หวังเจียเหยาเต้นเร่าด้วยความอิจฉา “สวรรค์ เธอเก่งเกินไปแล้วมั้ง! อิจฉาเธอจริงๆ เลย! อยู่ที่บ้านสามีก็ทำการบ้านไม่ขาดตกบกพร่อง พออยู่ด้านนอกก็มีหนุ่มน้อยคลอเคลียข้างตัว ทำไมฉันไปมีความสุขแค่ครั้งเดียวก็โดนจับได้แล้วล่ะ? แถมยังโดนขอหย่าอีกต่างหาก! ฉันล่ะหงุดหงิดชะมัด!”

ซ่งหงเย่หัวเราะร่วนแล้วกล่าว “ต่างกันที่สามีเธอส่งอาหารเดลิเวอรี่ ส่วนสามีฉันเขาทำธุรกิจ ออกไปทำงานต่างจังหวัดทุกวัน แทบไม่อยู่อวิ๋นโจวเลยจับฉันไม่ได้ไง ฮ่าๆ”

“จริงสิ จู่ๆ เรียกฉันมาทำไมเหรอ?”

หวังเจียเหยาหยิบสัญญาฉบับหนึ่งออกมาส่งให้ซ่งหงเย่ดู

พอซ่งหงเย่เห็นแล้วก็เป็นปลื้มอย่างมาก “ใช้ได้นี่ เพื่อนรัก คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นตัวแทนของที่บ้านเซ็นสัญญากับบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ปแถมโปรเจกต์ยังตั้งจากชื่อเธออีก! เธอทำได้ยังไงน่ะ? เธอนอนกับคุณเย่แล้วเหรอ?”

หวังเจียเหยากล่าวอย่างเอือมระอา “น่าเบื่อจริง ๆ อย่าคิดว่าฉันจะไปเรื่อยขนาดนั้นได้ไหม? ฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้นเหรอ?”

ซ่งหงเย่กล่าวแล้วยิ้ม “ก็จริงแต่ที่เธอนอนกับฟางเชาก็เพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์การเงินของที่บ้านไม่ใช่หรือไง?”

“เธอนี่มันน่ารำคาญ!”

หวังเจียเหยาโยนยางรัดผมในมือใส่เพื่อนสาว

……

ในห้องทำงานผู้บริหารบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ป ในวันเดียวกัน

เย่เฉินกำลังคุยกับเถ้าแก่ของร้านอาหารคนหนึ่งของอวิ๋นโจว เขาคือเจิ้งหง

เจิ้งหงเป็นนักธุรกิจใหญ่ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นรองแค่จงเหว่ย ถือว่าเป็นคู่แข่งตลอดหลายปีของเขา

แต่เพราะวิธีในการดำเนินธุรกิจและพื้นฐานครอบครัวของเจิ้งหงด้อยกว่าจงเหว่ยเท่านั้น เขาจึงกลายเป็นเบอร์สอง

ทว่าร้านอาหารของเจิ้งหงนั้น ทั้งการตกแต่ง ตำแหน่งที่ตั้งล้วนแต่ดีเยี่ยมอย่างยิ่ง

มีหลายร้านที่เปิดตรงข้ามหรือด้านข้างร้านอาหารของจงเหว่ยถือเป็นคู่แข่งกันมาหลายปี

ในงานเลี้ยงวันเกิดวันนั้น คนชื่อจงเหว่ยบอกว่าจะตัดทางทำมาหากินของเย่เฉินให้เขาเป็นพนักงานเสิร์ฟไม่ได้

ถึงแม้ว่าเย่เฉินจะไม่มีบุญคุณความแค้นกับจงเหว่ย แต่ในเมื่อเขาอยากจะบีบตนให้ตาย ตอนนี้ว่างพอดีไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งของคืนกลับไปให้บ้าง

เย่เฉินยื่นบุหรี่มวนหนึ่งให้เจิ้งหงแล้วกล่าว “เถ้าแก่เจิ้ง ผมอยากจะรับช่วงต่อธุรกิจร้านอาหารของคุณในอวิ๋นโจวและรับรองว่าภายในสองเดือนจะเอาชนะจงเหว่ยให้ได้ แล้วจะทำให้เขาไม่มีที่ยืนในอวิ๋นโจว เชิญคุณเสนอราคามาเลย”

เจิ้งหงเป็นผู้ชายอายุห้าสิบกว่าปี ด้วยอายุอานามขนาดนี้จึงไม่ใคร่จะดิ้นรนมากมายนัก เขาแค่อยากมีเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายแล้วทิ้งมรดกไว้ให้ลูกชาย

เจิ้งหงคิดอยู่นานแล้วกล่าว “หกสิบล้าน คุณให้เงินผมหกสิบล้านแล้วคุณเอาร้านอาหารทั้งเจ็ดร้านของผมในอวิ๋นโจวไปได้เลย”

เย่เฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ดีล!”

หลังจากที่ซื้อร้านอาหารทั้งเจ็ดแห่งแล้ว เย่เฉินก็รีบโทรหาพ่อบ้านฟาง

“รีบติดต่อนักออกแบบที่เก่งที่สุดในจีนให้ออกแบบโลโก้ของร้านอาหาร ‘อวิ๋นจงอวิ๋น’ พอออกแบบเสร็จแล้วให้คนงานรีบแขวนป้ายที่ร้านอาหารทั้งเจ็ดแห่งของผมทันที ที่ตั้งร้านอาหารทั้งหมดผมส่งให้คุณแล้ว จากนั้นก็ค่อยเชิญนักร้องดังๆ ทั้งหลายมา”

พ่อบ้านฟางนั้นรอรับคำสั่งเขาอยู่ที่อวิ๋นโจวอยู่ตลอดเวลา “ครับ นายน้อย!”

แปดโมงเช้าวันถัดมา

ด้านนอกร้านอาหารบนถนนเผิงไหลมีคนรวมตัวอยู่ไม่น้อย

พวกเขาต่างก็แหงนหน้ามองมองป้ายชื่อร้านอาหาร ‘อวิ๋น[1]จงอวิ๋น!’

ตัวหนังสือสามตัวบนป้ายมีชีวิตชีวาราวถูกเขียนด้วยพู่กันจีนทั้งทรงพลังและสวยงามอย่างยิ่ง

แต่ที่เจ๋งที่สุดก็คือวัสดุของป้าย ที่คนไม่ล่วงรู้เลยว่าใช้อะไรทำขึ้นมา

อักษรทั้งสามตัวดูไปแล้วเหมือนเซียนล่องลอยอยู่ในก้อนเมฆอย่างไรอย่างนั้น !

“ร้านนี้เปลี่ยนชื่อแล้วเหรอเนี่ย ‘อวิ๋นจงอวิ๋น’ คงจะไม่ใช่ร้านอาหารที่ร้านฝั่งตรงข้ามเปิดล่ะมั้ง?”

“ก็เถ้าแก่จงเหว่ยเจ้าของร้านโหลวว่ายโหลว ซานว่ายซานไง ฉันรู้แล้ว! เถ้าแก่จงนี่รวยจริงๆ ซื้อร้านอาหารอีกร้านหนึ่งแล้ว”

“ร้านอาหารร้านนี้ลงทุนจริงๆ แค่ป้ายร้านก็น่าจะมีมูลค่าเป็นล้านแล้วกระมัง? เท่จริงๆ! เดี๋ยวเย็นนี้แวะมากินดีกว่า!”

แล้วในเวลานี้เองรถเบนซ์คันหนึ่งก็มาจอดเทียบช้าๆ คนที่นั่งด้านหลังก็คือจงเหว่ยเบอร์หนึ่งในแวดวงธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มของอวิ๋นโจว

ร้านอาหารโหลวว่ายโหลวเป็นร้านที่ดังที่สุดในอาณาจักรร้านอาหารของจงเหว่ยเปิดอยู่ตรงข้ามร้านอวิ๋นจงอวิ๋น เขาเองก็เข้าร้านแต่เช้าเช่นกัน

เพราะคืนวานฟางเชาโทรหาเขาบอกว่าจะเหมาชั้นหนึ่งของร้านโหลวว่ายโหลวเพื่อจัดงานขอแต่งงาน จงเหว่ยจงจึงเดินทางมาด้วยตนเองเพื่อกำชับเหล่าพนักงานให้เตรียมตัวเพื่อสร้างบรรยากาศในการจัดงานขอแต่งงานของคุณฟาง

ทว่าขณะที่เขาทอดสายตามองนอกหน้าต่างโดยที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นก็พบว่าร้านอาหารตรงข้ามนั้นมีคนมารวมตัวอยู่เป็นจำนวนมากก็ประหลาดใจเล็กน้อย

“อาเหลย ทำไมตรงข้ามร้านของเราถึงได้มีคนเยอะขนาดนี้ล่ะ? จอดรถหน่อยแล้วลงไปดูด้วยกัน”

จงเหว่ยเอ่ยกับคนขับรถที่อยู่ด้านหน้า

“ครับ! เถ้าแก่!”

อาเหลยรีบจอดรถเข้าที่ข้างทางแล้วเดินไปกับจงเหว่ย

ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่แต่คนก็จำเขาได้

“อ้าว นี่มันเถ้าแก่จงไม่ใช่เหรอ? เถ้าแก่จงคุณนี่เก่งจริงๆ เลย ซื้อกิจการของคู่แข่งหลายปีมาได้แล้วแถมยังตั้งชื่อว่าอวิ๋นจงอวิ๋นแถมป้ายร้านคุณก็หรูหราดีทีเดียว!”

จงเหว่ยจงแหงนหน้ามอง ถึงได้เห็นอักษรสามตัวนั้นที่ล่องลอยราวระบำอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ ‘อวิ๋นจงอวิ๋น!’

“อะไรนะ?”

จงเหว่ยตกใจ ร้านอาหารตรงข้ามเปลี่ยนชื่อแถมยังเปลี่ยนชื่อเป็นร้านอาหารที่ใช้คำซ้ำเหมือนร้านเขาอีกด้วย!

คิดจะเกาะใบบุญร้านเขาหรือว่าคิดจะปะทะกับเขาโดยตรงกันแน่?

[1] 云 อ่านว่าอวิ๋นแปลว่าเมฆ