าวของไปจัดเรียงให้เข้าทีเข้าทางทีสิ” หลินหลันเอ่ยสั่งการ ด้วยของหนึ่งคันรถที่ภรรยาของท่านเจ้าพระยะมอบให้ บวกกับของที่นางขนมาจากเฟิงอานแล้วยังมีของที่ท่านลุงตระกูลเยี่ยมอบให้อีก มาคิดๆ ดูแล้วสิ่งของล้ำค่าพวกนั้นก็อดทำให้นางรู้สึกปลื้มปริ่มใจมิได้ จึงต้องนำไปจัดวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสีย 

 

 

“เจ้าค่ะ……” ป๋ายฮุ่ยพยักหน้าแล้วพาอวี้หลงพร้อมคนอื่นๆ ออกไป เหลือเพียงจิ่นซิ่วที่คอยรับหน้าที่ให้การปรนนิบัตินายหญิงน้อย 

 

 

ขณะที่พวกนางเพิ่งเดินพ้นออกไป หลี่หมิงอวินก็เดินสวนเข้ามาพลางโบกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้จิ่นซิ่วออกไปก่อนด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นเขาจึงเดินเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งขอบเตียง ใบหน้าหล่อเหล่าจ้องมองไปยังหลินหลันด้วยอากับกิริยาอันแสนนิ่งสงบ 

 

 

หลินหลันซึ่งกำลังถูกดวงตาคู่คมของชายหนุ่มเบื้องหน้าจ้องมองมาจนรู้สึกได้ถึงพลังงานแห่งความหายนะที่อาจกำลังมาเยือน นัยน์ตาสีดำมืดมิดราวกับน้ำหมึกดูนิ่งสงบเสมือนพื้นผิวน้ำในบ่อน้ำลึกที่ไร้ซึ่งกระแสน้ำใดๆ ซัดเคลื่อนไปมา มันยากเกินกว่าจะคาดเดาความคิดของเขาในขณะนี้ได้ 

 

 

“ทำไมมองข้าแบบนี้ล่ะ” เป็นหลินหลันเสียเองที่อดรนทนไม่ไหว 

 

 

หลี่หมิงอวินมองนางอย่างสงบนิ่ง พลางพูดขึ้น “เหตุใดจึงไม่บอกแต่แรก” 

 

 

“บอกอะไรรึ” หลินหลันย้อนถามกลับทันที 

 

 

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเบาะรองนั่นมีสิ่งแปลกปลอมปะปนอยู่ แล้วใยยังต้องคุกเข่าลงไปอีก” 

 

 

เอ่อะ! ที่แท้เขาถามถึงเรื่องนี้นี่เองหรอกหรือ หลินหลันเหลือบตามองไปทีเขา “แล้วเช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร ให้โวยวายขึ้นมา…..ว่าด้านในมีอะไรก็ไม่รู้อยู่งั้นหรือ หรือว่าจะให้พูดว่า ในนี้มีของแปลกปลอมอยู่ ข้าไม่คุกเข่าลงไปหรอก เช่นนั้นไม่เท่ากับแสดงให้เห็นว่าข้าไร้มรรยาทหรือไงกัน” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ายอมให้เจ้าเสียมรรยาทดีกว่าเจ้าต้องได้รับบาดเจ็บ” 

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างเฉยเมย “จะได้ไงกันเล่า ในการพบหน้ากันครั้งแรก การสร้างความประทับใจถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เดิมทีท่านพ่อของเจ้าก็ดูถูกดูแคลนสาวชาวบ้านอย่างข้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากข้ากระทำเยี่ยงนั้นขึ้นมาอีก พวกเขาได้จงเกลียดจงชังข้าหนักเข้าไปอีกแน่ ซึ่งนั่นไม่ส่งผลดีแผนการในอนาคตที่จะดำเนินต่อไป” 

 

 

สีหน้าของหลี่หมิงอวินในเวลานี้กลับยิ่งดูแย่หนักเข้าไปเรื่อยๆ 

 

 

หลินหลันไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าคนเบื้องหน้ามีอาการเช่นไร แล้วยังตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อไปอย่างตื่นเต้น “แน่นอนว่า ข้าเองก็ไม่ยอมเสียเปรียบหรอก ดังนั้น ข้าก็เลยใช้แผนการกลยุทธ์ทุกข์กาย แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นน่ะข้าเองก็ไม่ได้หวังจะทำให้เรื่องใหญ่โตเสียขนาดนั้น คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเล่นบทโหด ให้ความร่วมมือได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียเช่นนั้น ข้าได้เห็นสีหน้าของนางแม่มดชราที่หงุดหงิดจนแทบคลั่ง ในใจข้าก็รู้สึกซะใจยิ่งนัก ฮ่าฮ่าฮ่า…..ตลกชะมัดเลย” 

 

 

เมื่อหลี่หมิงอวินรับรู้ว่าหลินหลันจงใจทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บเพื่อที่เขาจะได้ใช้ประโยชน์จากปัญหาวุ่นวายในครั้งนี้ ทว่านางหารู้ไม่ว่าเขารู้สึกหงุดหงิดใจแทบคลั่งจริงๆ ในตอนนั้น ทั้งหมดที่เขาแสดงออกมาล้วนมิใช่เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือในการแสดงอะไรนั่นของนางเลย มันเป็นความทุกข์ใจและโกรธโมโหอย่างแท้จริง ในตอนนั้นเขาถึงขั้นคิดถึงเรื่องที่จะพาหลินหลันออกไปจากที่นี่และตัดขาดกับครอบครัวนี้ไปเสียสิ้นเรื่อง 

 

 

“วันนี้ข้าได้ลองสังเกตไปพลางๆ ก็เห็นได้ว่านางแม่มดชราช่างเป็นนักแสดงฝีมือยอดเยี่ยมมิใช่ย่อย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าในใจของนางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่าบนใบหน้าของนางกลับไม่ได้เผยความรู้สึกนั่นออกมาเลยแม้แต่น้อย ช่างเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ได้ดีจริงๆ! และท่านพ่อเจ้า…..ช่างเถอะ ท่านพ่อของเจ้าข้าขอไม่พูดถึงแล้วกัน ในส่วนของหมิงเจ๋อกับหมิงจู สองผู้นี้ไม่ต่างจากเด็กน้อยขี้โวยวายและเอาแต่ใจเลยสักนิด ซึ่งถือว่าไม่เป็นการยากเท่าไหร่นักที่จะรับมือกับพวกเขา….. แต่อย่างไรก็ตาม หมิงอวิน สาวใช้นามว่าจูจูนั่นน่ะ……ข้าคิดว่า แม้นางจะทำเรื่องแย่แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องฆ่าต้องแกงกันเสียหน่อย…….” เมื่อนึกถึงความแข็งกร้าวของหลี่หมิงอวินขณะที่เขายืนกรานว่าจะไม่ปล่อยจูจูให้ลอยนวลไป นางก็รู้สึกว่าเขาออกจะทำเกินไปเสียแล้ว 

 

 

ทันใดนั้นเองนัยน์ตาของหลี่หมิงอวินก็ฉายแสงแห่งความเย็นชาขึ้นแล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “เดิมทีจูจูก็สมควรตายอยู่แล้ว” 

 

 

เอ่อะ! หลินหลันไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะเรื่องราวในอดีตที่นางเคยก่อไว้อย่างแน่นอน หลี่หมิงอวินคงอยากกำจัดนางอยู่แต่แรกแล้ว และประจวบเหมาะกับวันนี้บังเอิญเป็นจูจูที่รนหาที่ตายขึ้นมาเองเสียด้วย 

 

 

“อ่อ……งั้นข้าก็ไม่ว่าอะไรแล้วล่ะ เพราะสำหรับคนชั่วร้ายไม่จำเป็นที่จะต้องไปให้ความเมตตา” หลินหลันเชื่อเสมอว่า ความมีเมตตาต่อคนเลวคือภัยร้ายต่อตนเองเช่นนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้กับคนเหล่านี้ 

 

 

“นี่ พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าดูมีท่าทีแปลกชอบกล” หลินหลันเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

ภายในใจของหลี่หมิงอวินจึงรู้สึกถึงความประหม่าขึ้นมาชั่วขณะพลางพูดขึ้นอย่างสงบ “มีอะไรให้รู้สึกแปลกงั้นหรือ” นี่มิใช่น้ำเสียงอย่างการซักถามแต่อย่างใด ทว่าว่าออกจะเป็นน้ำเสียงคล้ายคำประกาศิตเสียมากกว่า 

 

 

หลินหลันขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดจริงๆ จังๆ “จะพดอย่างไรดีล่ะ มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ น่ะ นางคอยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอด และไม่พูดไม่จาอีกทั้งยังไม่มองหน้าใครทั้งนั้น ราวกับลูกสะใภ้ผู้ต่ำต้อย แต่มิใช่ว่านางเป็นบุตรสาวของขุนนางระดับสูงอะไรนั่นหรอกหรือ เหตุใดจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเสียขนาดนั้น หรือว่านางกำลังระมัดระวังอะไรอยู่งั้นหรือ” 

 

 

หลี่หมิงอวินแทบจะพูดอะไรไม่ออกทันทีที่เขาพ้นผ่านบานประตูเข้าไป และเขาก็ตั้งใจควบคุมตนเองไม่ให้มองไปยังหลั้วเหยียน ตั้งใจที่จะมองข้ามการมีตัวตนอยู่ของหญิงนางนั้น เรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้วก็คืออดีตที่จบลงไปแล้วเท่านั้น เขาพร่ำบอกตนเองอยู่ซ้ำๆ ว่านางได้กลายเป็นพี่สะใภ้ของของเขาไปเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวอะไรกับนางได้อีกแล้ว 

 

 

“หมิงอวิน……หมิงอวิน……” หลินหลันเห็นว่าเขากำลังตกอยู่ในอาการเหม่อลอย จึงยื่นมือขึ้นไปโบกผ่านเบื้องหน้าดวงตาเขา 

 

 

หลี่หมิงอวินจึงได้เผยรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ แล้วเอ่ยถาม “หัวเข่าของเจ้าไม่เป็นอะไรร้ายแรงจริงๆ ใช่ไหม” 

 

 

“แน่นอนสิ ก็แค่แผลถลอกเท่านั้นเอง เพียงสองวันก็หายดีแล้วล่ะ” หลินหลันกล่าวพลางตามด้วยเสียงหัวเราะแฮะๆ  

 

 

“ถึงอย่างไรก็ยังต้องคอยรักษาให้ดีๆ ” หลี่หมิงอวินเห็นท่าทีของนางซึ่งทำเหมือนขอไปที จึงมิอาจวางใจได้ เช่นนั้นแล้วเขาคงต้องกล่าวเตือนนางเอาไว้บ้างเสียหน่อย “หลังจากนี้ห้ามมิให้จงใจทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บอีกเป็นอันขาด” 

 

 

หลินหลันเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังของเขาพวกกับนึกถึงสถานการณ์ชวนอับอายที่เขาโอบอุ้มนางเอาไว้ตลอดการเดินกลับมายังที่นี่ จึงรู้สึกว่าเชื่อฟังเข้าไว้น่าจะเป็นการดี มิเช่นนั้นคงได้ทำให้เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ สักวันใดวันหนึ่งเป็นแน่ 

 

 

ตอนนี้เองสีหน้าของหลี่หมิงอวินจึงเริ่มค่อยๆ อ่อนลง เขาหยิบเอาเอกสารสองฉบับออกมาจากอ้อมอก แล้วยื่นหนึ่งฉบับในนั้นมอบให้หลินหลัน “ฉบับนี้เจ้านำไปเก็บไว้ให้ดีๆ ล่ะ” 

 

 

หลินหลันเอื้อมรับมาภายใต้ความรู้สึกหนักใจเล็กน้อย การมีหนังสือแต่งงานฉบับนี้ จึงเท่ากับการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันของนางและหลี่หมิงอวินถือว่ามีผลทางกฎหมายไปโดยปริยาย นางจึงบ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ “ทำไมต้องทำให้เป็นทางการเสียขนาดนี้ด้วย” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีเจ้านี่แล้ว หลังจากนี้เจ้าก็จะได้อยู่ในตระกูลหลี่อย่างสบายใจไงล่ะ” 

 

 

ทันใดนั้นหลินหลันก็เอ่ยขึ้น “อ๋อ…..เจ้านี่ก็คือเครื่องรางป้องกันภยันอันตรายของข้างั้นสิ?” 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้า “จะว่าเช่นนั้นก็ได้” 

 

 

หลินหลันกรอกตาไปมา แล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อยขณะเดียวกันนางก็เขยิบตัวเขาไปเบื้องหน้าแล้วเอ่ยอย่างกระซิบกระซาบ “งั้นเจ้าก็ไม่กลัวว่าข้าจะเกาะติดเจ้าจนไม่ยอมไปไหนแล้วสินะ?” 

 

 

หลี่หมิงอวินตกตะลึงอยู่เล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มขึ้นมา “หรือไม่งั้น ตอนนี้เจ้าก็ทำหน้านี่ในฐานะภรรยาตัวจริงของข้าเสียเลย?” 

 

 

หลินหลันรีบร้อนล่าถอยอย่างฉับไว “ช่างเถอะ ข้าว่าลืมๆ มันไปแล้วกันนะ” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] กงสี่ (恭喜) ขอแสดงความยินดี