ตอนที่ 36 หนุ่มน้อยกลางคันนา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 36 หนุ่มน้อยกลางคันนา

ท้องฟ้าสีครามไม่มีแม้แต่ก้อนเมฆสีขาวเลยสักก้อน

แม้เวลาบ่ายคล้อยที่ดวงอาทิตย์เอนเอียงไปยังทิศตะวันตกแล้ว แต่ความร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วนั้นหาได้ลดลงไม่

“เจ้าควรกางร่มเสียหน่อย มิเช่นนั้นอาจถูกแดดแผดเผาเสียจนผิวไหม้เอาได้”

“คุณชายเองยังไม่กางร่ม ข้าน้อยเป็นเพียงบ่าวจักบังอาจได้อย่างไร?”

“ข้ากับเจ้านั้นแตกต่างกัน ข้าเป็นชายหากผิวคล้ำบ้างสักเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจและมีความเป็นชายเพิ่มมากขึ้น หากแต่เจ้า ถ้าถูกแดดเผาเสียดำคล้ำ ต่อไปจะหาคู่ครองได้อย่างไร?”

ชุนซิ่วจากเดิมที่ถูกแดดเผาเสียจนหน้าแดง บัดนี้หน้าของนางได้แดงระเรื่อขึ้นอีก “ข้ามิอยากออกเรือน ข้าต้องการปรนนิบัติรับใช้คุณชายและฮูหยินตลอดชีวิต”

 “เจ้าอย่าทำเป็นเอ่ยส่งเดชไป หากเจ้ารู้สึกชอบพอใครจงบอกข้ามา ไม่ว่าจักเป็นผู้ใด ข้าจะเป็นผู้ดำเนินการให้เจ้าเอง”

……

……

ซูม่อแอบฟังด้วยความสนใจ บัดนี้เขารู้แล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากผู้คนทั่วไป

หากเขารู้แต่แรกว่าจะเป็นเยี่ยงนี้  เขาคงไม่ต่อสู้กับไป๋ยู่เหลียนให้เสียเวลา

เมื่อได้กลับมายังท้องทุ่งนาอีกครั้ง ฟู่เสี่ยวกวนช่างมีความสุขยิ่งนัก คล้ายกับได้ย้อนกลับมาใช้ชีวิตวัยเด็กที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในชาติก่อน กลับไปยังยุคสมัยที่สามารถปล่อยให้วัว หมูและเป็ดไก่ออกหากินได้ตามธรรมชาติ

เขาดีใจเสียจนอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงออกมา

เดินอยู่บนถนนในชนบท

มีวัวแก่เป็นเพื่อนร่วมทางของข้า

ท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาวผ่องสว่างอยู่กลางทรวง

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า สีสันสดใสราวสายรุ้ง

……

……

ซูม่อและชุนซิ่วไม่เข้าใจในทำนองที่เขาเอ่ยร้องออกมา แต่……เนื้อหาช่างไพเราะยิ่งนัก ชุนซิ่วที่เดินนำหน้าคุณชายภายในใจนางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ซูม่อมองดูชายหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้าแล้วจึงปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าเขาขึ้นเป็นครั้งแรก

ข้างคันนามีชาวนาบางคนถือถังปุ๋ยคอกอยู่ในมือ บางคนกำลังตรวจดูต้นกล้าของพวกเขา บางคนกำลังรดน้ำปุ๋ยคอกในแปลงที่ตนดูแลอยู่

ใกล้จะออกดอกแล้ว ช่วงเวลานี้ต้นข้าวต้องการปุ๋ยบำรุงมากยิ่งนัก

บัดนี้หวางเอ้อและหวางเฉียงบุตรชายของเขาอยู่ในทุ่งนาด้วย พวกเขาเงยหน้าขึ้นมา และพบว่าผู้ที่อยู่กลางคันนานั้นคือนายน้อยของพวกเขานั่นเอง

“คุณชายมาได้อย่างไรกัน?รีบขึ้นไปเสียเถิด”

หวางเอ้อและหวางเฉียงเร่งรีบขึ้นมาจากท้องนาเสียจนไม่ได้ดูว่าร่างกายยังคงเต็มไปด้วยดินโคลน

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นพวกเขาจึงได้โบกมือทักทาย

หวางเฉียงดีใจยิ่งนัก เขานั้นมักกล่าวกับบิดาของตนว่าคุณชายผู้นี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไป บัดนี้เขายิ่งเพิ่มความมั่นใจกับความคิดของเขายิ่งนัก

ดังนั้นเขาจึงถอดหมวกฟางออกแล้วโบกมันไว้ในมือและตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “คุณชายน้อย คุณชายน้อยมาเยี่ยมพวกเราด้วยละ”

บรรดาชาวนาเหล่านั้นจึงได้ยืดหลังขึ้นตรง และมองมายังชายหนุ่มที่เดินอยู่บนคันนา

คุณชาย?

เขาเป็นผู้สูงส่งยิ่งนัก!

เหตุใดจึงมายังที่สกปรกและเต็มไปด้วยดินโคลนเพื่อมาดูพวกเรากัน!

 “เป็นคุณชายจริง ๆ เมื่อครู่ข้าเองเพิ่งได้พบเจอเขา เขานั้นช่างไม่เหมือนผู้ใดเสียจริง” จ้าวอีซานหนึ่งในเกษตรที่เคยเดินทางไปเรือนซีซานเอ่ยขึ้น

ทุกคนล้วนประหลาดใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าคุณชายผู้สูงส่งตากแดดมายังที่แห่งนี้เพื่อเหตุอันใด

หวางเอ้อรีบล้างไม้ล้างมือ เขายืนถือกาน้ำชาแล้วลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินมาถึงตัวเขาเสียก่อน

 “ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่แวะมาดูเท่านั้น ที่จริง……” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยออกไปว่าแท้จริงแล้วตัวเขาเองก็อยากมาดูแลต้นพืชเหล่านี้ด้วยตนเอง เขาเพียงเอ่ยออกไปว่า “ดูจากการเจริญเติบโตแล้วไม่เลวทีเดียว แต่ต้นกล้าคล้ายกับแน่นชิดไปเล็กน้อย”

หวางเอ้อไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าต้นกล้าคือสิ่งใด แต่ความหมายโดยรวมนั้นเขาเข้าใจมันดี

 “หากระยะห่างมากกว่านี้ แต่ละต้นจะให้ผลผลิตที่น้อยลง แต่หากนับจากผลผลิตทั้งหมดอาจลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ”

 “อืม ตอนนี้ใช้หลักการเพาะปลูกจากประสบการณ์ของพวกเจ้าไปก่อน”

คำว่าตอนนี้ของเขานั้น หวางเอ้อมิได้ใส่ใจ เขาชี้ไปยังท้องนาแล้วกล่าวว่า “ผลผลิตในปีนี้ดียิ่งนัก คาดว่าหนึ่งหมู่จักได้ผลผลิตมากกว่าปีที่แล้วถึงหนึ่งส่วน”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงที่ขอบคันนา ชุนซิ่วตกใจเสียยกใหญ่ ซูม่อเองก็เช่นกัน ส่วนหวางเอ้อและหวางเฉียงนั้นยิ่งมิต้องเอ่ยถึง

 “พวกเจ้าทำการเพาะปลูกไปกี่หมู่แล้ว?”

หวางเอ้อและหวางเฉียงนั่งลงตามฟู่เสี่ยวกวน แล้วตอบว่า “ทั้งบ้านข้าปลูกแล้ว 32 หมู่ มีผู้ช่วยเพาะปลูกทั้งสิ้น 4 คน ภรรยาข้านั้นมีความสามารถยิ่งนัก อีกทั้งลูกชายคนที่สองเมื่อไม่นานมานี้ช่างไม้เฝิงได้รับคำสั่งจากคุณชายให้คัดหาคนงานจำนวนหนึ่งไปทำงานยังภูเขา ข้าเองลองคิดดูว่าทางนี้ไม่ได้ยุ่งสักเท่าไหร่ จึงให้ลูกชายคนที่สองออกไปทำงาน ได้รับค่าจ้างวันละ 20 อีแปะ ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณชายท่านมีความกรุณา”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “นาเหล่านี้ผลผลิตแต่ละปีเป็นเยี่ยงไร?แต่ละปีเหลือผลผลิตให้พวกเจ้าเท่าไหร่?”

หวางเอ้อครุ่นคิดชั่วครู่ เขากำลังจะวางแก้วลง แต่กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนรับไปดื่ม สีหน้าของเขามิได้มีสิ่งใดแปลกไป

หวางเอ้อตกตะลึง เขาคำนวณอยู่ในใจแล้วเอ่ยว่า “ในปีนี้ข้าวสาลีมีผลผลิตดีทีเดียว 1 หมู่ได้ผลผลิตประมาณ 140 ชั่ง  ส่วนธัญพืชนั้นในปีกลายหนึ่งหมู่มีผลผลิตประมาณ 220 ชั่ง ในปีนี้คาดว่าจะได้ถึง 260 หรือ 280 ชั่งทีเดียว”

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบแก้วขึ้นมาแล้วดื่มอีกคำหนึ่ง เขากำลังคำนวณอยู่ในใจ

บิดาของเขาบอกว่าจะได้ส่วนแบ่งในอัตรา 2 ส่วน หวางเอ้อมีข้าวสาลี 1,400 ชั่ง สองส่วนนั้นก็เท่ากับ 280 ชั่ง

หากนับตามผลผลิตในปีกลาย หวางเอ้อได้ผลผลิตธัญพืช 7,000 ชั่ง สองส่วนก็เท่ากับ 1,400 ชั่ง หากเป็นเช่นนี้ก็นับว่าเพียงพอต่อการกิน

“ขายไปเท่าไร?”

 “ข้าวสาลีนั้นโดยมากเก็บเอาไว้ ส่วนธัญพืชขายไปกว่าครึ่ง เนื่องจากต้องมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามคับขันจำนวนหนึ่ง ลูกชายทั้งสองถึงวัยต้องมีภรรยา อีกทั้งบ้านของข้านั้นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม ข้าจักต้องสร้างบ้านให้ลูกชายคนโตเสียก่อน เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะสู่ขอลูกสาวบ้านตระกูลจางที่ชุนตงโถว ปลายปีนี้จะจัดพิธีแต่งงานขึ้น จากนั้นค่อยเริ่มเก็บเงินเสียใหม่ ลูกชายคนเล็กก็อายุได้ 16 ปีแล้ว อีก 2 ปีก็ควรมีครอบครัวเช่นกัน”

เรื่องราวเหล่านี้ฟู่เสียวกวนได้ยินแล้วช่างรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก แต่เขายังคงเอ่ยถามรายละเอียดต่อไป

 “เช่นนั้นพวกท่านมีอาหารพอกินกันหรือไม่?”

 “ภรรยาข้านั้นจัดการดูแลได้ดียิ่งนัก นางใช้พื้นที่เล็กน้อยข้างเรือน เมื่อถึงฤดูกาลก็จะทำการเพาะปลูกข้าวฟ่าง ฟักทอง หัวไชเท้าและผักอื่น ๆ อีกทั้งเลี้ยงหมูสองตัวกับเป็ดไก่ พวกข้ามีชีวิตการกินอยู่ดีกว่าแต่ก่อนมากเสียจริง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบุญบารมีของคุณชายโดยแท้ ที่ทำให้พวกข้าได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้”

ซูม่อมองดูอาทิตย์ตกดินและเงาของชายหนุ่มผู้นั้น หากเปรียบผืนนาแห่งนี้เป็นผืนผ้า คงเป็นภาพวาดที่งดงามเสียจริง ภาพของชายหนุ่มที่มิได้นิ่งเฉย แต่มีความกระตือรือร้น หลอมรวมไปกับรูปภาพนี้โดยไม่ถือตัวระหว่างตนกับชาวนา

จากนั้นทั้งสองได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมาย ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจยิ่ง เมื่อครั้นแยกจากกัน ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยว่า ยามที่หวางเฉียงแต่งภรรยาให้ส่งข่าวไปยังเขาด้วย หากตัวเขามิได้อยู่ที่เรือนซีซานก็จงให้ผู้ดูแลจางส่งจดหมายไปถึงเขา

หวางเฉียงนั้นดีใจยิ่งนัก เพียงแต่หวางเอ้อรู้สึกว่าคุณชายผู้สูงส่งมิควรเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงต่ำต้อยร่วมกับพวกเขา

คุณชายคือผู้จัดการเรื่องใหญ่โต เรื่องเล็กน้อยในครอบครัวเช่นนี้ เขามิควรนำมันมาใส่ใจ

เมื่อลุกขึ้นจึงใช้มือปัดดินโคลนที่ติดตามเสื้อผ้า จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยลาสองพ่อลูก อีกทั้งโบกมืออำลาชาวนาคนอื่น ๆ แล้วเดินไปยังเรือน

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เงาของเขานั้นทอดยาวขึ้นเรื่อย ๆ

ระหว่างเดินทางกลับนั้นฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยคำใดออกมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อถึงเรือนซีซานเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้หวายมองดูท้องฟ้าสีครามนั่น และยังมิได้เอ่ยคำใดออกมา

ชุนซิ่วเห็นดังนั้นจึงรู้สึกเป็นกังวล นางถือน้ำชาเดินเข้ามาเอ่ยถามว่า “คุณชายมีเรื่องไม่สบายใจอันใดหรือเจ้าคะ?”

ฟู่เสี่ยวกวนรับน้ำชามายกขึ้นดื่ม ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “แท้จริงแล้วข้ายังสามารถทำเพื่อพวกเขาได้มากกว่านี้เสียอีก……”

ซูม่อมองดูฟู่เสี่ยวกวน ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนพูดขึ้นอีกครั้งว่า “หากต้องการให้พวกเขามีผลผลิตที่มากขึ้นนั้น ก่อนอื่นต้องปลดปล่อยพวกเขาออกจากผืนนานั่น จากนั้นจักเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ในภายหลัง จากเดิมข้าเพียงต้องการทำเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น เห้อ……!”

เขาถอนหายใจยาว