ตอนที่ 35 เกษตรกร

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 35 เกษตรกร

เดือนเจ็ดสายลมร้อนระอุ แม้แต่สายลมที่พัดผ่านใบหน้า ก็มีสายความร้อนตามมาด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางจากหลินเจียงไปยังเรือนซีซาน ณ หมู่บ้านเสี้ยชุนอีกครั้ง

ตลอดทางการเดินทาง ข้าวสาลีในทุ่งนาได้รับการเก็บเกี่ยวไปนานแล้ว ต้นกล้าสีเขียวในทุ่งนากำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี

ถือเป็นปีที่มีอากาศดี ถ้าหากในช่วงที่รวงข้าวออกดอกสภาพอากาศไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าใดนัก ปีนี้น่าจะเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์อีกปี

ครั้งนี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้หยุดพักภายในหมู่บ้านเหล่านั้น ขบวนรถมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่บ้านเสี้ยชุน

นั่งอยู่บนรถม้าช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนนั่งสมาธิอีกครา เขาไม่มีทางละทิ้งเรื่องกำลังภายในอย่างเด็ดขาด ซูม่อกล่าวว่าเขาเข้าสำนักเมื่อตอนอายุ 10 ปี จนกระทั่งอายุ 13 ปี ใช้เวลา 3 ปีในการฝึกวิทยายุทธ์ จุดตันเถียนถึงจะเกิดพลังขึ้น ท่านที่เพิ่งจะฝึกได้แค่ไม่กี่เดือน คิดอันใดอยู่กัน

คิดอันใดกัน…

เดิมทียามที่ฟู่เสี่ยวกวนนั่งสมาธิก็จะสงบลงได้ในทันที แต่ในวันนี้กลับรู้สึกว่าตัวเขานั้นค่อนข้างหงุดหงิด

นี่ไม่ใช่เพราะอากาศที่ร้อนมากเกินไป แต่เป็นเพราะเรื่องที่พบกับจางเพ่ยเอ๋อร์เมื่อวานนี้ เพียงหลับตาในหัวก็มีภาพใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของแม่นางจางเพ่ยเอ๋อร์โผล่ขึ้นมา นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนสับสนอย่างหนัก หรือว่าแม่นางผู้นั้นจะเป็นปีศาจที่สวรรค์ส่งลงมากัน?

สำหรับจางเพ่ยเอ๋อร์ เขาไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิด นี่คือการขัดแย้งทางความคิดที่เกิดจากโลกทั้งสอง ไร้ซึ่งประกายไฟแต่อย่างใด เพียงระเบิดไปในทันที จางเพ่ยเอ๋อร์คิดว่าความรู้สึกจะถูกบ่มเพาะหลังจากสมรส แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับคิดว่าควรจะได้รับการบ่มเพาะความรู้สึกแล้วจึงจะสมรสกัน

เรื่องนี้หมดหนทางที่จะพิสูจน์ได้ จะสาธิตให้ดูได้เยี่ยงไร? คนส่วนมากในโลกนี้ต่างก็สมรสกันก่อนทั้งนั้น เมื่อผ่านไปหลายปีหลังจากแต่งงานกันไปแล้วเรื่องของความรู้สึก ราวกับว่ามิสำคัญไปเสีย

ดังนั้นเมื่อวิเคราะห์อย่างดีที่สุดแล้ว ก็ยังคิดว่าการบ่มเพาะความรู้สึกก่อนการสมรสนั้นจะน่าเชื่อถือได้มากกว่า ฟู่เสี่ยวกวนมิยินยอมให้ชีวิตคู่ของตนเองจมลงไปกับจารีตแบบดั้งเดิมเด็ดขาด ดังนั้นหากให้เขาเผชิญหน้ากับจางเพ่ยเอ๋อร์อีกครา ทางที่เขาเลือกก็ยังคงมิเปลี่ยนไป

ฟู่เสี่ยวกวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดทาง เมื่อเปิดปมในใจนี้ออก ก็พลันโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย

นั่นเป็นเพียงเด็กสาวที่หลงทาง ที่ยามแรกเริ่มของความรักกลับมาตกหลุมรักคนที่ไม่ควรชอบ

ใช่ เป็นเยี่ยงนี้ล่ะ

……

……

ขบวนรถมาถึงเรือนซีซานในยามเที่ยงวัน

จางเช่อพาฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วและซูม่อเข้าไปในเรือน สะพานเล็กที่มีสายน้ำที่ไหลผ่านนั้นใสเสียจนเห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมา ทันใดนั้นเมื่อเขาเข้ามาภายในจวนก็รู้สึกเย็นขึ้นทันตา

ฟู่เสี่ยวกวนไปอาบน้ำ หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เขาก็นั่งมองแสงแดดที่ร้อนแรงผ่านบานหน้าต่าง เขาสั่งให้จางเช่อไปเชิญเกษตรกรผู้อาวุโสสามถึงห้าคนมายามบ่าย และเมื่อเขาอาบน้ำเสร็จแล้วจึงขึ้นไปนอนหลับที่ห้องของตนเองบนชั้นสอง

บางทีอาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถ ครั้งนี้เขาถึงได้หลับสนิท ยามที่ตื่นขึ้นมาอีกคราก็กลายเป็นยามเย็นเสียแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมีแสงสีส้มระเรื่อของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าแทรกแซงไปทั่วแนวเขา

เขานั่งดื่มชาอยู่ในศาลาภายในสวนได้ชั่วครู่ จางเช่อก็ได้พาเกษตรกรทั้งห้าเดินเข้ามา

หวางเอ้อทำการเพาะปลูกมาทั้งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือนที่กว้างขวางและงดงามเยี่ยงนี้ และเป็นครั้งแรกที่ถูกหัวหน้าตระกูลเรียกพบเยี่ยงนี้ เขารู้สึกกังวลใจอย่างยิ่ง นึกถึงการทำเกษตรแบบเร่งรัดของตนเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็พบว่ามิได้ทำเรื่องมิดีอันใดเลย หรือเป็นเพราะว่าเขาชราแล้ว หัวหน้าตระกูลจึงจะมายึดทุ่งนาคืนกัน?

แต่บุตรและหลานของตนยังสามารถทำการเพาะปลูกต่อจากเขาได้ ทั้งยังเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี

พ่อบ้านจางกล่าวว่าคุณชายเชื้อเชิญให้เข้าพบ เขานึกถึงตอนที่เขาลงต้นกล้า พ่อบ้านจางแยกทุ่งนาออกเป็น 10 หมู่ และกล่าวว่าเป็นความต้องการของคุณชาย สองหมู่ในนั้นเป็นของตระกูลเขา คุณชายต้องการทำอันใดกัน?

เขาพาบุตรชายและเกษตรกรอีก 3 คนมาตรงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน จึงได้เห็นว่าคุณชายยังคงเยาว์วัย ใจของเขาจึงกระตุกขึ้นอีกครา

ปากมิมีขนทำงานได้ไม่รวดเร็ว กลัวเพียงว่าจะมิใช่เรื่องดี

แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับทำให้เขาต้องตกตะลึง

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปทักทายพวกเขาด้วยท่าทีอ่อนน้อม และเชิญพวกเขานั่งลงดื่มชา

ดื่มชาอย่างนั้นรึ?

หวางเอ้อเองก็ชื่นชอบดื่มชา หากแต่เขาดื่มชาของตนเองที่ขึ้นไปเก็บบนเขา ชาของคุณชายนั้นย่อมดีเยี่ยม แต่คนแบบพวกเขาอย่าได้ทำถ้วยชาที่งดงามเหล่านั้นต้องแปดเปื้อน

ดังนั้นเขาจึงโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระคุณคุณชายขอรับ คุณชายมีคำสั่งใดรีบกล่าวมาได้เลย ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”

ทั้งสี่คนนอกเหนือจากนั้นก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เมื่อได้เห็นฉากดังกล่าว

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับคว้ามือของหวางเอ้อไว้ ลากเขามายังโต๊ะหิน แล้วกดเขานั่งลงบนเก้าอี้

 “ข้ามิได้มีพิธีรีตองมากมายเพียงนั้น ภายภาคหน้าพวกเจ้าก็จะรู้ มากันทั้งหมดเลย พวกเจ้าไม่เข้ามาแล้ว ข้าจะอธิบายอย่างชัดเจนได้เยี่ยงไร?”

ถึงแม้จางเช่อจะรู้ว่าคุณชายเปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปอีกด้วย

ซูม่อที่นั่งเล่นน้ำอยู่ริมลำธาร ก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวนเต็มสองตาเช่นกัน ความเย็นชาในดวงตานั้นได้ลดลงมาหลายส่วนแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนนำชามารินจนเต็ม และส่งไปให้กับหวางเอ้อ “อากาศนั้นร้อนเกินไป ดื่มชาเพื่อคลายร้อนเสียหน่อย มิต้องเกร็งกันถึงเพียงนั้น ข้ามิได้กินคนเสียหน่อย”

เกษตรกรทั้งห้าคนต่างก็ยิ้มออกมาซื่อ ๆ หวางเอ้อครุ่นคิด ยกชาขึ้นดื่ม อีก 4 คนที่เหลือเองก็ลังเลแต่ก็ยกขึ้นดื่มเช่นกัน

 “นี่แหละถูกต้อง ภายภาคหน้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องพึ่งพาพวกเจ้า หลังจากนี้ก็สามารถเข้าออกเรือนนี้ได้ทุกเมื่อ หากอยู่กันอย่างปลีกแยก ก็มิสามารถทำเรื่องนั้นให้ดีได้”

เจ้าเด็กคนนี้กำลังซื้อใจคน ซูม่อคิดเยี่ยงนั้น

แต่ฟู่เสี่ยวกวนหาได้กำลังซื้อใจคนไม่ เขาชอบเกษตรกรเหล่านี้ด้วยใจจริง จนถึงขั้นรู้สึกเป็นกันเองอย่างมาก เพราะโลกก่อนหน้านั้นเขาก็เป็นเพียงคนชนบท ทั้งยังทานข้าวจากร้อยครัวเรือนภายในหมู่บ้านจนเติบใหญ่

เขาชื่นชอบความเรียบง่ายของเกษตรกรเหล่านี้ และมิเคยรู้สึกว่าพวกเขานั้นด้อยกว่าตน ถึงแม้พวกเขาจะทำการเกษตร แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน นั่นเป็นเพียงการแบ่งงานทางสังคมที่มิเหมือนกัน มิใช่คนชั้นต่ำแต่อย่างใด

 “เป็นเยี่ยงนี้…” ฟู่เสี่ยวกวนรินชาพลางเล่าไปด้วย “ข้าต้องการหาข้าวเยี่ยงนี้ในทุ่งนา ยามที่ออกดอก มีข้าวจำนวนน้อยนักที่ไม่สามารถออกดอกได้ หรือเรียกได้ว่ามิสามารถผลิตละอองเกสรได้ตามปกติ ข้ามิรู้ว่าพวกเจ้าเคยสังเกตถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่…”

“ที่คุณชายกล่าวมา… ใช่ป้ายจึหรือไม่ขอรับ? (ไม่ใช่หญ้าปล้องละมาน)”

ผู้ที่กล่าวคือหวางเอ้อบุตรชายของหวางเฉียง

 “มา ๆ เจ้าอธิบายลักษณะของป้ายจึหน่อยว่าเป็นเยี่ยงไร?”

 “มัน…” หวางเฉียงเหลือบมองหวางเอ้อบิดาของเขา กลัวว่าตนเองจะพูดผิดหรือมิใช่สิ่งที่คุณชายกล่าวมา “มิเป็นไร เจ้าว่ามา กล้าที่จะกล่าว ภายภาคหน้าพวกเจ้าจงจำไว้ อยู่กับข้า อยากจะกล่าวอันใดก็กล่าวเยี่ยงนั้น แม้จะบอกว่าแม่หมูบ้านใครออกลูกมา 17 ตัวก็ยังได้”

ทั้งห้าคนต่างยิ้มขึ้นมาอย่างซื่อ ๆ บรรยากาศก็มิได้หนักอึ้งอีกแล้ว

 “ก็คือต้นกล้าชนิดหนึ่ง มีบางดอกที่บานออก และมีบางดอกนั้นไม่บานออก ท้ายที่สุดก็จะมิออกรวงข้าว”

 “ก็คือสิ่งนี้แหละ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตบเข่าฉาด “เจ้ามีนามว่าอะไร?”

“หวางเฉียง เขาเป็นบิดาข้า”

 “เรื่องนี้มอบให้เจ้าและบิดาของเจ้า เพียงแค่หาของสิ่งนั้นให้เจอ โครงการในอนาคตข้าจะให้เจ้ารับผิดชอบ”

หวางเฉียงอ้าปากกว้าง ในใจของหวางเอ้อพลันดีใจอย่างยิ่ง อีกสามคนเองก็มองและหัวเราะไปกับหวางเฉียงด้วย ช่างเป็นภาพบรรยากาศที่อบอุ่นยิ่งนัก

 “หลังจากที่พวกเจ้าหาสิ่งนั้นจนพบแล้วอย่าได้ดึงมันออกมา และทำเครื่องหมายเตือนเอาไว้ หลังจากนั้นข้าจะบอกพวกเจ้าว่าจะต้องจัดการเยี่ยงไร พยายามค้นหาสิ่งนี้ให้ได้มากที่สุด มิจำเป็นต้องจำกัดอยู่ในทุ่งนา 10 หมู่นี้ ในเขตหนึ่งร้อยลี้นี้เป็นทุ่งของตระกูลข้าทั้งสิ้น พวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเข้าไปหา ข้าเป็นคนกล่าวเอง แต่ข้าจำต้องตักเตือนอย่างหนึ่ง การหาสิ่งนี้มีความยากลำบาก โชคไม่ดีก็อาจจะหามิพบเลยแม้แต่ชนิดเดียว แต่มิเป็นไร อย่าได้ท้อถอยเป็นพอ”

เกษตรกรทั้งห้าคนออกจากเรือนไป ฟู่เสี่ยวกวนเดินวนไปวนมาใต้ร่มไม้ ชุนซิ่วมิเข้าใจการกระทำของคุณชายเลยแม้แต่นิด ซูม่อและจางเช่อต่างก็เป็นเช่นกัน

“ไปเถอะ พวกเราไปดูที่ทุ่งนากัน”