เล่ม 1 ตอนที่ 68 คิดบัญชี

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาจากปากของนาง ทุกคนตรงนั้นต่างก็ส่งเสียงฮือฮา

ฉู่หลิวเยว่พูดว่าอะไรนะ

นางต้องการตัดขาดกับตระกูลฉู่หรือ

นางไม่ได้บ้าใช่ไหม!

“เจ้าว่าอะไรนะ”

เพราะผู้อาวุโสตกใจมากไปหน่อยจึงย้อนถามโดยไม่รู้ตัว

ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ คำพูดดังก้องเหมือนฟ้าร้องในใจทุกคนจนทำให้เกิดคลื่นสะเทือนใจ

“ข้าบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกข้าสองคนพ่อลูกขอตัดขาดกับตระกูลฉู่ของพวกเจ้า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ อีกต่อไป ได้ยินชัดไหม”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา!”

ผู้อาวุโสจ้องฉู่หลิวเยว่ด้วยความไม่อยากเชื่อ คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยสิ่งนี้ออกมา

“เลือดในกายของพวกเจ้ามีเลือดตระกูลฉู่ไหลอยู่ เจ้าพูดเช่นนี้ชักจะเนรคุณและไม่เคารพกันเกินไปแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้แล้วอยากพลิกฟ้าได้จริงๆ แล้ว”

ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้อาวุโสเท่านั้นที่ตกใจ ทุกคนในตระกูลฉู่ต่างก็ชะงักค้างไม่แพ้กัน

พวกเขาก็เคยคิดว่าถ้าฉู่หลิวเยว่พลิกโอกาสได้ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในอดีต ก็อาจจะหาวิธีแก้แค้นก็ได้ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่านางจะเด็ดขาดเช่นนี้ แล้วเลือกหลุดพ้นออกจากตระกูลฉู่ในทันที!

ต่อให้ตอนนี้นางกลายเป็นอัจฉริยะ แต่การคิดที่จะเป็นปรปักษ์กับตระกูลฉู่ทั้งตระกูล ช่างเป็นการคิดต่างโดยสิ้นเชิง

ไม่ว่าอย่างไรตระกูลฉู่ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง การมีสถานะตัวตนอยู่ในนี้ มีหลายคนอยากเข้ามาเกาะแต่ก็ไม่มีโอกาส แล้วทำไมนางถึงต้องเลือกหนทางนี้ด้วย

“ข้าไม่ได้มาปรึกษาหารือกับพวกเจ้า แต่ข้าแค่มาบอกพวกเข้าก็เท่านั้น” ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่ได้สนใจว่าคำพูดนางกระทบอะไรบ้าง และสีหน้าแววตาของนางยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย

ประโยคนี้เรียบง่ายและธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วยพลังอานุภาพที่มิอาจขัดขืนได้

ในที่สุดผู้อาวุโสลำดับที่สามของตระกูลฉู่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

“หลิวเยว่ ประโยคนี้ห้ามพูดออกมาซี้ซั้วเด็ดขาด ข้ารู้ว่าในใจเจ้ารู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม แต่นี่ก็เป็นการวู่วามเกินไป…”

“ผู้อาวุโสสาม ข้าตัดสินใจมาดีแล้ว”

น้ำเสียงที่ฉู่หลิวเยว่ใช้พูดกับผู้อาวุโสสามนับว่ายังมีความเกรงใจกันอยู่บ้าง

เพราะในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ท่านนี้เคยช่วยเหลือพวกเราสองพ่อลูกอยู่บ้าง

เขาไม่มีลูกสืบสกุล แล้วเห็นคุณค่าในตัวของฉู่หนิงเสมอ ดังนั้นเขาจึงเห็นว่าฉู่หนิงเปรียบเสมือนลูกหลานของตนเอง

แต่หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในภายหลัง แม้ว่าผู้อาวุโสสามต้องการช่วยเขา แต่ก็ไม่มีความสามารถพอที่จะช่วยอะไรได้

ผู้อาวุโสสามมองหน้าฉู่หลิวเยว่โดยที่เขาพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ

สุดท้ายเข้าก็ยังไร้ความสามารถ…หากเขามีอำนาจในตระกูลฉู่มากกว่านี้ก็คงพอจะช่วยเหลือพวกเขาได้บ้าง มิฉะนั้นพวกเขาสองพ่อลูกก็คงไม่มาถึงขั้นนี้…

หากไม่ใช่เพราะวันนี้ฉู่หลิวเยว่สามารถสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ อันที่จริงเขาคงไม่มีความมั่นใจที่จะต่อปากต่อคำกับผู้อาวุโสสูงสุดได้หรอก

เห็นได้ชัดว่า…เด็กคนนี้ตัดใจจากตระกูลฉู่ได้อย่างเด็ดขาดแล้วจริงๆ

ตอนนี้ตระกูลฉู่อยากรั้งนางไว้ เกรงว่าคง…สายไปเสียแล้ว!

“ฉู่หลิวเยว่ ตอนนี้ฉู่หนิงไม่อยู่ เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าเจ้าได้มาพูดแทนเขาใช่หรือไม่

ในที่สุดฉู่เยี่ยนที่โกรธแทบกระอักเลือดตายไปก่อนหน้านี้ก็ได้สติกลับคืนมา ทันใดนั้นก็เอ่ยถามอย่างร้อนรน

การที่ฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงออกไปอาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตระกูลฉู่ แต่สำหรับครอบครัวเขากลับได้ผลประโยชน์หาได้เป็นการทำลายแต่อย่างใด!

ฉู่หนิงก็จะได้ไม่ต้องมาแย่งชิ

ตำแหน่งประมุขตระกูลรุ่นต่อไปกับเขาอีก แล้วฉู่หลิวเยว่ก็จะได้ไม่ต้องมาแย่งสมบัติที่ดีที่สุดของตระกูลไปในฐานะอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียง

รอให้สองพ่อลูกนี้เฉดหัวออกจากตระกูลเมื่อไหร่ สมบัติทุกอย่างของตระกูลฉู่ก็จะเป็นของเขาทั้งหมด!

ฉู่หลิวเยว่เห็นดวงตาเป็นประกายของเขาแล้วทำไมถึงจะเดาความคิดเขาไม่ออกล่ะ

นางหัวเราะแล้วค่อยๆ พูดเหตุผลออกมา

“ที่ข้าพูด แน่นอนว่าเป็นตัวแทนของท่านพ่อด้วย สบายใจเถอะ รอข้าคิดบัญชีสุดท้ายก่อน ข้าสองคนพ่อลูกจะรีบไปทันที แล้วจะไม่มาเกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่อีกต่อไป”

นางชูนิ้วขึ้นมา

“ประการแรก สินสอดทองหมั้นของท่านแม่ข้าทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบหาบ หากข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นหลังจากที่ท่านพ่อของข้าได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าหาข้ออ้างไม่ให้พ่อข้าทำงาน แล้วนำสินสอดพวกนั้นให้ลู่เหยาเป็นคนจัดการ ตอนนี้ในเมื่อตัดขาดกันแล้ว สิ่งของพวกนั้นก็ต้องคืนให้พวกข้าด้วย”

สีหน้าของฉู่เยี่ยนและลู่เหยาเริ่มบึ้งตึง

“ประการที่สอง ในเมื่อท่านพ่อของข้าเป็นบุตรชายของท่านประมุขตระกูล ส่วนข้าก็เคยเป็นคุณหนูใหญ่ แม้ท่านประมุขตระกูลไม่อยู่ แต่ถ้ารู้ว่าข้ากับท่านพ่อออกจากตระกูลไปแล้วต้องไม่สบายใจแน่นอน ดังนั้นแบ่งสมบัติตระกูลฉู่ห้าส่วนให้พวกข้า ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอกกระมัง”

“เจ้าฝันไปเถอะ!” ฉู่เยี่ยนตอบโต้ทันที “ลูกหลานในตระกูลฉู่มีตั้งมากมาย พวกเจ้าสองคนพ่อลูกจะมาชุบมือเปิบเอาไปห้าส่วนง่ายๆ ได้อย่างไร มีอย่างซะที่ไหน”

“ท่านพ่อข้าหารายได้เข้าตระกูลฉู่ตั้งเท่าไหร่ ข้าเชื่อว่าทุกคนต่างทราบกันดี หากพวกเจ้าไม่อยากให้หรือ ก็ได้ ข้าจะได้ไปกราบทูลขอความเป็นธรรมจากฝ่าบาท ดูสิว่าพวกข้าจะมีส่วนแบ่งในสมบัติของตระกูลอยู่หรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่เปรยขึ้นมา

ฉู่เยี่ยนจึงหุบปากไปทันที

ใครจะไม่รู้บ้างว่าที่ฉู่หนิงบาดเจ็บครั้งนั้นเป็นเพราะปกป้องพระวรกายฝ่าบาทจากเกี้ยวพระที่นั่ง หากเรื่องนี้เดือดร้อนไปถึงฝ่าบาท แม้ว่าจะเป็นเพียงการพิจารณาชื่อเสียงและความชอบธรรมของพระองค์เท่านั้น แต่ฝ่าบาทจะไม่ทรงปฏิบัติต่อฉู่หนิงอย่างไร้ความยุติธรรมแน่

และนั่นจะทำให้ตระกูลฉู่ยิ่งน่าอายมากขึ้นไปอีก!

ผู้อาวุโสโกรธจัดและหัวเราะเยาะ

“ดีๆๆ ในเมื่อเจ้าคิดมาอย่างดี และในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสองคนห้ามมาเหยียบที่ตระกูลฉู่อีก! ข้าจะคอยดูน้ำหน้าพวกเจ้าว่าจะไปได้สักกี่น้ำ”

ไม่มีตระกูลฉู่คอยคุ้มกะลาหัว เกรงว่าแม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็คงไม่มีจะอยู่

ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะขึ้นมา

“คงไม่รบกวนให้ผู้อาวุโสต้องรำคาญใจ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ข้าซื้อเรือนใหม่อยู่แล้วตรงถนนฟากตะวันตก แม้จะไม่ใหญ่โตเท่าจวนตระกูลฉู่ แต่ก็สะอาดสะอ้านยิ่ง ไม่มีสิ่งใดรกหูรกตาหรอกเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันที่สิบของเดือนแปด นับเป็นวันมงคลที่จะย้ายบ้านใหม่”