บทที่ 60 ศัตรูหัวใจที่ร่วงหล่นจากฟ้า

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ระหว่างที่พูดคุย การประลองก็เริ่ม เซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายลงมือก่อน โยนเวทอัคคีธรรมดาสองอันมาแบ่งแยกความสนใจของจูจงเซี่ยก่อน จากนั้นล้วงธงอาคมออกมาจากกระเป๋าเก็บของอย่างรวดเร็ว สะบัดมือโยนไปบนเวที วิธีการกางวงเวทไม่ค่อยจริงจังนัก พริบตาบนเวทีก็มีธงอาคมหลากสีเต็มไปหมด

ข้างเท้าจูจงเซี่ยมีธงอาคมสองผืน เขายกเท้าเหยียบ ยื่นแขนผอมกะหร่องออกมาคว้าธงอาคมคิดจะเก็บเข้ากระเป๋าของตนเอง

คิดไม่ถึงว่าจะมีคนตระหนี่ยิ่งกว่ามู่เสี่ยวสือ ขณะที่คนอื่นนึกว่าเขาคิดจะทำลายวงเวทที่ยังกางไม่เสร็จ จินเฟยเหยากลับคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เจ้าหมอนี่คิดจะเก็บธงอาคมกลับไป

“น้องชายที่น่าสงสารของข้า เขาผอมขนาดนี้ ทั้งหมดก็เพื่อประหยัดเงินค่าอาหาร จึงหิวโหยจนกลายเป็นเช่นนี้ เขาเคยรับปากว่า ถ้าครั้งนี้สามารถเข้าห้าร้อยอันดับแรกของการประลองได้ ต่อไปจะไม่อดข้าวเพื่อประหยัดเงินอีก จะรับประทานข้าวแต่โดยดี ที่บ้านจึงจงใจติดสินบนผู้บำเพ็ญเซียนที่ประลองเบื้องหน้าโดยเฉพาะ มอบให้คนละหนึ่งแสนศิลาวิญญาณบวกกับยาสร้างฐานหนึ่งเม็ด ให้เขาชนะได้สบายๆ คนนี้ก็เช่นเดียวกัน” จูจงซ่างที่อยู่ด้านข้างเปิดเผยความจริงที่ทำให้คนรับไม่ได้ออกมาอีก

มองสายตาไม่เชื่อของจินเฟยเหยา จูจงซ่างก็ยิ้มอย่างมั่นใจ “หากไม่เชื่อเจ้าก็รอดูเถอะ แพ้ชนะอีกเดี๋ยวก็รู้ผล”

จริงเสียด้วย ภายใต้สายตาสงสัยของจินเฟยเหยา ธงอาคมที่กระจายบนพื้นของเซี่ยงหยวนดูราวกับมีชีวิต เริ่มเคลื่อนไหวกางวงเวทเองบนเวที และเวลาที่กางวงเวทก็ยาวนานจนไม่ได้ระวังป้องกัน จูจงเซี่ยหยิบยันต์ออกมาใบหนึ่งโยนใส่เซี่ยงหยวน

ยันต์ลอยถึงกลางอากาศ กลายเป็นวัวชนตัวหนึ่ง ที่แท้เป็นยันต์เปลี่ยนวิญญาณที่มีค่ามากใบหนึ่ง วัวชนร่วงลงพื้น จมูกพ่นไอร้อนผ่าว ร้องคำรามพุ่งเข้าใส่เซี่ยงหยวน

เซี่ยงหยวนนิ้วมือสั่นสะท้านอย่างงุ่มง่ามเงอะงะ ราวกับคิดจะให้วงเวทช่วยต้านทานการโจมตีของวัวชน ทว่าวงเวทกลับยังผนึกไม่เสร็จสิ้น เซี่ยงหยวนก็ถูกวัวชนพุ่งกระแทกกระเด็นลอยไปท่ามกลางสายตาของทุกคนเช่นนี้ เขาม้วนตัวกลางอากาศห้ารอบครึ่งร่วงลงบนสนามหญ้าอย่างจอมปลอม สูญเสียคุณสมบัติในการประลองไป

“นี่เรียกว่าการประลอง ล้อพวกเราเล่นหรือ”

“ไปตายเสีย คิดไม่ถึงว่าการประลองเป็นตายจะจัดฉากการต่อสู้ปลอม”

“สารเลว พวกเจ้าแกล้งสู้กัน ชดใช้ศิลาวิญญาณข้ามา”

การต่อสู้ปลอมๆ ฉากนี้ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ชมการประลองอยู่บนอัฒจันทร์มีโทสะ ทุกคนเดือดดาล ด่าทอคนบนเวที ผู้บำเพ็ญเซียนที่ลงศิลาวิญญาณเดิมพันข้างเซี่ยงหยวน ยังกรอกเทพลังวิญญาณยันต์ลงในยันต์เดิมพันในมือ เปลี่ยนมันให้แข็งสุดเปรียบปาน แล้วโยนลงไปด้านล่างเหมือนดาบบิน พริบตาบนเวทีก็เต็มไปด้วยดาบบินซึ่งทำจากยันต์สีเหลือง

ยันต์ที่แฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้างบินว่อนอยู่ในลานประลองราวกับห่าฝน ทำให้จูจงเซี่ยต้องกุมศีรษะ หลบหนีไปตรงทางออกอย่างตื่นตระหนกภายใต้การดูแลของคนในตระกูล ส่วนหยวนเซี่ยงก็กระโดดเหมือนไม่เป็นอะไร เผ่นเข้าทางออกอย่างว่องไว ดูแล้วเหมือนคนที่ทำเรื่องหลบหนีอยู่เป็นประจำ

คนของลานประลองเป็นตายตอบสนองอย่างรวดเร็ว ส่งคนกลุ่มหนึ่งมากางวงเวทอย่างฉับไว พอเปิดม่านแสง ก็สกัดกั้นมีดบินซึ่งทำจากยันต์ไว้นอกม่านแสงทั้งหมด ให้การประลองด้านล่างเริ่มดำเนินต่อไปได้

จินเฟยเหยามองการประลองจอมปลอมรอบนี้จบลงแบบปากอ้าตาค้าง รู้สึกแค่จอมปลอมเกินไปแล้ว รอบที่หนึ่งซึ่งเวทีการประลองเป็นตายเปิดกิจการ ก็ถูกคนใช้วิธีสกปรก ต่อไปยังจะมีผู้ใดลงเดิมพัน รอจนนางหันหน้ากลับมา ขณะที่คิดจะฟังว่าจูจงซ่างยังมีข้อมูลวงในอีกเยอะหรือไม่ ก็เห็นด้านนอกมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่สวมหมวกสีเงินสี่คนเดินมา ลากจูจงซ่างและภรรยาของเขาไปเหมือนหิ้วลูกไก่โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“พี่จู รักษาตัวด้วย” จินเฟยเหยามองส่งจูจงซ่างจากไป มีความรู้สึกเกรงว่าหลายวันนี้คนผู้นี้ต้องลำบากแล้ว

ลานประลองเป็นตายไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ แก่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ชมการต่อสู้ เพียงแต่ให้การประลองรอบที่สองเริ่มขึ้นโดยเร็ว อีกทั้งยังให้บรรดาผู้รับใช้สาวงามไม่เก็บค่าชาวิญญาณที่ชงใหม่ให้ ปิ่งเป็นตายที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ก็ส่งมาแทนจานที่ว่างเปล่าให้อย่างต่อเนื่อง

ผู้บำเพ็ญเซียนในการประลองรอบที่สองไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง สู้อย่างที่เรียกได้ว่ากระหายเลือด เงากระบี่และแสงดาบบนเวที ดูจนตาพร่าพรายน่าตื่นเต้นอย่างผิดปกติ ผู้บำเพ็ญเซียนที่เดือดดาลเหล่านั้นก็ลืมละครตลกก่อนหน้านี้ไป สองตาแดงก่ำมือคว้ายันต์ลงเดิมพันแน่น  ร้องตะโกนจนปอดแทบฉีก

สุดท้ายการประลองรอบนี้จึงจบลงด้วยความตายของผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง ใช้โลหิตล้างความไม่พอใจของผู้บำเพ็ญเซียนที่ชมการต่อสู้ บรรยากาศของการประลองเป็นตายกลับคืนสู่ตอนแรกเริ่มอีกครั้ง จำนวนศิลาวิญญาณที่ลงเดิมพันการประลองหลาสยรอบด้านล่างเริ่มพุ่งทะยานอีกครั้ง ส่วนจูจงซ่างและจูจงเซี่ย ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งถูกคนบางคนที่อารมณ์ไม่ดีทรมาน

จินเฟยเหยาดูการประลองหกเจ็ดรอบ รู้สึกน่าเบื่อหน่าย อาจเป็นเพราะอีกไม่นาน ตนเองก็ต้องยืนต่อสู้ให้ผู้อื่นชมที่นี่ ดังนั้นอารมณ์จึงไม่ค่อยพุ่งทะยานเท่าไร อย่างไรเสียก็เคยเห็นแล้ว นางจึงคิดจะจากไป ไม่ร่วมชมความครึกครื้นอีก

เช้าวันที่สองจินเฟยเหยาได้รับแจ้งจากลานประลองเป็นตาย นางและเจ้าเยี่ยนหงจะประลองกันในยามซวี[1]ของวันนี้ ให้นางไปถึงลานประลองเป็นตายล่วงหน้าสองชั่วยาม หากมาสายหรือไม่ไป จะเพิกถอนคุณสมบัติในการประลอง ดังนั้นนางจึงจัดแจงเล็กน้อยแล้วไปเฝ้ารอตอนนี้เลย

จินเฟยเหยาเร่งรุดไปถึงลานประลองเป็นตาย ไม่ได้เข้าทางประตูหลักแบบเมื่อวาน ทว่าถูกคนพาไปยังประตูอีกบานหนึ่ง เข้าทางหอเล็กที่ยื่นไปในลานประลองเป็นตาย ลานประลองเป็นตายยังสร้างสถานที่พักผ่อนของผู้บำเพ็ญเซียนขึ้นติดกัน ก่อนจะขึ้นเวทีสามารถรื่นรมย์อยู่ที่นี่ก่อนได้

บนโต๊ะจัดวางสุราอาหารเลิศรสเต็มไปหมด ยังมีผู้รับใช้สาวงามคอยปรนนิบัติ ทำให้คนหลงลืมไปว่าอีกสักครู่ตนเองต้องไปเสี่ยงชีวิต

ตอนนี้ภายในหอมีห้าหกคน ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มาเข้าร่วมการประลองแต่เช้าตรู่ ทุกคนกำลังทำเรื่องที่ทำให้ตนเองผ่อนคลายที่สุด มีเพียงจินเฟยเหยาที่ขดตัวอยู่ในกองฟูกอันอ่อนนุ่มหลับตาราวกับกำลังหลับใหล

“คุณชายเจ้า เชิญทางนี้” ผู้รับใช้เดินนำบุรุษผู้หนึ่งเข้ามา พอดีเป็น เจ้าเยี่ยนหง คู่ต่อสู้ของจินเฟยเหยา

ที่นี่ไม่อนุญาตให้พาบ่าวรับใช้เข้ามา เขาสะบัดมือแล้วเดินเข้ามาเอง เพิ่งเข้าประตูมาก็เห็นจินเฟยเหยาที่กำลังขดตัวอยู่ในฟูกอันอ่อนนุ่ม จึงเดินเข้าไปอย่างมีโทสะ เอ่ยด่าทอจินเฟยเหยาที่กำลังนอนหลับอยู่ “เจ้าคนไร้ประโยชน์ วันนี้เจอข้า เจ้าเตรียมโลงศพไว้ล่วงหน้าเถอะ”

จินเฟยเหยาตกใจตื่น เหลียวซ้ายแลขวา คนที่มาแต่เช้าตรู่เหล่านั้นต่อสู้จนเสร็จสิ้น คนที่ตายก็ตายคนที่ชนะก็ชนะไปนานแล้ว ตอนนี้ภายในหอเล็กมีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนที่เข้าร่วมการประลองตอนบ่าย นางเอ่ยถามอย่างงุนงง “มีเรื่องอะไร? ใครจะซื้อโลงศพ ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายโลงศพนะ”

หลังจากเห็นชัดเจนว่าเป็นเจ้าเยี่ยนหง นางก็ยืดตัวอย่างเกียจคร้าน ล้วงหูเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เจ้ามายืนอยู่เบื้องหน้าข้าทำไม การประลองยังไม่เริ่มเลย จะรีบร้อนไปทำไม”

“ฮึ อีกเดี๋ยวจะจัดการเจ้า วันนี้เจ้าอย่าหมายจะมีชีวิตรอดกลับไปเลย”

“เจ้าบ้าหรือเปล่า ข้าไปล่วงเกินเจ้าตั้งแต่เมื่อใด เจ้าคิดจะแย่งกบผานอวิ๋นของข้าก่อนนะ เจ้ายังเอ่ยอย่างถูกต้องชอบธรรมอีก หน้าไม่อายจริงๆ” เห็นท่าทางดุร้ายของเจ้าเยี่ยนหง จินเฟยเหยาก็ไม่เข้าใจ เขาทำเช่นนี้มีเป้าหมายใดกันแน่

“ลูกผู้ชายทำอะไรกล้าทำต้องกล้ารับ ในเมื่อเจ้าทำแล้วก็อย่าแกล้งโง่หาข้ออ้างเลย”

จินเฟยเหยาถูกคนข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างงุนงง ก็มีโทสะพวยพุ่ง นางตบโต๊ะด้านหน้า ยืนขึ้นชี้หน้าเจ้าเยี่ยนหงแล้วร้องคำราม “ไอ้คุณชายประสาท ข้าทำอะไรให้ เจ้าพูดมาให้ชัดเจนสิ”

“ฮึ เจ้านี่ไม่ใช่ลูกผู้ชายจริงๆ คิดจะแต่งกับคุณหนูตู้ก็ยอมรับมาตามตรงเถอะ ท่าทางหดหัวซุกหางของเจ้าในตอนนี้ ช่างน่าอับอายจริงๆ ทุกคนต่างเป็นชายชาตรี แข่งขันอย่างถูกต้องเปิดเผยสักรอบ ถ้าข้าแพ้ข้าจะไปจากคุณหนูตู้ ถ้าเจ้าแพ้ ก็ไสหัวไปไกลๆ เสีย ห้ามปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าคุณหนูตู้อีก” เจ้าเยี่ยนหงมองจินเฟยเหยาอย่างดูแคลน คิดว่าเขาช่างไม่มีความกล้าเสียเลย

ฮึ ถ้าแพ้แล้วไม่คิดจะไป วันนี้จะเป็นวันครบรอบการตายของเจ้า เจ้าเยี่ยนหงแอบกระหยิ่มอย่างชั่วร้าย

จินเฟยเหยาฟังคำพูดเขา ก็ตกตะลึงเป็นล้นพ้น พยายามนึกว่าใครคือคุณหนูตู้อย่างสุดกำลัง ครุ่นคิดอยู่นาน นางจึงนึกได้ว่าหลายวันนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ปลอมเป็นบุรุษไปยั่วเย้าสตรี นี่มันเรื่องอะไรกัน

“เจ้าอย่านึกว่าเจ้าถือกบผานอวิ๋นตัวใหญ่แล้วจะได้หัวใจของคุณหนูตู้ ไม่ดูฐานะของตนเองเสียบ้าง เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่อยู่สำนักเฉวียนเซียนคนหนึ่ง จะคู่ควรกับคุณหนูตู้ได้อย่างไร ช่างไม่รู้จักตายจริงๆ กล้าแย่งชิงสตรีกับข้า” เห็นจินเฟยเหยายังแสร้งโง่มีสีหน้าท่าทางงุนงง เจ้าเยี่ยนหงยิ่งดูแคลนนางมากขึ้น

“กบผานอวิ๋น?” จินเฟยเหยาได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้จึงนึกออก ดูเหมือนจะเคยได้ยินผู้ชายคนนี้เรียกหมอรักษาสัตว์ว่าคุณหนูตู้ นางแค่เคยพูดกับหมอรักษาสัตว์คนนั้นไม่กี่ประโยค คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นแย่งชิงสตรีกับเขา นางมีโทสะจนคิดจะบอกฐานะฉากหน้ากับเจ้าเยี่ยนหง ทว่าก็กัดฟันอดทนไว้

นางส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ยั่วโทสะเจ้าเยี่ยนหง “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระแล้วอย่างไร ก็แย่งชิงสตรีของเจ้าได้เช่นเดียวกัน วันนี้กำจัดเจ้า พรุ่งนี้จะแต่งน้องตู้กลับบ้าน ให้กำเนิดผู้บำเพ็ญเซียนน้อยๆ โขยงหนึ่ง อย่างไร เจ้าอย่าได้ไม่ยอมรับ ข้าต้องการให้เจ้าเห็นข้ากับน้องตู้รักกันหวานซื่น โบยบินเคียงคู่ดุจเทพเซียน”

แลเห็นคนทั้งสองกำลังจะชักกระบี่ลงมือกันที่นี่ ผู้รับใช้ในหอน้อยก็วิ่งไปดึงคนทั้งคู่ออกจากกัน ทั้งยังอ้อนวอนขอร้อง ให้พวกเขามีท่าทางสูงสง่าของผู้บำเพ็ญเซียน ค่อยลงมือต่อกันบนลานประลอง ต่อสู้กันที่นี่ไม่ได้

เห็นแก่หน้าคนเบื้องหลังเวทีประลองเป็นตาย ทั้งสองคนจึงไม่ทะเลาะและลงมือสู้กันชั่วคราว ต่างคนต่างอยู่ห่างๆ และไม่สนใจกัน รอขึ้นเวทีอย่างเงียบสงบค่อยฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง

จินเฟยเหยาก็หลบอยู่ในฟูกนุ่มๆ อีก รู้สึกว่าร่างแบบนี้ยุ่งยากเกินไป สามารถดึงดูดศัตรูความรักมาอย่างอธิบายไม่ได้ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้คิดอะไรอยู่ ฝึกบำเพ็ญมาหลายปีแล้ว ยังมีความรักความรู้สึกอยู่อีก มีเวลาว่างแบบนี้ ไปปิดด่านกักตนสักหลายปียกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรยังดีกว่า

ในที่สุดก็ถึงยามซวี จินเฟยเหยาและเจ้าเยี่ยนหงก็แยกกันขึ้นเวทีจากทางเข้าคนละแห่ง และเพราะการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขาสองคน เวทีประลองเป็นตายจึงดำเนินการทันที หอน้อยสำหรับพักผ่อนที่ใช้เวลาสร้างหลายวันก็ไม่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่เป็นคู่ต่อสู้พบกันก่อนขึ้นเวทีอีก เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องทะเลาะโต้เถียง

ทั้งสองคนยืนอยู่บนเวที จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ดวงดาราเต็มท้องฟ้า โชคดีจริงๆ กลางคืนแล้ว ราตรีมืดมิดลมพัดแรงเป็นเวลาเหมาะแก่การใช้วิธีสกปรกพอดี

หลังจากผู้บำเพ็ญเซียนสวมหมวกสีเงินยืนยันตัวตนของทั้งสองฝ่ายว่าถูกต้อง ก็เหยียบบนเมฆรูปความคิดบินไปกลางอากาศ โบกมือตะโกนให้เริ่มได้

ยังไม่สิ้นเสียง สองมือจินเฟยเหยาก็จุดแสงไฟสีฟ้าพุ่งเข้าใส่เจ้าเยี่ยนหง เตรียมชิงลงมือก่อนได้เปรียบ ส่วนเจ้าเยี่ยนหงหัวเราะเสียงเย็นชา ในมือมีแสงสีทองกระพริบวาบ ห่วงทองคำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

“เดาความเคลื่อนไหวของเจ้าได้ทะลุปรุโปร่งแต่แรกแล้ว ใช้กำลังป่าเถื่อนเข้าประชิดตัวอย่างโง่เขลา รับกระบวนท่า”