ฉู่เซียนหมิ่นหดเกร็งไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดเผือดและตื่นตระหนกราวกับเห็นผี ริมฝีปากสั่นระริกแต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
เมื่อครู่นี้ที่กระบี่นั้นลอยมาเฉียดศีรษะนาง หากมันเบี่ยงเบนมาอีกนิดเดียวก็จะสามารถปลิดชีวิตนางได้แล้ว!
ทุกคนต่างตกใจลืมตาอ้าปากค้าง
ฉู่หลิวเยว่…แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่!
“กระบี่นั้นของนางมันมีพลังแฝงอยู่!”
อาจารย์ท่านหนึ่งพึมพำด้วยความตะลึง
มิฉะนั้น คงอธิบายไม่ได้ว่ากระบี่เล่มนั้นทำไมถึงได้มีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้!
พลังของฉู่เซียนหมิ่นมีความใกล้เคียงกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่ การจะบีบให้นางมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้อย่างแน่นอน!
“อย่าบอกนะว่า…ชีพจรของนางสมบูรณ์แล้ว!”
อาจารย์ท่านอื่นต่างพากันมองหน้าแล้วดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววเหลือเชื่อ
“มิน่าล่ะ…”
ไป๋เชินถอนหายใจทอดยาว
ตอนที่เขาต่อสู้กับฉู่หลิวเยว่เมื่อก่อนหน้านี้ก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง ตอนนี้เมื่อพิจารณาดูแล้วก็มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายข้อเท็จจริงได้
“สงสัยแม่หนูผู้นี้คงจะเก็บซ่อนความสามารถเอาไว้จริงๆ…”
ซุนจ้งเหยียนนิ่งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาแล้วสายตาที่มองฉู่หลิวเยว่ก็เต็มไปด้วยความทึ่งและชื่นชม
แม้เขาจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ หากไม่ใช่เพราะนางต่อสู้กับฉู่เซียนหมิ่นครั้งนี้ ทุกคนก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้ความลับนี้เมื่อไหร่!
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ไหนบอกว่าฉู่หลิวเยว่ชีพจรพิการมิใช่หรือ!” ผู้คนต่างตื่นตะลึงและยังคงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ “หากฉู่หลิวเย่คือผู้ฝึกยุทธ์ แล้วทำไมทุกคนถึงจับสังเกตไม่ได้ล่ะ!”
หากก่อนหน้านี้นางเปิดเผยความเคลื่อนไหวของพลังในร่างกาย ผู้อื่นจะต้องจับสังเกตได้อย่างแน่นอน ฉู่เซียนหมิ่นก็คงไม่เหิมเกริมแล้วพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอนาถขนาดนี้
ซุนจ้งเหยียนจ้องฉู่หลิวเยว่ จากนั้นจึงยิ้มพลางลูบไล้หนวดเครา
“นั่นก็เป็นเพราะว่า ตอนนี้นางยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ ยังไงล่ะ”
“อะไรนะ!”
เมื่ออาจารย์ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตะลึงค้าง
“พลังแห่งดินที่ดูดซับเข้าไปในร่างกายนางนั้นมีมากพอแล้ว แค่นางยังไม่ได้ก้าวข้ามไปถึงจุดนั้น แล้วยังมิได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นได้”
หลิงจู๋ถอนหายใจเบาๆ สายตาที่เขามองฉู่หลิวเยว่นั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ตอนอายุยังน้อย เขารู้วิธีการซ่อนพลังของตัวเองและรอเวลาของเขาอยู่แล้ว แต่ทว่าบุคคลนี้แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันมาก!
“แต่ก่อนหน้านี้ทางเจ้าสำนักก็เคยตรวจสอบนางแล้ว นางมีชีพจรที่ไม่สมบูรณ์จริงๆ แต่ตอนนี้ทำไมถึง…”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ช่วงก่อนหน้านี้ ฉู่หลิวเยว่ได้ขายที่ดินพื้นที่ล่าสัตว์ขององค์ชายรัชทายาทไปแล้ว แล้วซื้อยาสมุนไพรมากมายจากร้านเจินเป่าเก๋อ เรื่องตอนนั้นลุกลามบานปลาย หรือว่า…นางดีขึ้นมาในตอนนั้น”
“แต่ว่าหมอเทวดาทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินมีน้อยมากจนแทบนับได้ไม่กี่คน แล้วใครจะมีความสามารถเช่นนี้ได้เล่า”
การฟื้นฟูเส้นชีพจรที่พิการนั้น สำหรับพวกเขาแล้วเห็นได้ชัดว่ามันคือเรื่องที่ทำไม่ได้!
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ก็ได้มายืนอย่างทะนงองอาจต่อหน้าพวกเขาแล้ว ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อ!
…
“ยอมแพ้ หรือว่าไปต่อ”
กลางสนามประลอง ฉู่หลิวเยว่ยืนมองฉู่เซียนหมิ่นจากเบื้องสูง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเรียบนิ่ง
ไปต่อหรือ
เมื่อฉู่เซียนหมิ่นได้ยินคำๆ นี้ก็สั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์กาย
ความรู้สึกเจ็บปวดบนใบหน้าและศีรษะได้คอยย้ำเตือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางเมื่อครู่ที่ผ่านมา หากไปต่อ…เกรงว่านางคงถูกฉู่เซียนหมิ่นทำลายจนย่อยยับ!
แต่ทว่า หากนางยอมแพ้ฉู่หลิวเยว่ นางก็ยอมไม่ได้จริงๆ
ฉู่เซียนหมิ่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง
หญิงสาวผู้นั้นที่เคยโดนนางกลั่นแกล้งรังแกและเหยียบย่ำให้จมดิน กลับกำลังหยามเหยียดนางอย่างผู้ชนะ!
ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันเป็นเช่นนี้!
หากยอมแพ้เมื่อไหร่ ผู้ที่ได้ที่หนึ่งก็คือฉู่หลิวเยว่!
นางจะปล่อยให้ฉู่หลิวเยว่ชนะทุกอย่างไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ดูเหมือนว่าฉู่เซียนหมิ่นจะมีสองพลังที่กำลังฉีกกระชากหัวใจของนางอย่างบ้าคลั่งและทำให้นางลำบากใจในการเลือกหนทาง
“เช่นนั้นก็ไปต่อเถิด”
ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่ได้มีความอดทนรอนางมากขนาดนั้น นางรับคำแล้วยกมือขวาขึ้น…
“ข้ายอมแพ้ ข้ายอมแพ้แล้ว!”
ดูเหมือนฉู่เซียนหมิ่นจะได้รับการกระตุ้นบางอย่าง นางจึงกรีดร้องเสียงดัง ในขณะเดียวกันก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว นางจ้องมือขวาของฉู่หลิวเยว่ด้วยความตื่นตระหนกราวกับกำลังหนีความหายนะ!
ฉู่หลิวเยว่ปักเข็มสีดำลงไปที่บริเวณหลังหูของนาง จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ
“ตกใจทำไม ข้าบอกแล้วว่าข้าต้องการคว้าอันดับหนึ่งเท่านั้น”
นางพูดพลางมองไปที่อาจารย์คุมสอบที่อยู่ด้านข้าง
“อาจารย์ ตอนนี้ประกาศผลสอบได้แล้วใช่ไหม”
อาจารย์คุมสอบท่านนั้นเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในสายตา แล้วกำลังยืนเหม่ออยู่กลางสนามสอบ จนกระทั่งได้ยินเสียงของฉู่หลิวเยว่ เขาจึงได้สติกลับคืนมา
แม้ว่าเขาจะไม่เคยนึกถึงฉากนี้มาก่อน แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว!
เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“การทดสอบผู้ฝึกยุทธ์รุ่นที่สี่ร้อยห้าสิบสาม ผู้ชนะอันดับหนึ่งได้แก่ ฉู่หลิวเยว่!”
ผู้ชนะอันดับหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่!
เสียงนี้แพร่กระจายไกลออกไป และดังก้องไปทั่วทั้งหลังหุบเขา และได้ยินชัดไปถึงหูของทุกคน!
สีหน้าของฉู่เซียนหมิ่นหม่นหมองลงทันที แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…
…
“คนในตระกูลฉู่…ช่างเลอะเลือนจริงๆ! หากข่าวในวันนี้ถูกแพร่ออกไป พวกเขาคงรู้สึกเสียใจน่าดู!” อาจารย์ท่านหนึ่งพูดพลางส่ายหน้า
การต่อสู้ระหว่างฉู่หลิวเยว่และฉู่เซียนหมิ่นในครั้งนี้ ทุกคนต่างมองเห็นกันอย่างชัดเจนเต็มสองตาว่าใครคือผู้แข็งแกร่ง ใครคือผู่ที่อ่อนแอ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่สอบปรมาจารย์ได้อันดับที่สอง!
ตอนนี้นางเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ทั้งด้านผู้ฝึกยุทธ์และด้านปรมาจารย์ หากมองลงไปทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินคงมีไม่กี่คน!
บุคคลเช่นนี้ หากได้ไปอยู่บ้านไหน บ้านไหนก็รักและทะนุถนอมเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าตระกูลฉู่ในหลายปีมานี้ กลับทิ้งขว้างนางเช่นนี้หรือ
ใครๆ ก็รังแกได้ ใครๆ ก็ดูถูกเหยียดหยามได้
ไป๋เชินสถบด้วยความไม่สบอารมณ์แล้วลูบคางไปมา
“ถุ๊ย เกรงว่าคนที่เสียใจที่สุดยังมีคนอื่นอยู่น่ะสิ!”
เมื่ออาจารย์หลายท่านที่ยืนข้างกันได้ยินดังนี้ ต่างก็พากันหันไปมองที่ทิศทางหนึ่งโดยมิได้นัดหมาย
พวกเขายังคงไม่ลืมว่ายังมีบุคคลสำคัญที่อยู่ที่แห่งนี้!
…องค์ชายรัชทายาทหรงจิ้น!
สองพี่น้องคู่นี่ คนหนึ่งคือว่าที่พระชายาที่ถูกเขาทอดทิ้ง ส่วนอีกคนหนึ่งคือคนรักใหม่ที่ได้รับความรักและโปรดปราน
คนหนึ่งคือผู้ที่สลัดทิ้งคราบความเป็นผู้ไร้ความสามารถแล้วกลายมาเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น
ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสีย แล้วยังแพ้อีกฝ่ายอย่างราบคาบท่ามกลางการแข่งขันที่มั่นใจในตนเองที่สุด
ตาถั่วคว้าเอาตาปลามาเพราะคิดว่าเป็นไข่มุก แล้วกลับทิ้งอัญมณีล้ำค่านั้นไป ใครจะไม่เสียใจบ้างล่ะ
หรงจิ้นนิ่งค้างอยู่กับที่และแข็งทื่อราวกับรูปปั้นแกะสลักน้ำแข็ง และแผ่ความเย็นยะเยือกอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากร่างกาย
ไม่มีการแสดงสีหน้าใดๆ ราวกับถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้น เหมือนกับพื้นดินที่เยือกแข็ง เย็นชาและแข็งทื่อ
มีเพียงมือในแขนเสื้อของเขาเท่านั้นที่กำแน่น! ราวกับจะบดขยี้อะไรบางอย่าง!
เวลาแข่งขันตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่ถึงครึ่งก้านธูปเสียด้วยซ้ำ ประโยคที่เขาพูดกับฉู่เซียนหมิ่นเมื่อครู่นี้ยังดังก้องอยู่ในหู แต่ฉู่หลิวเยว่กลับตบหน้าพวกเขาอย่างแรง
ฉู่เซียนหมิ่นทรุดลงกับพื้นสนามประลอง น้ำตานองหน้า และใบหน้าก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด บนศีรษะยังถูกเฉือนจนแหว่งไป ดูแล้วช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก
แต่ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับยังคงสภาพเดิม ช่างดูสูงส่งราวกับดวงอาทิตย์เหนือเมฆา ไม่แปดเปื้อน มีเพียงรอยยิ้มมุมปากเท่านั้นที่ดูงดงามไร้ที่ติ
ผู้คนที่ยืนอยู่รอบกายต่างเงียบกริบ ไม่กล้าที่จะขยับตัว และคงไม่ต้องพูดถึงสีหน้าของเขาในตอนนี้
จากนั้นหรงจิ้นก็รู้สึกว่ามีสายตานับไม่ถ้วนมองมาที่ตัวเขา
เยาะเย้ย ประชดประชัน และเหยียดหยาม
และทุกอย่างก็เป็นเพราะฉู่หลิวเยว่ผู้เดียว
แล้วผู้ที่โดนใส่ร้ายกล่าวหา ขณะนี้กลับเดินออกไปจากสนาม โดยไม่มองมาทางนี้แม้แต่หางตา
เขาแทบจะควบคุมไม่ได้และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อขวางทางฉู่หลิวเยว่เอาไว้!
เขาถามด้วยสีหนาเย็นชา
“เจ้าจงใจหลอกข้า ในงานเลี้ยงคืนนั้น ล้วนเป็นเจ้าที่แสดงละครตบตา เพราะต้องการยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับข้าใช่หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“องค์ชายรัชทายาทตรัสเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ ผู้ที่ทูลเรื่องยกเลิกสัญญาหมั้นหมายคือพระองค์เองมิใช่หรือ”
ทันใดนั้นหรงจิ้นก็พูดไม่ออก
วันนั้นเขาเป็นฝ่ายขอยกเลิกสัญญาก่อนจริงๆ
แต่เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่า…
“เกรงว่าองค์ชายคงไม่ต้องงานเลี้ยงฉลองให้น้องสามแล้วล่ะเพคะ”
ฉู่หลิวเยว่เผยรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนหวั่นไหวแล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
“อย่างไรเสีย ข้าก็ขออวยพรให้พวกท่านอยู่กันไปจนแก่เฒ่า แล้วมีลูกหลานเร็วๆ นะเพคะ”
ทันใดนั้นก็มีเลือดก้อนหนึ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอของหรงจิ้น