บทที่ 70 คืนหนี้หมดแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 70 คืนหนี้หมดแล้ว

นางมองแผ่นแป้งข้าวโพดหยาบผสมผักป่า แล้วยื่นมือไปหยิบมา 3 แผ่น

จางอวี่หมินตาโตและเอ่ยอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าทำอะไรน่ะ?”

“ข้าจะไปแล้วน่ะสิ!” จางซิ่วเอ๋อกลอกตามองบน จางอวี่หมินไม่มีตาเหรอ? ตนเองทำอะไรนางถึงดูไม่ออก?

“เจ้าเอาแผ่นแป้งไปทำไม? เจ้ากินคนเดียวยังไม่พอ? ยังจะนำกลับไปด้วยเหรอ?” จางอวี่หมินเอ่ยเสียงโกรธเกรี้ยว

แผ่นแป้งข้าวโพดนี่มีไม่มากนัก จางซิ่วเอ๋อกลับหยิบไป 3 แผ่น ทุกคนกินไม่อิ่มแน่

จางซิ่วเอ๋อจงใจหยิบไป นางไม่ได้อยากได้แผ่นแป้งนี่หรอก แต่อยากให้คนพวกนี้เจ็บใจ ส่วนจะกินอิ่มหรือไม่นั้น เกี่ยวอะไรกับนาง?

ถึงนางไม่เอา หลังจากที่ตัวเองไปแล้ว แม่โจวกับซานหยาก็ไม่ได้กินแผ่นแป้งนี่อยู่ดี! และนางไม่ปล่อยให้แม่โจวและซานยาหิวหรอก อีกเดี๋ยวค่อยแอบเอาของกินกลับมาให้ซานหยาก็ยังได้

จางซิ่วเอ๋อมองจางอวี่หมินด้วยความฉงน “ท่านอาเล็ก เมื่อครู่นี้พวกท่านบอกว่าให้ข้าอยู่กินข้าวที่นี่ แล้วค่อยเอากลับไปให้ชุนเถาไม่ใช่เหรอ? ข้าไม่นำกับข้าวกลับไปให้ชุนเถาแต่หยิบแผ่นแป้งแค่ 3 แผ่นนี่กลับไป ก็ถือว่าไม่มากนี่?”

จางอวี่หมินสะอึกจนพูดไม่ออก เพราะนางไม่ได้คิดว่าจะให้จางซิ่วเอ๋อนำของกินกลับไปให้จางชุนเถากินจริง ๆ เวลานี้จึงลืมเรื่องนี้ไป ถึงได้คาดคั้นจางซิ่วเอ๋อ

“หรือพวกท่านไม่เป็นห่วงชุนเถา? พวกท่านจะรักแต่ข้า อยากดูแลตำลึงเงินให้แต่ข้า แล้วไม่รักชุนเถาไม่ได้นะ ชุนเถาก็เป็นสายเลือดตระกูลจางของเราเหมือนกัน! ต้องรักให้เท่า ๆ กันสิ” จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ

แม่เฒ่าจางเห็นจางซิ่วเอ๋อย่ำเท้าออกไปก็นิ่งไม่ไหวแล้ว ส่งเสียงแหลมขึ้นไปอีก “เจ้าพูดกับข้าให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยกลับ เจ้าเอาตำลึงไปใช้กับอะไรหมด! ไม่อย่างนั้นเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ไป!”

จางซิ่วเอ๋อชะงักฝีเท้า หันกลับมามองแม่เฒ่าจางอย่างไม่เข้าใจ “ท่านย่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? ที่ว่าถ้าข้าพูดไม่ชัดเจนแล้วห้ามกลับ?”

จางซิ่วเอ๋อพูดไปน้ำเสียงก็เย็นเยือกลง

แม่เฒ่าจางกระแอมเบา ๆ ชำเลืองมองจางต้าหู

จางต้าหูจึงเอ่ยขึ้น “ท่านย่าเจ้าก็แค่ร้อนใจกลัวว่าเจ้าจะโดนหลอก! เจ้ารีบบอกมาว่าใช้ตำลึงไปกับอะไรจนหมด? ถ้ามีคนหลอกตำลึงเจ้าจริง ๆ เจ้าก็พูดออกมา พวกเราจะช่วยเจ้าเอง!”

จางซิ่วเอ๋อเม้มปากเงียบไปครู่หนึ่ง มองทุกคนและเอ่ยขึ้น “พวกท่านคงไม่ได้ลืมไปแล้วใช่ไหม?”

แม่เฒ่าจางงงกับคำพูดไม่มีที่มาที่ไปของจางซิ่วเอ๋อ “ลืมอะไร?”

“พวกท่านคงลืมแล้วสินะ ว่าตอนนั้นที่ชุนเถาโหม่งกำแพงแล้วให้ท่านหมอมารักษา ต้องใช้ไปตั้ง 10 ตำลึงเงินกว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้” จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจ ราวกับสิ้นไร้เรี่ยวแรง

คนด้านนอกที่ล้อมวงกันอยู่ได้ยินดังนั้นก็อดสงสารขึ้นมาในใจไม่ได้

นึกว่าจางซิ่วเอ๋อมี 15 ตำลึงเงินแล้วจะได้มีชีวิตสุขสบาย สรุปยังมีหนี้อยู่อีก 10 ตำลึงเหรอ เรื่องนี้ตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านเห็นกับตา ต้องไม่ผิดแน่!

ทุกคนรู้ก็เพราะแม่เฒ่าซ่งเป็นคนพูดเอง

หมู่บ้านเล็ก ๆ ในภูเขาก็เป็นเช่นนี้ พูดแบบหยาบคายก็คือ หากมีคนผายลมในหมู่บ้านฝั่งตะวันออก คนฝั่งตะวันตกก็ยังได้ยิน

เรื่องของตระกูลจางลือกันไปทั่วหมู่บ้านแล้ว ย่อมไม่ตกหล่นเรื่อง 10 ตำลึงเงิน เรื่อง 10 ตำลึงเงินนี้ก็เป็นจุดสำคัญ ไม่อย่างนั้นแม่เฒ่าจางจะยอมให้จางซิ่วเอ๋อพาคนไปง่าย ๆ ได้อย่างไร

แม่เฒ่าจางมองจางซิ่วเอ๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าใช้ 10 ตำลึงเงินไปแบบนี้น่ะเหรอ?”

จางซิ่วเอ๋อถามกลับ “หรือท่านย่าจะเบี้ยวล่ะเจ้าคะ? ตอนนั้นที่ท่านหมอเมิ่งช่วยชุนเถาก็เพราะเขาใจดีมีเมตตา ค่ายาหลังจากนั้นท่านหมอเมิ่งก็ออกเอง ข้ามีตำลึงแล้วก็ต้องคืนสิ”

“แล้ว 5 ตำลึงที่เหลือล่ะ?” แม่เฒ่าจางจี้ถาม

มีแต่ฟ้าที่รู้ว่าตอนนางได้ยินคนผลาญเงินอย่างจางซิ่วเอ๋อพูดว่าคืนหนี้ 10 ตำลึงเงินไปแล้ว นางก็ปวดใจราวกับหัวใจถูกกรีดจนเลือดไหล

10 ตำลึงเงินเชียวนะ ขายชีวิตต้อยต่ำของสองพี่น้องไปยังไม่ได้ 10 ตำลึงเงินเลย!

จางซิ่วเอ๋อมองแม่เฒ่าจางด้วยสีหน้าโศกเศร้า “ 5 ตำลึงที่เหลือก็ต้องใช้รักษาชุนเถาน่ะสิเจ้าคะ สถานการณ์ชุนเถาตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง ยาที่ใช้ก็แพงมาก ข้าต้องซื้อของที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ จึงเก็บไว้เพียงตำลึงเดียว อีก 4 ตำลึงที่เหลือเอาไปซื้อยาให้ชุนเถา…..”.

พูดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็ชะงักไป “นี่ยังไม่พอนะเจ้าคะ ท่านหมอเมิ่งบอกว่าอาการชุนเถาหนักมาก ถ้าจะให้หายดีต้องใช้อีก 8 ตำลึงเงิน”

ทุกคนได้ยินก็ถอนหายใจ นี่คำนวณดูแล้วจางซิ่วเอ๋อไม่ได้อะไรเลย คืนค่ารักษาก่อนหน้านี้ไปแล้ว ตอนนี้ก็ต้องคิดค่ารักษารอบใหม่

จางซิ่วเอ๋อไม่กล้าพูดว่าเงินนี่เอาไปใช้หนี้จนหมด ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าแม่หลินจะหาเรื่องอะไรอีก

แต่พอนางพูดแบบนี้ ก็เท่ากับแค่รักษาจางชุนเถาก็ใช้ไปแล้ว 12 ตำลึง เป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าตระกูลสวี่ให้เกินมาแค่ 3 ตำลึงเงินเอง สำหรับคนนอกแล้ว การที่พวกเขาเกือบจะคร่าชีวิตของชุนเถาไป ชดใช้ 3 ตำลึงเงินไม่ถือว่ามากเกินไปเลย

“วันนี้เจ้าซื้อของมากมายขนาดนั้น กลับใช้ไปแค่ตำลึงเดียวรึ?” จางอวี่หมินกังขา

จางซิ่วเอ๋อลอบรำพึงในใจว่าจางอวี่หมินนี่หัวแหลมไม่น้อย จึงกล่าวต่อ “ข้าซื้อของมามากก็จริง แต่ตะกร้าสานที่ข้าซื้อมาอันละไม่กี่เหรียญ โถที่ข้าซื้อก็ 2-3 เหรียญ ของพวกนี้ดูเหมือนมาก แต่ก็เป็นพวกของใช้ในบ้านที่ไม่มีมูลค่าอะไร”

“เจ้าติดดอกไม้บนหัวด้วย! เจ้าไม่มีเงินยังจะติดดอกไม้อีก! ทั้งยังซื้อเสื้อผ้าใหม่อีก!” จางอวี่หมินตำหนิเสียงโกรธเกรี้ยว

จางซิ่วเอ๋อเอ่ยเสียงเย็น “ขอบคุณท่านอาเล็กที่เป็นห่วง แต่ข้าได้ยินว่าตั้งแต่ที่ข้าออกจากบ้านตระกูลจางมา ท่านอาเล็กก็ตัดเสื้อผ้าข้าขาดเป็นชิ้น ๆ หมด ข้าไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่ซื้อเสื้อผ้าแล้วจะรอให้ท่านเอาเสื้อมาให้ข้ายืมรึ?”

“ส่วนดอกไม้บนหัวนี่ก็แค่ 10 เหรียญ ข้ายอมกินข้าวน้อย ๆ แล้วเอาเงินไปซื้อมาติด ก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าใช่ไหม?” จางซิ่วเอ๋อมองจางอวี่หมินอย่างเย้ยหยัน

จางอวี่หมินสีหน้าแข็งทื่อไป นางลอบขบฟันกรอด แค้นจนอยากจะพุ่งเข้าไปกัดจางซิ่วเอ๋อให้เนื้อหลุด

จางซิ่วเอ๋อเอ่ยเสียงดัง “ในเมื่อทุกคนเป็นห่วงข้าขนาดนี้ กลัวว่าชีวิตข้าจะลำบาก ตามที่ท่านย่าพูดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านก็ช่วยเหลือข้าหน่อยสิ? ข้าไม่ขออะไรมาก แค่แบ่งแป้งข้าวโพดถุงเล็ก ๆ ให้ข้าก็พอ ข้ากับชุนเถากินอย่างประหยัดก็น่าจะกินกันได้พักหนึ่ง”

สีหน้าแม่เฒ่าจางเปลี่ยนไปทันที!

คิดไม่ถึงว่าตัวขาดทุนนี่นอกจากจะไม่มีเงินแล้ว ยังหมายตาของในบ้านด้วย

นางเอ่ยเสียงกราดเกรี้ยว “ไสหัวไปซะ! หลังจากนี้อย่าเหยียบเข้าบ้านตระกูลจางอีก!”

จางซิ่วเอ๋อตอบกลับทันที “ท่านย่าพูดเองนะเจ้าคะ งั้นข้าไปล่ะ”

จางซิ่วเอ๋อจากไปในทันที ก่อนไปไม่ลืมส่งสายตาให้จางซานหยา สองพี่น้องรู้ใจกันอยู่บ้าง จางซานหยาจึงพยักหน้าเล็กน้อย กินแผ่นแป้งต่อเงียบ ๆ

ของนี่ไม่กินก็เสียของ จะเอาแต่กินของพี่ใหญ่ไม่ได้

แม่เฒ่าจางเห็นภาพนี้แล้วโมโหขึ้นมา แย่งแผ่นแป้งในมือจางซานหยา “กินอะไรอีก! ไม่รีบไปสับผักป่าเอาไปให้เป็ดไก่กิน!”

………………………………………………