บทที่ 59 สุกร บน กลาง ล่าง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“นี่มันอลังการเกินไปแล้ว ต้องใช้ศิลาวิญญาณไปมากเพียงไร?” จินเฟยเหยายืนอยู่หน้าลานประลองเป็นตายที่สร้างขึ้นใหม่ เงยหน้าขึ้นมองอาคารหรูหราประณีต

ลานประลองเป็นตายกินพื้นที่ประมาณหกร้อยหมู่ มีรูปร่างสี่เหลี่ยม ตรงมุมทั้งสี่มีหอสูงใหญ่ ประตูหอหลังหนึ่งสลักร้อยสรรพสัตว์ตั้งอยู่ตรงทางเข้า ด้านซ้ายและขวาต่างมีสัตว์กวักเงินกวักทองที่สลักจากศิลาวิญญาณตัวหนึ่ง อ้าปากกว้างเหยียบเมฆตรวจสอบกระเป๋าเงินของผู้บำเพ็ญเซียนที่เข้าออกด้วยท่าทางสูงศักดิ์

บนกำแพงศิลาสีขาวหิมะ มีคันฉ่องจันทราวารีสูงเกือบสองจั้งกว้างหนึ่งจั้งครึ่งบานหนึ่ง กระพริบอัตราเดิมพันและรายชื่อผู้บำเพ็ญเซียนที่กำลังจะขึ้นเวทีอย่างต่อเนื่อง รอจนเริ่มการประลอง ที่นี่ก็จะบันทึกภาพการประลองภายใน ลานออกมา ดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนภายนอกให้เข้ามาลงเดิมพัน

จินเฟยเหยาเป็นผู้เข้าประลอง ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายเงินเข้าลานประลอง แค่แสดงป้ายประลองก็เข้ามาในลานประลองเป็นตายได้อย่างราบรื่น สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุคือระเบียงที่นำไปด้านซ้ายและขวา สิ่งที่ปูพื้นคือพรมขนยาวอันหรูหรา บนพื้นที่ว่างริมระเบียงมีสระน้ำอันงดงามซึ่งมีน้ำไหลจากภูเขาเล็กๆ และในสระยังปลูกพืชวิญญาณน้ำชั้นยอด

บนระเบียงทุกระยะห่างห้าก้าวจะมีหินแสงราตรีสลักรูปดอกไม้และใบไม้ประดับตกแต่ง ต่อให้เป็นยามค่ำคืนก็สามารถสาดส่องลานประลองเป็นตายให้สว่างได้ ส่วนสาวงามที่คอยนำทางด้านในทั้งหมดล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีหน้าตาสวยหวานที่สวมชุดเป็นการเป็นงาน

วันนี้เป็นการประลองรอบแรก ยังไม่ถึงรอบจินเฟยเหยาชั่วคราว นางและผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากถือป้ายที่มีอักษรขวาเขียนไว้ที่ได้รับตอนเข้าประตู เดินไปทางระเบียงด้านขวา เดินไปไม่ไกลนัก เบื้องหน้ามีบันไดขึ้นไปชั้นบนปรากฏ หอชมการประลองสูงสิบสองชั้นหลังหนึ่งปรากฏเบื้องหน้า

จินเฟยเหยาเดินขึ้นบันไดไปด้านบน แต่ละชั้นที่ขึ้นไปเห็นข้างบันไดทั้งหมดเป็นแท่นราบที่กั้นด้วยกำแพงไม้แกะสลัก ส่วนอัฒจันทร์ด้านตรงข้ามก็มีหอชมการประลองแบบเดียวกัน และหอชมการประลองที่มีรูปแบบแตกต่างกันระหว่างหอชมการประลองทั้งสอง ทั้งหมดถูกกั้นเป็นห้องส่วนตัวแต่ละห้อง เป็นห้องสำหรับบรรดาคนร่ำรวยและมีอิทธิพลมาชมการประลองโดยเฉพาะ

หอชมการประลองธรรมดาทางด้านนี้สถานที่ชมการประลองไม่ค่อยกว้างขวาง ด้านหน้าเป็นราวกั้นอันงามประณีต ด้านหลังเป็นกำแพงฉลุลาย ภายในพื้นที่ชมการประลองแต่ละส่วนมีเก้าอี้ไท่ซือ[1]สลักลวดลายตัวหนึ่งและโต๊ะข้างเล็กๆ บนโต๊ะข้างจัดวางกระถางดอกไม้อันงดงามที่ปลูกกล้วยไม้หอมระรื่น

นั่งในพื้นที่ชมการประลอง สามารถมองเห็นเวทีรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ด้านล่างได้สบายๆ เพื่อให้สามารถใช้สอยได้นาน เวทีทั้งหมดล้วนหลอมสร้างจากศิลาถ้ำสวรรค์เหล็กนิล ตัวมันเองเป็นอาวุธเวทป้องกันชั้นยอดชิ้นหนึ่ง ขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะ สามารถป้องกันเวทีไม่ให้ถูกทำลายเสียหายโดยอัตโนมัติ

ขอเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมขึ้นไปไม่ปรากฏตัวมาต่อสู้ที่นี่ เวทีนี้ก็ทนทานพอจะให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนต่อสู้กันโดยไม่เสียหายได้ อย่างมากที่สุดก็แค่เกิดรอยแตกเล็กๆ อีกทั้งลานประลองเป็นตายยังเตรียมเวทีสำรองไว้ หลอมสร้างจากศิลาถ้ำสวรรค์เหล็กนิลเช่นเดียวกัน รับรองได้ว่าการต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะทุกรอบจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

รอบเวทีเป็นสนามหญ้าสีเขียวขจี บนกำแพงข้างสนามหญ้ามีทางเข้าออกจำนวนมาก บนสนามหญ้ายังมีศาลาเล็กยกสูงสิบกว่าแห่ง บนศาลาเล็กๆ แขวนม่านไม้ไผ่และจัดวางโต๊ะเก้าอี้ ตรงมุมจัดวางดอกไม้ เห็นได้ชัดว่าเป็นตำแหน่งอันดีเลิศ สามารถชมการต่อสู้ในระยะใกล้ได้

อีกทั้งผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละท่านที่มาชมการต่อสู้ ในหอชมการประลองธรรมดาทั้งหมดล้วนมีชาวิญญาณหนึ่งถ้วยและขนมหนึ่งจานรับรอง ถ้าอยู่นาน หอชมการประลองชั้นบนสุดยังมีสถานที่รับประทานอาหารซึ่งสามารถชมการต่อสู้ไว้รับรองด้วย สามารถรับประทานพลางชมการประลองของผู้บำเพ็ญเซียนด้านล่างได้

ในแต่ละชั้นยังมีผู้รับลงเดิมพันสิบคน เดิมพันชนะ สามารถขึ้นเงินรางวัลในหอชมการประลองได้ทันที สะดวกสบายอย่างยิ่ง จินเฟยเหยาหาที่ว่างนั่งลง ผู้รับรองคนงามที่อยู่ด้านข้างรีบส่งชาวิญญาณและปิ่ง[2]เป็นตายแสนอร่อยให้ทันที

ปิ่งเป็นตายเป็นปิ่งที่ทำขึ้นเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศที่นี่ ปิ่งเล็กๆ สี่ชิ้น ครึ่งหนึ่งสีขาวครึ่งหนึ่งสีแดง ชิ้นสีแดงเขียนอักษรเป็นสีขาวด้านบน ส่วนชิ้นสีขาวเขียนอักษรตายสีแดงหยาดโลหิตด้านบน

จินเฟยเหยามองปิ่งเล็กๆ สี่ชิ้น รู้สึกว่าเถ้าแก่ของที่นี่บ้าไปแล้ว สิ่งของเช่นนี้มองแล้วน่าขยะแขยง ผู้ใดจะกินลง

อีกทั้งจานก็มีรูปแบบเช่นนี้ ครึ่งหนึ่งสีขาวครึ่งหนึ่งสีแดง เขียนอักษรเป็นตายสองตัวเหมือนกัน ดูแล้วเป็นเรื่องมงคลและเรื่องอวมงคลรวมอยู่ในจานเดียวกันวางอยู่บนโต๊ะ รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง

นี่คือการเปิดกิจการวันแรกของลานประลองเป็นตาย นอกจากควักเงินจ่ายเข้ามาชมความครึกครื้นเองแล้ว ยังมีศิษย์หลายสำนักที่เข้าลานประลองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แขกในหอแขกผู้มีเกียรติทยอยกันมาตามเวลาประลองรอบที่หนึ่งที่ใกล้เข้ามา ในไม่ช้าก็เห็นภายในห้องส่วนตัวเหล่านั้นเต็มไปด้วยเงาคนส่ายไหว

เพิ่งถึงยามซื่อ[3] เหนือลานประลองเป็นตายจุดพลุส่องแสงแวววับจับตา พลุที่นี่ไม่เหมือนกับพลุในโลกมนุษย์ ที่จริงคือผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงขึ้นไปบนท้องนภาแล้วโยนเวทชั้นสูงที่มีลักษณะสวยงามออกมา

กลับช่วยลดเรื่องยุ่งยากได้มาก ดูแล้วรื่นรมย์ทั้งดวงตาทั้งจิตใจ จินเฟยเหยานั่งอยู่ที่ชั้นสาม ดื่มชาเงยหน้าดูพลุบนท้องฟ้า มีหงส์เพลิงตัวหนึ่งบินอยู่กลางอากาศ ใช้ร่างที่เป็นเปลวเพลิงเขียนอักษร ‘พอเปิดร้านก็โชคดี’ กลางอากาศ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ด้านล่างดูแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

การจุดพลุดำเนินไปเป็นเวลาจิบชาสองถ้วยเต็มๆ จินเฟยเหยาจึงพบปัญหาข้อหนึ่ง น้ำชาวิญญาณเติมน้ำไม่เสียเงิน ทว่ายังดูพลุไม่จบ น้ำชาก็ไร้รสชาติแล้ว อีกสักครู่จะทำอย่างไร ถามแล้วจึงได้รู้ว่า เปลี่ยนชาถ้วยใหม่แค่หนึ่งศิลาวิญญาณ ขนมก็ราคาเดียวกัน สามารถทำการค้าได้ถึงขั้นนี้ ช่างมีพรสวรรค์จริงๆ

จุดพลุหมดแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งสวมหมวกสีเงินบนศีรษะ เสื้อผ้าก็มีแสงสีเงินวิบวับ โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษเท้าเหยียบเมฆอันงดงามก้อนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางลานประลองเป็นตาย

จินเฟยเหยามองเขาอย่างตกตะลึง พูดจาสับสนอยู่บ้าง “เมฆ เมฆอันงดงามนี่มันเรื่องอะไรกัน คิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจะมีปรากฏการณ์เช่นนี้ หรือว่าเป็นภาพมายาอันยอดเยี่ยมในตำนาน?”

“ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ นี่คือสัตว์ภูติบินได้ที่พามาจากโลกระดับวิญญาณ เมฆรูปความคิด สหายเซียนท่านนี้ ข้าว่าเจ้าคงมาจากสถานที่อันห่างไกลสินะ ไปซื้อแผนภาพสัตว์ปิศาจชั้นสูงสักเล่มในร้านอวี้เจี่ยนก่อนดีกว่า” ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนขั้นฝึกปราณช่วงปลายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้นาง บนขามีสาวสวยขั้นฝึกปราณช่วงต้นสวมชุดเปิดเผยนั่งอยู่และพิงเรือนร่างอ่อนนุ่มลงบนร่างอวบอ้วน

มีที่นั่งชัดๆ กลับปล่อยว่างไม่นั่ง ต้องนั่งบนต้นขา จินเฟยเหยารู้สึกร้อนแทน ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนนั่งเหงื่อเปียกโชกอยู่ข้างนาง โอบสาวงามไว้แล้วเอ่ยกับจินเฟยเหยาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “สหายเซียนไม่ต้องขัดเขินไป อีกสักครู่มีตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามข้าได้ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณสหายเซียน ข้าเพิ่งออกมาจากในหุบเขาอันห่างไกล ไม่เข้าใจสิ่งแปลกใหม่เหล่านี้ ขอบคุณสหายเซียนที่ชี้แนะ ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ ตื่นตกใจเล็กน้อย”

“เรื่องใดทำให้สหายเซียนตื่นตกใจ ถามข้ามาได้เลย” ผู้บำเพ็ญเซียนร่างอ้วนหัวเราะฮาฮา กลับไม่รู้ว่าการกระทำของเขา ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านจำนวนไม่น้อยเกิดความไม่พอใจ เป็นไปได้ว่าเขารู้ชัดๆ ว่าผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านเห็นเขาเกะกะลูกตา กลับไม่สนใจสายตาของผู้อื่น ขอแค่ตนเองมีความสุขก็พอ

จินเฟยเหยาอดถามไม่ได้ “สหายเซียน ตอนนี้อากาศร้อนยิ่ง เจ้านั่งเบียดกันแบบนี้ไม่ร้อนหรือ ข้าเห็นเจ้าเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว”

“ไม่ร้อนๆ ข้าไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด ข้าชอบให้ภรรยานั่งอยู่บนร่างของข้าแบบนี้ ไปยังที่ใดนางก็นั่งเช่นนี้ เคยชินแล้ว” ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“อ้อ เช่นนั้นก็ขอบคุณสหายเซียนที่ช่วยคลายความสงสัยในใจข้า การประลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าไม่รบกวนสหายเซียนชมการประลองล่ะ”

จินเฟยเหยาไม่คิดจะสนใจเขาอีก ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนดูเหมือนจะรออยู่นานจึงหาโอกาสสนทนาได้ ไม่สนใจว่านางจะฟังหรือไม่ เมื่อเริ่มสนทนาแล้วหยุดไม่ได้

เขาชี้ไปที่ผู้บำเพ็ญเซียนหมวกสีเงินที่บินอยู่กลางอากาศอย่างตื่นเต้น อธิบายอย่างกระตือรือร้น “สหายเซียนเห็นผู้บำเพ็ญเซียนที่บินอยู่กลางอากาศหรือไม่? นั่นเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ทำหน้าที่ตัดสิน เสื้อผ้าบนร่างจัดทำขึ้นให้พวกเขาสวมโดยเฉพาะ ในเมื่อเป็นผู้ตัดสินการประลองเป็นตาย ย่อมไม่อาจสวมเสื้อผ้าพื้นๆ ได้”

“เหตุใดสหายเซียนจึงรู้กระจ่างขนาดนี้” จินเฟยเหยาถูกคำพูดของเขาดึงดูดความสนใจขึ้นมา

ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนเอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “เสื้อผ้านี้จัดทำขึ้นที่บ้านข้า สั่งตัดห้าสิบชุด แต่ละชุดราคาหนึ่งพันศิลาวิญญาณ”

ที่แท้เปิดร้านหลอมอาวุธ จินเฟยเหยาพยักหน้า สามารถทำให้ลานประลองเป็นตายไปสั่งทำเสื้อผ้าได้ ย่อมต้องไม่ใช่ร้านเล็กๆ ที่ทำให้นางคิดไม่ถึงคือ เห็นจินเฟยเหยาพยักหน้า ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น

“เมฆรูปความคิดใต้เท้าของเขา ชิ้นละสองแสนห้าหมื่น นำมาจากโลกระดับวิญญาณและสวรรค์สามชิ้นอย่างยากลำบาก อย่าถามว่าเหตุใดข้าจึงรู้ บ้านข้าซื้อมาให้พวกเขาเอง”

“หอน้อยบนสนามหญ้าเหล่านั้น ราคาถูก หลังละห้าหมื่นศิลาวิญญาณ บ้านข้าทำเอง”

“ศิลาแสงจันทร์ซึ่งเป็นไฟถนนตามระเบียงทางเดิน นับดูแล้วบนหอชมการประลองทั้งหมดมีหนึ่งพันหกร้อยแปดสิบดวง บ้านข้าซื้อมาเอง”

“ยังมีเวทีนั่น หลอมสร้างจากศิลาถ้ำสวรรค์เหล็กนิลก็เป็น…” ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนส่งเสียงเอะอะจนจินเฟยเหยารำคาญแทบตาย เห็นเขาชี้เวที ก็ตอบรับประโยคหนึ่งอย่างอารมณ์ไม่ดี “ก็เป็นของบ้านเจ้า”

ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี เอ่ยชมนางเสียงดัง “สหายเซียนร้ายกาจยิ่ง คิดไม่ถึงว่าไม่ต้องให้ข้าบอก ก็รู้ว่าบ้านข้าทำ”

“สหายเซียนท่านนี้ ข้ารู้ว่าบ้านเจ้าร่ำรวย มีทรัพย์สินมากมาย ทว่าตอนนี้ให้ข้าดูการประลองอย่างสบายใจได้หรือไม่ คนขึ้นเวทีแล้ว” จินเฟยเหยาพิงราวด้านหน้า เอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรง

“หา ขึ้นเวทีแล้ว เจ้าดูสิ คนสวมชุดสีเขียวเป็นผู้บำเพ็ญเซียนบ้านข้า” พอผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนเห็น จริงเสียด้วย ผู้บำเพ็ญเซียนที่เข้าร่วมการประลองชิงยาสร้างฐานรอบที่หนึ่งปรากฏตัว กำลังเหยียบสนามหญ้าเดินมาที่เวที ก็ชี้ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งในนั้นแล้วเอ่ย

จินเฟยเหยาไม่สนใจเขา ถือเสียว่าเป็นเสียงแมลงวันน่ารำคาญตัวหนึ่งข้างหู นางเปิดม้วนภาพออกคิดจะดูข้อมูล ผู้บำเพ็ญเซียนสวมชุดสีเทาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระชื่อเซี่ยงหยวน ข้อมูลอื่นๆ มีไม่มาก ส่วนหนอนผีเสื้อสีเขียวตัวนั้น ชื่อจูจงเซี่ย เป็นคนของสมาพันธ์การค้าลั่วเซียน

สมาพันธ์การค้าลั่วเซียน? ที่แท้เป็นเศรษฐี ฟังน้ำเสียงแล้ว หรือว่าเจ้าอ้วนข้างๆ จะเป็นผู้ดูแลคนหนึ่งของสมาพันธ์การค้าลั่วเซียน?

พอคิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาก็หันหน้ามาเอ่ยถามผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนที่กำลังอ้าริมฝีปากหนากินผลไม้ที่สาวงามส่งให้แล้วหรี่ตาอย่างรื่นรมย์ “ขอถามสหายเซียน เจ้าแซ่จูหรือ?”

ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนพยักหน้า “ใช่ ข้าแซ่จู ชื่อจูจงซ่าง[4]”

“จูจงซ่าง? จูจงเซี่ย[5]ที่อยู่ด้านล่างเป็นอะไรกับเจ้า?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างประหลาดใจ อดเอ่ยถามไม่ได้

“นั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า เจ้านี่มีปัญหานิดหน่อย ยาสร้างฐานที่บ้านมีให้เขากินต่างลูกกวาด เขายังยืนกรานมาเข้าร่วมการประลองอันน่าเบื่อนี้อีก เจ้าว่าบ้าหรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนยื่นนิ้วอวบอูมชี้ไปที่สมองของตนเอง

ที่จริงเจ้ากับเขาก็ไม่ต่างกันเท่าไร จินเฟยเหยาปาดเหงื่อ เอ่ยต่ออีกประโยค “เจ้ายังมีพี่น้องอีกคนหนึ่งชื่อจูจงจง[6]ใช่หรือไม่”

“สหายเซียน เจ้ารู้จักน้องชายของข้าด้วยหรือ?”

จินเฟยเหยาหมดวาจาโดยสิ้นเชิง นี่มันเป็นสมาพันธ์การค้าอะไรกันแน่…