ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นรีบออกมาก็เห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ ในขณะเดียวกันฉู่หลิวเยว่ก็เห็นกลุ่มคนกำลังเดินมาทางนี้จากที่ไม่ไกลนัก
ขณะนี้คือยามบ่าย ข่าวที่ฉู่หลิวเยว่าสอบติดสำนักเทียนลู่ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงรีบมาเพราะอยากดูความตื่นเต้น
แม้พวกเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้ประตูใหญ่ตระกูลฉู่ แต่ก็จับกลุ่มกันมุงดูอยู่ไม่ไกล จึงทำให้ถนนทางเข้าตระกูลฉู่เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด
เดิมทีผู้อาวุโสก็โกรธมากอยู่แล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ก็ยิ่งโกรธยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
“เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทำไม รีบเข้ามาสิ!”
เมื่อเขาเห็นฉู่หลิวเยว่ก็ตะโกนใส่อารมณ์
นางยืนตรงนั้นแน่นิ่ง เพราะอยากให้คนทั้งเมืองหลวงสมน้ำหน้าตระกูลฉู่หรือไร!
ฉู่หลิวเยว่หูกระดิก แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ผู้อาวุโส เมื่อก่อนข้าเป็นคนไร้ประโยชน์ ท่านตะโกนเรียกข้าไปมา ข้าก็ไม่ปริปากสักคำ แต่ตอนนี้ข้าสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้แล้ว ทำไมท่านถึงได้ไม่ไว้หน้าข้าอีกล่ะ หรือว่า…ข้าเป็นเช่นนี้แล้วท่านไม่เอ็นดูข้าหรือ”
ผู้อาวุโสสะอึกแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“การที่เจ้าสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่เจ้าใช้เหตุผลนี้เพื่อทำตัวเป็นใหญ่ไม่ได้”
เขาขึ้นเสียงสูงแล้วกล่าวอย่างจริงจังและเข้มงวด
“ตระกูลฉู่ของข้าเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง และกฎเกณฑ์ก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ เจ้าอยู่ในฐานะผู้น้อยกว่า แต่กลับให้ข้าผู้อาวุโสกว่ามาเชิญเจ้าเข้าไป เจ้ารู้ตัวไหมว่าผิด”
ฉู่หลิงเยว่ขำพรวดออกมา ราวกับว่านางได้ยินเรื่องตลกจากปากของผู้อาวุโส
“ผู้อาวุโส ท่านก็รู้นี่นาว่าอาวุโสกว่าข้า แต่ทำไมหลายปีที่ผ่านมา ตอนที่ข้าถูกรังแก ท่านเคยออกมาปรากฏตัวบ้างไหม ในฐานะผู้อาวุโส ท่านเคยปกป้องข้าสักครั้งบ้างไหม”
“เจ้า…” คำพูดของผู้อาวุโสจุกอยู่ที่ลำคอ จากนั้นเขาจึงเบนหน้าหนี “มีเรื่องราวมากมายในตระกูลฉู่ กระทบกระทั่งกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ…”
“ฉะนั้นกระทบกระทั่งที่ว่า นี่สิบปีเชียวหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พูดตัดบทเขา รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงสายตาที่เย็นยะเยือก
“ห้าขวบ ข้าถูกคนใช้วางยาพิษ หมดสติไปสามวันสามคืนถึงมีชีวิตรอดมาได้ ตอนเจ็ดขวบ ข้าอยากฝึกยุทธ์เหมือนเด็กคนอื่นบ้าง แต่กลับมีคนไปฟ้อง แม้กระทั่งลานฝึกข้ายังไม่มีสิทธิ์ไป สิบขวบ ในที่สุดข้าก็สามารถออกจากจวนได้ แต่เพราะโดนใช้ไปซื้อของจิปาถะ ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ข้าต้องไปตักน้ำให้พวกขี้เกียจทั้งหลายซักผ้าจนมือข้าพุพองไปหมด…สิ่งเหล่านี้ ผู้อาวุโสก็คงทราบดีใช่หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกสิ้นหวังเย็นเฉียบบาดขั้วหัวใจยิ่งนัก
เด็กคนหนึ่งทำผิดอะไรถึงต้องมาทนแบกรับสิ่งเหล่านี้
ผู้อาวุโสและคนอื่นต่างเป็นใบ้กันไปหมด ผู้คนที่มุงดูก็เงียบเสียงเหมือนกัน
คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าตระกูลฉู่มีคนไร้สมรรถภาพอยู่หนึ่งคน
แต่แทบจะไม่มีใครคิดถึงเลยว่า คนไร้สมรรถภาพผู้นั้นก็เป็นทายาทสายตรงของตระกูลฉู่เหมือนกัน!
ต่อให้เป็นเช่นไรก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรุนแรงกันถึงขนาดนี้!
“นั่น เรื่องพวกนั้นมันผ่านมาแล้ว แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้ทำร้ายเจ้าให้ถึงตายจริงๆ มิใช่หรือ ตอนนี้เจ้าก็สอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้แล้ว เจ้ามาพูดทำไมตอนนี้ เจ้าคิดจะทำอะไร อยากให้ตระกูลฉู่ขอโทษเจ้าใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสตะโกนด้วยความโกรธ
ฉู่หลิวเยว่ไม่เอ่ยสิ่งใด และดวงตาที่เฉียบคมและเย็นชาราวใบมีดน้ำแข็งก็กวาดมองไปทั่วผู้คนเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้านาง
ในใจของนางมีเศษเสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีแสงริบหรี่
ซึ่งนั่นก็คือความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม
แม้ว่านางจะไม่ใช่ฉู่หลิวเยว่ตัวจริง แต่ตอนนี้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว นางแทบจะไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกโกรธแค้นและความเกลียดชังของนางได้
อาจเป็นเพราะนางใช้ร่างกายนี้ หรืออาจเป็นเพราะพวกนางเคยเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกัน
ตอนนี้ ในเมื่อนางคือฉู่หลิวเยว่ ไม่ว่าความแค้นในอดีตหรือปัจจุบัน นางจะต้องคิดบัญชีให้หมด
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้านี่ช่างไม่รู้ความจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลฉู่ก็เลี้ยงดูเจ้ามาอย่างไม่ได้ลำบากหรือเดือดร้อนอะไร ตอนนี้เจ้าไม่แม้แต่จะสำนึกบุญคุณ เจ้ายังกล้ากลับมาแว้งกัดอีกหรือ เที่ยวป่าวประกาศว่าตระกูลฉู่ไร้ความยุติธรรมกับเจ้าต่อหน้าชาวบ้านมากมายเช่นนี้ จิตใจเจ้าทำด้วยอะไร!”
ในที่สุดฉู่เยี่ยนก็อดไม่ได้แล้วตะคอกใส่นางเสียงดังลั่น
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง
“หรือว่าที่ข้าพูดไม่ใช่เรื่องจริง อีกอย่างคนที่เลี้ยงดูข้าคือท่านพ่อท่านแม่ข้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทันไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นในตระกูลฉู่ตอนไหน ฉู่เยี่ยน หลายปีมานี้เจ้าแอบกดขี่บัญชีของท่านพ่อข้า ข้ายังไม่ได้สะสางเจ้าเลย เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้กับข้าอีกหรือ”
หลังจากปีนั้นที่ฉู่หนิงได้รับบาดเจ็บ แม้พลังร่างกายจะอ่อนแอลงไป แต่ความสามารถด้านอื่นๆ ยังคงโดดเด่นมาก
ฉู่หนิงรับผิดชอบหน้าที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของร้านภายใต้ชื่อของฉู่เยี่ยน
และฉู่หนิงก็ได้รับความสำคัญไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แต่เป็นเพราะถูกฉู่เยี่ยนกดขี่ ให้คนน้อยใหญ่ในตระกูงเหยียบย่ำ เขาปฏิบัติต่อฉู่หนิงเช่นไรไม่ต้องคิดก็พอจะรู้
ส่งผลให้ชีวิตของสองพ่อลูกนับวันยิ่งเลวร้ายมืดมนลงไปเรื่อยๆ และฉู่หนิงก็ยิ่งกลัดกลุ้ม
“เจ้าบังอาจ!”
ฉู่เยี่ยนไม่เคยคิดเลยว่าฉู่หลิวเยว่จะกล้าด่าเขาต่อหน้าเยี่ยงนี้ เขาโกรธจนสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยมืออันสั่นเทาแล้วผรุสวาจา
“เจ้า! เจ้า! ดี ฉู่หลิงเยว่ เจ้าคิดว่าสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ก็คิดว่าตัวเองเก่งมากนั้นสิ!”
“ข้าไม่เพียงแค่สอบเข้าได้ แต่ข้ายังสอบผ่านสามวิชา อีกอย่าง ตอนสอบข้ายังคว้าที่สองของการสอบปรมาจารย์และคว้าที่หนึ่งของการสอบผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ยักคิ้วให้
“ข้าก็ไม่ได้เก่งมากขนาดนั้นหรอก ก็แค่เก่งกว่าฉู่เซียนหมิ่นนิดหนึ่งเท่านั้น”
“เจ้า!”
ฉู่เยี่ยนโกรธจนแทบตาย เขาเถียงฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เลยสักคำ
ใครใช้ให้นางพูดความจริงกันล่ะ!
ผู้มีความสามารถเป็นที่เคารพ ไม่มีคำไหนที่แรงไปกว่านี้อีกแล้ว
“พอแล้ว!”
ผู้อาวุโสตวาดลั่นอย่างเดือดดาล แล้วจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง
“เจ้ารีบกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้ แล้วหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสำนึกผิดซะ”
“ผู้อาวุโส ดูเหมือนท่านจะเข้าใจอะไรผิดไป ข้าให้ท่านมา ไม่ได้ให้ท่านมาเชิญข้ากลับเข้าไป”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว แล้วเอ่ยขึ้นชัดถ้อยชัดคำ
“ข้ามาเพื่อตัดขาดกับตระกูลฉู่ต่างหาก!”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้า ฉู่หลิวเยว่รวมถึงฉู่หนิงบิดาของข้าขอตัดขาดกับตระกูลฉู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ อีกต่อไป ชีวิตนี้ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ขออย่าได้เจอะได้เจอกันอีก!”