เล่ม 1 ตอนที่ 65 ความผิด

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

จงใจ!

ฉู่หลิวเยว่จงใจทำทั้งหมด!

หรงจิ้นไม่ใช่คนโง่เขลา เมื่อเห็นท่าทีของฉู่หลิวเยว่ในวันนี้แล้วทำไมเขาจะไม่เข้าใจ

อันที่จริงนางคิดที่จะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

มิฉะนั้นนางจะแอบขายที่ดินล่าสัตว์เองได้อย่างไร แล้วยังเป็นคนที่ทำให้ก่อเรื่องราวต่างๆ ตามมาภายหลังอีกด้วย!

หรงจิ้นมองหญิงยาวที่กำลังยิ้มอยู่ตรงหน้า ดวงตาของนางเปล่งประกายสดใส ราวกับว่าว่านางคาดการณ์วันนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว

“หากองค์ชายไม่มีธุระอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัว”

ฉู่หลิวเยว่พูดพลางเดินผ่านข้างกายเขา

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีความคะนึงหากันเลยสักนิด

หรงจิ้นรู้สึกราวกับว่าโดนอะไรบางอย่างทิ่มแทงอย่างแรง ราวกับว่าชั่ววินาทีนี้ได้สูญเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญไป

เขากำหมัดแน่น และอาศัยเหตุผลสุดท้ายที่จะยับยั้งความอยากที่จะรั้งนางไว้

…แต่ตอนนี้เขายังจะทำอะไรได้อีก

ทุกคนกำลังมองเขาเป็นตัวตลก!

“พี่จิ้น…พี่จิ้น…ทรงช่วยหมินหมิ่นด้วย…หมินหมิ่นเจ็บเหลือเกิน! พี่จิ้น…”

ฉู่เซียนหมิ่นเห็นหรงจิ้นเสมือนฟางเส้นสุดท้าย นางกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน

นางต้องการลุกเดินเข้าไปหาหรงจิ้น แต่ทว่าดูเหมือนร่างกายของนางจะอ่อนแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าทำยังไงก็ไม่สามารถใช้พละกำลังได้เลย

หลังจากที่นางดิ้นรนสองครั้ง นางก็ล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง ฝุ่นสีเทาสกปรกเปื้อนไปตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ควบคู่ไปกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและบาดแผลพร้อมคราบเลือดที่ทำให้ผู้พบเห็นตกใจ โดยรวมแล้วเหมือนผีที่น่ากลัวยิ่งนัก

สภาพนางในตอนนี้ เหมือนสาวน้อยอัจฉริยะที่เคยเป็นที่ภูมิใจและเป็นที่ต้องการของใครหลายคนตรงไหน

แต่ตอนนี้ใครหลายคนในกลุ่มคนแสดงท่าทีรังเกียจออกมา

“ถุ๊ย ฉู่เซียนหมิ่นแพ้การประลองครั้งนี้อย่างราบคาบจริงๆ!”

“เหอะๆ ก่อนหน้านี้เจ้าชอบนางมากมิใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงได้…”

“ถุ๊ย! ข้าไม่กล้าชอบสตรีชั้นสูงผู้ใจกล้าปล่อยเนื้อปล่อยตัวหรอก วันนี้นางขายขี้หน้าไม่มีชิ้นดี ต่อไปในวันข้างหน้าไม่ว่าจะในสำนักหรือแคว้นเย่าเฉิน ชีวิตของนางก็คงไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ!”

“มิฉะนั้นจะทำให้องค์ชายรัชทายาทโปรดปรานได้อย่างไร มีสตรีมากมายในเมืองหลวงที่อยากจับองค์ชายให้อยู่หมัด แต่มีฉู่เซียนหมิ่นผู้เดียวที่ทำสำเร็จ ตอนนี้ข้าดูแล้วว่า สายตาขององค์ชายรัชทายาทก็ร้อนแรงหมือนกันนะเนี่ย…ฮ่าๆๆๆ!”

“เฮ้อ พวกเจ้าว่า หลังจากเรื่องวันนี้ผ่านไป องค์ชายรัชทายาทยังจะแต่งฉู่เซียนหมิ่นเข้ามาเป็นพระชายาหรือไม่”

“องค์ชายจะแต่งงานกับนางหรือไม่ข้าก็ไม่รู้หรอก ข้ารู้แค่ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉู่หลิวเยว่จะกลายเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่เนื้อหอมที่สุดในเมืองหลวง แล้วยิ่งตอนนี้นางยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับรัชาทายาทไปแล้วได้อิสรภาพกลับคืนมา ประกอบรูปโฉมงดงามมิมีใครเปรียบ ทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ทั้งด้านผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ หัวกระไดตระกูลฉู่คงไม่แห้งก็คราวนี้!”

เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นจอแจ

หรงจิ้นร้อนๆ หนาวๆ ราวกับมีของเหลวร้อนข้นหนืดไหลเวียนอยู่ในอกพร้อมที่จะปะทุในวินาทีถัดมา

เขาจ้องฉู่เซียนหมิ่นเขม็งด้วยความโกรธเกลียดอย่างถึงที่สุด

“ใครก็ได้พานางไป แล้วรักษาให้ดี!”

หรงจิ้นกัดฟันกรอดๆ แล้วออกคำสั่ง

คนข้างหลังรีบมาข้างหน้าแล้วพยุงฉู่เซียนหมิ่นออกไป

ในขณะที่เดินผ่านหรงจิ้น ฉู่เซียนหมิ่นก็ยื่นมือเพื่ออยากขอคำปลอบโยนจากเขา

“พี่จิ้น พี่…”

หรงจิ้นมองนางเพื่อเป็นการเตือนกลายๆ

“ช่วงนี้ เจ้าก็รักษาตัวให้ดี หากไม่มีธุระก็ไม่ต้องออกมา เข้าใจไหม”

ฉู่เซียนหมิ่นไม่เคยเห็นหรงจิ้นใช้สายตาเย็นชาเรียบนิ่งกับนางเช่นนี้มาก่อน

เขามองนางราวกับเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์

ฉู่เซียนหมิ่นชักมือกลับมาแล้วข่มความกลัวพร้อมกับความไม่พอใจเอาไว้

“…เพคะ…เพคะ…”

“เสี่ยวหลิวเยว่ เจ้าไม่เลวเลยนี่น่า ข้าบอกแล้วว่าเจ้าคืออัจฉริยะหาตัวจับยาก ตาแก่พวกนั้นไม่ยอมเชื่อข้าเอง”

อีกด้านหนึ่ง ไป๋เชินรีบวิ่งมาหาฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็ว แล้วเชิดหน้าใส่อาจารย์พวกนั้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“ที่สองปรมาจารย์ ที่หนึ่งผู้ฝึกยุทธ์ ผลสอบเช่นนี้ พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”

อาจาย์พวกนั้นต่างสบตากันแล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ความสามารถเป็นหลักฐานที่ทรงพลังที่สุดเสมอ!

หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาก็คงไม่กล้าเชื่อว่าฉู่หลิวเยว่ผู้ไร้ความสามารถที่เคยถูกคนทั้งเมืองหลวงหัวเราะเยาะจะสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้จริง!

ซุนจ้งเหยียนหัวเราะและส่ายหน้า

“เอาล่ะ ไป๋เชิน แต่นี้ต่อไปคงไม่มีใครสงสัยว่าฉู่หลิวเยว่ติดสินบนเจ้าแล้วสอบเข้ามาได้แล้วล่ะ ในทางกลับกันก็ต้องชื่นชมเจ้าด้วยที่ไม่ปล่อยให้สำนักสูญเสียอัจฉริยะที่แท้จริงหลุดมือไป”

ไป๋เชินนึกถึงตนเองที่แสดงกิริยาไม่ดีต่อฉู่หลิวเยว่ก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกแล้ว

“เฮ้อ! เรื่องนี้ข้าไร้ความสามารถ ที่สำคัญคือความสามารถของตัวเสี่ยวหลิวเยว่ที่โดดเด่นต่างหาก”

สายตาของนักเรียนหลายๆ คนที่มองฉู่หลิวเยว่เริ่มเปลี่ยนไป จากสายตาดูถูกเปลี่ยนเป็นสนใจและชื่นชมในตัวนาง

“อาจารย์ไป๋เชิน ท่านเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าตอนสอบเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ทันใดนั้นก็มีนักเรียนตะโกนถาม

คำพูดนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนเป็นอย่างดี

“จริงด้วย เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิอาจารย์”

“สอบผ่านทั้งสามสาขา นางผ่านมาได้ยังไง”

ไป๋เชินก่นด่าด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าพวกนี้นี่ ข้าเป็นอาจารย์ มิใช่นักเล่านิทาน เรื่องนี้แพร่สะพัดไปข้างนอกแล้ว พวกเจ้าก็ไปสืบเอาเองก็แล้วกัน!”

ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

ฉู่เซียนหมิ่นรุ้สึกว่าเสียงหัวเราะพวกนี้ช่างบาดแก้วหูยิ่งนัก

นางเคยเป็นจุดสนใจของทุกคน นางต่างหากที่เป็นคนที่ใครๆ ต้องอิจฉา

แต่ทว่าตอนนี้ ฉู่หลิวเยว่กลับแย่งนางไปทั้งหมด แล้วได้มากกว่านางอีกหลายเท่า

แล้วนางล่ะ

ตอนนี้ทำได้เพียงให้คนพาออกไปจากสนาม จากไปพร้อมความสกปรก อ้างว้างและน่าสมเพช

นางปิดเปลือกตาลงด้วยความเจ็บแค้น ขบกรามแน่นจนฟันแทบแตกละเอียด

ฉู่หลิวเยว่ ระหว่างเจ้ากับข้า…ไม่จบแค่นี้แน่!

คนที่รู้สึกอับอายไม่ได้มีแค่ฉู่เซียนหมิ่น แต่ยังมีหรงจิ้นอีกด้วย

เขายื่นแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เมื่อได้ยินเสียงหัสเราะครึกครื้นจากด้านหลังก็ยิ่งรู้สึกทรมานใจ

“ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมายในวัง ศิษย์ขอตัวลาก่อน”

หรงจิ้นกำมือคำนับซุนจ้งเหยียน แล้วออกไปทันทีอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองอีก

“หลิวเยว่ วันนี้เจ้าเข้าเรียนวันแรก เพราะเจ้าสอบผ่านทั้งสามสาขา ดังนั้นเจ้าสามารถเลือกหนึ่งสาขาใดก็ได้เป็นหลักในการฝึกฝน ตอนนี้เจ้าเข้าสอบทั้งสองวิชาไปแล้ว หากต้องการศึกษาพวกนี้ให้ลึกซึ้งถ่องแท้ เจ้า…คิดได้หรือยังว่าจะเลือกอันไหน”

ซุนจ้งเหยียนเอ่ยขึ้น

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทุกคนก็เงียบและมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยความสนใจ

ไป๋เชินลอบกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น

เดิมทีคิดว่าฉู่หลิวเยว่มีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์มากที่สุด แต่พอผ่านการประลองเมื่อครู่นี้มา เขาจึงเข้าใจแล้วว่าชีพจรของฉู่หลิวเยว่ไม่ได้มีปัญหาตั้งแต่แรก แล้วนางก็ยังมีพรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์อีกด้วย

ไม่มีอุปสรรคใดๆ ขวางหน้านางอีกแล้ว ไม่ว่าเลือกทางไหนล้วนเป็นหนทางที่ยิ่งใหญ่และดีทั้งนั้น

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแย้ม

“ข้าเลือก…ปรมาจารย์!”

ณ ตระกูลฉู่

ไม่มีที่นั่งว่างในห้องโถงใหญ่

ทุกคนในตระกูลฉู่ล้วนมารวมตัวกันที่นี่ในเวลานี้ทั้งหมด

ภายในห้องโถงใหญ่กว้างขวาง เกิดบรรยากาศเงียบสงัด

ไม่มีใครพูดอะไรออกมา และสีหน้าแต่ละคนก็แปลกประหลาดยิ่งนัก

พวกเรารีบมากันเพราะข่าวคราว แล้วต่างก็รู้ๆ กันว่ามารวมตัวเพราะเหตุใด

ในที่สุด ผู้อาวุโสสามก็ลูบเคราแล้วเอ่ยว่า

“ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มส่งของขวัญอวยพรมาให้…นี่ ถ้าตามกฎแล้ว หลิวเยว่สามารถสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ พวกเราก็ควรฉลองให้…”

“ฉลองอะไรกัน!”

สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ดูย่ำแย่ เขาตบโต๊ะอย่างแรง

“นางกลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะลงโทษนางในความผิดฐานโกหกหลอกลวงก่อนอันดับแรก!”