กับผู้หญิงที่อับจนหนทางควบคุมสติไม่ได้ไม่ต้องพูดเรื่องเหตุผลอะไรทั้งนั้น ไม่เข้าหูหรอก
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนใช้วิธีพูดคุยด้วยความรู้สึกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเข้าใจอีกฝ่าย ช่วยปลดปล่อยความเครียดในตัวผู้หญิงคนนั้น
คนที่เดินจนสุดทาง สิ่งที่อยากได้ยินก็คือคำพูดที่แสดงความเข้าใจความรู้สึก เวลานี้เธอว่ายังไงก็ว่าตามกัน
“เรื่องของครอบครัวคุณโชคร้ายจริงๆค่ะ แต่คนที่ฉันเห็นใจมากที่สุดก็คือคุณ คิดดูสิคะคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวต้องมาดูแลครอบครัวไม่ง่ายเลยนะคะ ที่บ้านมีเด็กหรือเปล่าคะ ทิ้งเด็กเอาไว้แล้วมาวุ่นเรื่องพี่ชาย ลำบากแย่”
“ใช่ไหมล่ะ สองปีก่อนสามีฉันตาย ทางบ้านแม่ผัวก็ไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันเลยต้องกลับบ้านแม่ ยังดีที่พี่ชายไม่รังเกียจฉัน ให้ข้าวฉันกิน ตอนนี้พี่มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะให้ฉันอยู่นิ่งๆได้ยังไง? น้องสาว พี่ฉันไม่ใช่คนเลวนะ เขาไม่ใช่…”
ผู้หญิงคนนั้นน้ำตาไหล มือที่ถือมีดอยู่ไร้เรี่ยวแรงแล้ว
“เฮ้อ โชคชะตาบีบบังคับ คนที่พี่ชายคุณแทงเป็นยังไงบ้างคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“ไม่ถูกหัวใจ แต่พวกเขาไม่ยอมจะให้พวกเราชดใช้ให้ได้ บ้านเรามีเงินที่ไหนกัน แม่ก็เป็นอัมพาตมาหลายปี พวกเราสองพี่น้องกลางวันทำงาน ตอนเย็นก็ดูแลแม่ มีเงินก็เอาไปรักษาแม่หมด…พวกเขาจะฟ้องเราให้ได้”
คนผิดก็ยังมีมุมที่น่าสงสาร เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว คนๆนี้ที่อยากมาขอให้เลี่ยวฟู่กุ้ยช่วยไม่ใช่คนที่มีเงินมีอำนาจอะไร แต่เป็นชาวบ้านตาดำๆ
เจี่ยซิ่วฟางที่กำลังกลัวๆ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็เศร้าตามไปด้วย ร้องไห้กระซิกๆ
“น้องสาว พี่เข้าใจ บ้านพี่ก็มีแม่ที่เป็นอัมพาตเหมือนกัน พี่รู้ว่าดูแลคนป่วยมันไม่ง่ายเลย”
“รู้ด้วยเหรอ?”
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ? แม่พี่เป็นอัมพาตมาตั้งหลายปี พี่กับพี่คนรองนี่แหละที่ผลัดกันดูแล แต่พี่รองสู้พี่ชายน้องไม่ได้เลยนะ เขาไม่กตัญญู ได้พี่นี่แหละดูแล คนป่วยจะฉี่รดไม่รู้ตัว ดูแลคนเป็นอัมพาตต้องคอยพลิกตัวให้บ่อยๆไม่อย่างนั้นจะเป็นแผลกดทับ ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่พอทำจริงๆเหนื่อยมาก…”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นด้วยกับคำพูดของเจี่ยซิ่วฟาง ต้องปรนนิบัติคนป่วยเหมือนกัน รู้ถึงความลำบากในเรื่องนี้
เสี่ยวเชี่ยนรีบพูดแทรกในเวลาที่เหมาะสม “ดังนั้นคุณน้าคะ ใจเย็นๆนะคะ มีอะไรพวกเราค่อยๆคุยกัน มีปัญหาพวกเราช่วยได้ คนจนอย่างพวกเราใช้ชีวิตไม่ง่าย ว่าไหมคะ?”
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นหวั่นไหวแล้ว มือที่ถือมีดค่อยๆผ่อนแรงลง สายตามองไปที่เลี่ยวฟู่กุ้ย จากนั้นน้ำตาก็ไหลไม่หยุด
“เป็นครั้งแรกที่ฉันทำเรื่องแบบนี้ ฉันหมดหนทางแล้วจริงๆ…”
“หนทางก็เกิดจากมนุษย์คิดไม่ใช่เหรอคะ มาค่ะ ลองพูดมาสิคะเดี๋ยวฉันช่วย ฉันเป็นจิตแพทย์ ฉันพอมีคนรู้จักมีความสามารถพอที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ไม่ต้องเครียดค่ะ ไม่เป็นไรนะคะ ทำใจสบายๆ…”
เสี่ยวเชี่ยนเริ่มลองใช้วิธีชักจูงความคิดอีกฝ่าย
เลี่ยวฟู่กุ้ยเข้าใจวัตถุประสงค์ของเสี่ยวเชี่ยนแล้ว จึงช่วยพูดเสริม “อุปสรรคหนึ่งด้านความช่วยเหลือมาทั่วทุกสารทิศ มีปัญหาอะไรก็พูดมาได้เลยครับ”
“ช่วยครอบครัวฉันด้วย ฉันขอร้องล่ะ” ผู้หญิงคนนั้นวางมีดลงแล้วลงไปคุกเข่าอีกครั้ง ใบหน้าร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทม
เสี่ยวเชี่ยนรีบดึงแม่มาไว้ข้างหลัง ให้เจี่ยซิ่วฟางอยู่ห่างๆไว้ เธอเข้าไปกอดผู้หญิงคนนั้นแล้วลูบหลังปลอบใจ
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะคะเชื่อฉัน ทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องกลัวค่ะ”
“ฉันจะทำไงดี…” ผู้หญิงคนนั้นยังคงร้องไห้แบบหมดหนทาง เสี่ยวเชี่ยนส่งสัญญาณมือเรียกแม่ “แม่ กลับไปต้มซุปอะไรสักอย่าง หนูว่าน้าคนนี้คงไม่ได้กินอะไรนานแล้ว”
“แล้วแก…” เจี่ยซิ่วฟางไม่วางใจ ถึงผู้หญิงคนนี้จะน่าสงสาร แต่เมื่อกี้เอามีดชี้หน้าลูกสาวเธอด้วยนะ
“หนูไม่เป็นไร เชื่อฝีมือหนูเถอะ”
เสี่ยวเชี่ยนพูดกับแม่เสร็จก็เตะมีดที่อยู่บนพื้นไปติดในซอกโซฟา ไม่เห็นอาวุธมีคม ก็จะช่วยให้ผู้หญิงคนนี้จิตใจสงบลง
“ฉันคือจิตแพทย์เฉินเสี่ยวเชี่ยน คุณจะยอมเล่าความกลุ้มใจให้ฉันฟังไหมคะ?”
เลี่ยวฟู่กุ้ยมองเสี่ยวเชี่ยนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างชื่นชม เธอกำลังเยียวยาจิตใจให้ผู้หญิงคนนั้น ความสามารถของเด็กคนนี้น่าชื่นชมมาก ตั้งแต่แก้สถานการณ์จี้ตัวประกัน จนถึงตอนนี้ที่ให้คำปรึกษา ไม่มีอะไรที่ดูทำเกินเลย
อีกอย่างเลี่ยวฟู่กุ้ยมองออกแล้วว่า สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนทำอยู่ตอนนี้ศัพท์ทางจิตวิทยาเรียกว่าการบำบัดความคิด ใช้วิธีปรับเปลี่ยนความคิดเดิมของผู้เข้ารับการรักษา ช่วยเปลี่ยนสภาพจิตใจที่โศกเศร้าคิดมากในเวลานี้ให้ดีขึ้น
การบำบัดความคิดเป็นวิธีรักษาที่เจอได้บ่อยในการรักษาด้านจิตเวช เหมาะกับโรคที่แสดงอาการชัดเจนหลายๆแบบ เช่น โรคเบื่ออาหารที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท โรคติดแอลกอฮอล์ โรคหวาดกลัวการเข้าสังคม หรือแม้แต่โรคความผิดปกติทางเพศ
วิธีการพูดคุยแบบมืออาชีพนี้สามารถปรับเปลี่ยนความรู้สึกแง่ลบของผู้ป่วยได้ สาขาที่เลี่ยวฟู่กุ้ยศึกษาคือนิติจิตวิทยา จะเน้นไปในการถามเชิงกฎหมายมากกว่า เขามีความสามารถในการวินิจฉัยโรคประสาทและโรคจิตเวชได้ดี แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์แพทย์คลินิกแล้ว ยังอ่อนกว่าเสี่ยวเชี่ยนมาก
ดังนั้นตอนที่เขาเห็นเสี่ยวเชี่ยนบำบัดความคิดให้ผู้หญิงคนนี้อย่างชำนาญ ขณะเดียวกันผู้หญิงคนนี้ก็ดูผ่อนคลาย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเสี่ยวเชี่ยน เขาแทรกการสนทนาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาเห็นเสี่ยวเชี่ยนพูดจนผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ออกมายกใหญ่ ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาทั้งหมด เธอเริ่มจากแสดงความเห็นใจ พอได้รับความไว้วางใจแล้วก็ค่อยๆเริ่มการรักษา สุดยอดเลยจริงๆ
การรักษาของเสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาไปไม่ถึงสองชั่วโมง หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นได้ร้องไห้ออกมาสภาพอารมณ์ก็แตกต่างจากตอนที่เพิ่งมาถึง
“ขอบคุณนะคะหมอเฉิน ฉันไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไรแล้ว เมื่อกี้ฉันสร้างความเดือดร้อนให้พวกคุณ ไม่งั้นพวกคุณแจ้งตำรวจให้มาจับฉันก็ได้นะคะ ฉันยอมไปขึ้นโรงพัก”
“เรื่องแค่นี้เองไม่ต้องรบกวนคุณตำรวจหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันให้เบอร์โทรของฉันไปนะคะ ต่อไปถ้าคุณน้ารู้สึกแย่ก็โทรหาฉันได้ ไว้พวกเรานัดมาคุยกัน คุณน้าคะ ไม่มีอุปสรรคที่ผ่านไปไม่ได้ ไม่ต้องคิดมากนะคะ”
เสี่ยวเชี่ยนเขียนเบอร์โทรลงบนกระดาษแล้วยื่นให้ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกขอบคุณจากใจจริง โค้งให้เสี่ยวเชี่ยนไม่หยุด แล้วก็จากไป
“ขอถามหมอเฉินเป็นศิษย์อาจารย์ท่านใด วิชาสูงส่งนัก ไม่ทราบว่าทิ้งเบอร์ติดต่อให้ผมได้หรือไม่ วันหน้าเผื่องานของผมเจอปัญหาคล้ายๆกันนี้จะได้ขอคำชี้แนะ”
เสี่ยวเชี่ยนมองเลี่ยวฟู่กุ้ยแล้วพูดนิ่งๆ “อย่าเลย พวกเราเดินกันคนละเส้นทาง ฉันเป็นผู้หญิงที่เห็นเงินเป็นใหญ่ ในอนาคตฉันจะทำให้ราคาค่ารักษาของตลาดจิตแพทย์ปั่นป่วนแน่นอน ฉันยังเป็นพวกชอบรังแกคนในแวดวงเดียวกัน ทำตัวไร้เหตุผล ดีชั่วทำได้ทุกอย่าง ฉันไม่ใช่คนดีอะไร คนสูงส่งอย่างคุณขีดเส้นแบ่งเขตกับฉันให้ชัดไปเลยดีกว่า คุณทำตัวเป็นพ่อพระของคุณไป ส่วนฉันก็จะหาเงินงกๆของฉัน พวกเราอยู่กันคนละโลก บาย”
เจี่ยซิ่วฟางยกซุปมา “ไปไหนแล้ว?”
“กลับบ้านใครบ้านมัน กลับไปหาแม่ตัวเอง กลับบ้านเถอะ” เสี่ยวเชี่ยนลากเจี่ยซิ่วฟางกลับบ้าน เลี่ยวฟู่กุ้ยมองตามหลังเสี่ยวเชี่ยน ในใจก็เกิดความสงสัย
ทำไมยังมีคนที่วิจารณ์ตัวเองอย่างโหดร้ายแบบนี้อยู่อีก?
ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจจริงๆ การกระทำทั้งหมดเมื่อครู่ของเธอเขาเห็นหมด เธอไม่ใช่คนอย่างที่พูดเสียหน่อยนี่คือจิตแพทย์ที่เต็มไปด้วยความเมตตา น่านับถือจริงๆ