เล่ม 1 ตอนที่ 66 เอาคืน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ฉู่อิ้น ผู้อาวุโสคนที่สามหัวเราะ แล้วเอ่ยถามอย่างสนใจ

“ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านคงไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่ หลิวเยว่สอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ก็ถือว่าสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลของเรา ทำไมถึงได้กลับลงโทษนางล่ะ”

ทุกคนในห้องโถงใหญ่เข้าสู่บรรยากาศเงียบอันน่าอึดอัด

ถ้าหากเป็นลูกหลานคนอื่นใสตระกูลฉู่สอบติดสำนักเทียนลู่ เกรงว่าพวกเขาจะดีใจไม่ทันเสียมากกว่า

แต่คนคนนี้คือฉู่หลิวเยว่

คนที่ตลอดสิบปีที่ผ่านมา โดนคนในตระกูลฉู่รังแกมาโดยตลอด

ตอนนี้ยิ่งนางโดดเด่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คนตระกูลฉู่ดูย่ำแย่ ซึ่งนั่นสามารถพิสูจน์ได้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาร้ายกาจขนาดไหน

ตอนนี้คนเขารู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวงหมดแล้ว เบื้องหน้าแต่ละตระกูลต่างมาแสดงความยินดี แต่ไม่รู้ว่าลับหลังพวกนั้นจะหัวเราะเยาะพวกเขาขนาดไหน!

ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่รอสมน้ำหน้าพวกเขา

ผู้อาวุโสใหญ่โกรธเกรี้ยว

“ก็เพราะเหตุนี้ถึงต้องยิ่งลงโทษนางให้หนัก เห็นได้ชัดว่าร่างกายของนางไม่ได้มีปัญหาใดๆ ทั้งยังมีพรสวรรค์แต่กลับแกล้งทำเป็นคนไร้ความสามารถ โกหกหลอกลวงคนทั้งตระกูลฉู่ ตอนนี้นางโด่งดังแล้วตระกูลฉู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”

“ผู้อาวุโสใหญ่พูดถูก คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะมีความคิดแยบยลเช่นนี้ หากนางไม่ได้จงใจก่อเรื่องอย่างวันนี้ ข้าก็ไม่เชื่อเด็ดขาด!”

ฉู่เยี่ยนระงับความโกรธแล้วเอ่ยเสียงนิ่งขรึม

วันนี้เขาไปจัดการธุระที่ข้างนอก เมื่อได้ยินข่าวดังกล่าวก็จึงรีบกลับมาทันที

เขาในตอนนี้รู้สึกโกรธแค้นฉู่หลิวเยว่เป็นอย่างยิ่ง

นางไม่เพียงสอบติดสำนักเทียนลู่เท่านั้น แล้วยังได้ที่สองในการสอบปรมาจารย์และที่หนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์อีกด้วย นี่มันกดหัวฉู่เซียนหมิ่นชัดๆ!

แล้วฉู่เยี่ยนจะทำใจรับได้อย่างไร

“หากลูกหลานในตระกูลฉู่เลียนเอานางเป็นเยี่ยงอย่างแล้วเป็นเหมือนนางไปกันหมด เช่นนั้นกฎของตระกูลจะมีไว้ทำไม”

เมื่อทุกคนในห้องโถงได้ยินดังนั้นก็พากันสบตาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน

“ดูเหมือนคำพูดของฉู่เยี่ยนจะพิจารณาเพื่อตระกูลฉู่มาอย่างดี แต่ความเป็นจริง มีใครไม่รู้บ้างว่าเขาพูดเพื่อต้องการแก้แค้นส่วนตัวมากกว่า

ฉู่เซียนหมิ่นบุตรสาวของเขาคือผู้ที่ตระกูลฉู่ภูมิใจมากที่สุด แต่วันนี้กลับถูกฉู่หลิวเยว่หักหน้าและพ่ายแพ้ เขาจะพอใจได้อย่างไร เกรงว่าตอนนี้เขาอาจจะมีความคิดฆ่าฉู่หลิวเยว่ให้ตายแล้วก็ได้

ผู้อาวุโสที่สามจิบน้ำชาอย่างใจเย็น

“ร่างกายของฉู่หลิวเยว่จะมีปัญหาหรือไม่ ผู้อื่นไม่รู้ แต่คนในตระกูลฉู่ของพวกเราต่างทราบกันดีมิใช่หรือ ตอนนั้นฝ่าบาทเชิญหมอหลายคนมาตรวจชีพจรให้นาง ต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าชีพจรของนางไม่สมบูรณ์ หลายปีก่อนตอนที่คนในตระกูลทดสอบก็พบว่าไม่มีพลังใดๆ เคลื่อนไหวในร่างกายของหลิวเยว่ ดังนั้น…ที่ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวว่านางมีความผิดฐานโกหกหลอกลวง เพราะสงสัยว่าคนเหล่านั้นพูดโกหกใช่หรือไม่”

สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่นิ่งค้าง

“ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย!”

คนเหล่านั้นมีตำแหน่งสูงเป็นที่เคารพเลื่อมใส ไม่ใช่คนที่เขาสามารถล่วงเกินได้!

ถ้าคำพูดเหล่านั้นแพร่งพรายออกไป เขาคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่ๆ

แต่ฉู่เยี่ยนกลับไม่ยอมถอดใจแล้วสบถเสียงเย็น

“คนพวกนั้นไม่มีทางผิดหรอก คนที่ผิดคือฉู่หลิวเยว่ต่างหาก ตามที่ผู้อาวุโสสามได้กล่าวมานั้น ก่อนหน้านี้ชีพจรนางยังพิการอยู่ แต่ทำไมพริบตาเดียวถึงกลายเป็นอัจฉริยะไปได้ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้นแน่ๆ นางเองก็ไม่เคยบอกใคร ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้สอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ ก็ไม่รู้ว่าทุกคนจะรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่”

ทุกคนต่างหันมาสบตากัน

อันที่จริงข้อนี้ก็เป็นจุดที่พวกเขาสงสัยมากที่สุด

เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของฉู่หลิวเยว่กันแน่ ทำไมถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้

“หรือเป็นเพราะ…ยาสมุนไพรที่นางซื้อมาไม่กี่วันก่อนหน้านี้…” มีคนพึมพำขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจนัก

“หลังจากที่ยาพวกนั้นมาถึง ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นคนจัดการเองทุกอย่าง หรือเจ้าจะบอกว่า ฉู่หลิวเยว่นางฟื้นฟูชีพจรด้วยตนเอง!” ผู้อาวุโสหัวเราะปนโมโหและคิดว่าเรื่องนี้น่าเหลวไหลสิ้นดี

ตอนนั้นเขาแอบส่งคนไปจับตามองสองพ่อลูกคู่นี้ แล้วก็ไม่เห็นพวกเขาเข้ามาในบริเวณลานบ้านของพวกเราเลย

แคว้นเย่าเฉินไม่มีใครสามารถฟื้นฟูชีพจรได้ แล้วนางจะทำเองได้อย่างไร

หรือไม่นางก็ได้รับโชคบางอย่าง หรือไม่ก็มีคนที่เก่งกาจแอบช่วยเหลือนางลับๆ

ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ต้องขุดขึ้นมาให้ได้

“ตอนนี้ประมุขตระกูลยังคงเก็บตัวบำเพ็ญ เรื่องในตระกูลฉู่ให้ข้าเป็นคนจัดการ รอฉู่หลิวเยว่กลับมาเมื่อไหร่ ให้รีบพานางมาไต่สวนที่นี่”

เขากวาดสายตามองทุกคนอย่างเข้มงวด สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ผู้อาวุโสสาม

“ประมุขตระกูลมอบหน้าที่นี้ให้ข้า ข้าต้องมีความรับผิดชอบต่อตระกูลฉู่แน่นอน ฉู่อิ้น เจ้าต่อต้านเช่นนี้มาตลอด เพื่ออะไรกันแน่”

ผู้อาวุโสสามยิ้มเยาะในใจ ตาเฒ่านี่นับวันยิ่งไร้ยางอาย

ประมุขตระกูลไม่อยู่ก็ทำตัวกำเริบเสิบสานยิ่งนัก

เขาผ่อนร่างกายสบายๆ แล้วเอนพิงพนักเก้าอี้ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ

“ผู้อาวุโสใหญ่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ต่อต้านท่าน ข้าแค่คิดว่าเด็กหนุ่มสาวในตระกูลฉู่ที่มีพรสววรค์ยิ่งมีน้อย ตอนนี้ยากนักกว่าจะเจอคนที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างฉู่หลิวเยว่ แล้วยังเป็นถึงอัจฉริยะด้านปรมาจารย์และผู้ฝึกยุทธ์อีกต่างหาก ได้รับความชื่นชมจากอาจารย์ในสำนักเทียนลู่ อนาคตนางต้องยาวไกลแน่นอน ที่บอกว่าเป็นหน้าตาของตระกูลฉู่หาได้เกินจริงไม่ หากผู้อาวุโสต้องการสอบถาม ไต่สวนหรือลงโทษก็ควรมีความยุติธรรม แน่นอนว่าผู้อาวุโสปรีชาสามารถเช่นนี้ หัวใจมีไว้เพื่อตระกูลฉู่ จะต้องไม่ทำเรื่องอะไรที่เกินควร ใช่หรือไม่”

คำพูดของเขาทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ถึงกับสะอึก แล้วสะบัดชายแขนเสื้ออย่างรุนแรง

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”

ขณะนั้นเอง เด็กรับใช้ก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ผู้อาวุโสใหญ่! …คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วขอรับ!”

ผู้อาวุโสตำหนิเขา

“นางกลับมาแล้วอย่างไร เจ้าตื่นเต้นอะไร!”

เขาเงยหน้าแล้วมองออกไปด้านนอก

“แล้วนางล่ะ! ให้นางรีบมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

เด็กรับใช้ในตระกูลคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึงตัง สีหน้าของเขาตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก แล้วพูดตะกุกตะกักว่า

“คือ…คือ…คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วขอรับ แต่ว่า…นางยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ตัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเข้ามาขอรับ!”

“อะไรนะ!”

ผู้อาวุโสขมวดคิ้วเป็นปม

“นางคิดจะทำอะไรอีกถึงได้ไม่ยอมเข้ามาสักที หรือว่าต้องให้ข้าไปเชิญนางเข้ามา!”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉู่หลิวเยว่เอาแต่หดหัวอยู่ในตระกูลฉู่ วันนี้นางเพิ่งจะสอบติดสำนักเทียนลู่ได้ก็หยิ่งจองหองขนาดนี้เชียวหรือ!

เขาสบถเสียงต่ำแล้วมองหน้าทุกคนที่อยู่ล้อมรอบ

“เห็นหรือยัง ยังไม่ทันไร นังเด็กคนนี้ก็กำเริบเสิบสานแล้ว”

ทุกคนในห้องโถงมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

ผู้อาวุโสสามเอ่ยถาม

“นางได้พูดอะไรหรือไม่”

เด็กรับใช้คนนั้นยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก”

“คุณหนูใหญ่บอกว่า ว่า…ต้องการให้ผู้อาวุโสใหญ่ออกไปพบขอรับ”

“นางสมองกลับไปแล้วหรือ!”

เมื่อผู้อาวุโสได้ยินดังนั้นก็ลุกพรวดพราด

“นางคิดว่าตัวเองเป็นใครฮะ!”

ผู้อาวุโสสามลูบเคราไปมาแล้วเหยียดยิ้ม

“ผู้อาวุโสใหญ่ ฉู่หลิวเยว่ไม่ใช่ใครที่ไหน นางก็เป็นแค่อัจฉริยะหายากในรอบศตวรรษ คือทายาทรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในตระกูลฉู่ของพวกเรา ท่านเพิ่งพูดเองหยกๆ ว่าตระกูลฉู่สำคัญกว่าทุกสิ่ง ท่าน…คงไม่ปฏิเสธหรอกกระมัง”

“เจ้า!”

ผู้อาวุโสใหญ่เป็นเดือดเป็นร้อน

“ไปก็ไป! ข้าอยากจะดูเหมือนกันว่านางจะมาไม้ไหน!”

ฉู่หลิวเยว่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บริเวณด้านหน้าประตูใหญ่ของตระกูลฉู่

นางมองตัวอักษรปิดทองบนประตูว่า “ตระกูลฉู่” ด้วยสายตาเย็นชาเรียบนิ่ง

ความคับแค้นใจและความอัปยศอดสูที่เจ้าของร่างเดิมเคยได้รับความทุกข์ทรมาน ณ ที่แห่งนี้ ในวันนี้นางจะขอ…เอาคืนให้ทั้งหมด!