ตอนที่ 497 ความสามารถอันโดดเด่น

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

เสี่ยวเชี่ยนลากเจี่ยซิ่วฟางกลับบ้าน แต่เจี่ยซิ่วฟางหันไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้หญิงวัยกลางคนๆนั้นคุกเข่านั่งที่พื้นไม่ยอมลุกขึ้น เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย

 

 

“พี่ชายฉันเป็นโรคประสาท ก็ได้มาจากพ่อที่เป็นโรคประสาทเหมือนกัน ตอนที่เขาเอามีดฟันคนอาการเขากำเริบนะคะ ใต้เท้าต้องช่วยฉันนะคะ อย่าตัดสินพี่ชายฉันหลิวฉางฝูว่ามีความผิดเลยนะคะ ครอบครัวฉันมีทั้งคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงต้องดูแล มีเขาคนเดียวที่หาเงินเลี้ยงดู ใต้~เท้า~เปา~โปรด~เมต~ตา~”

 

 

ประโยคสุดท้ายลากเสียงยาวเว่อร์ ตะโกนอย่างกับร้องโอเปร่า

 

 

เจี่ยซิ่วฟางเคยเห็นอะไรแบบนี้ที่ไหน เสี่ยวเชี่ยนลากไปถึงประตูบ้านแล้ว แต่เธอยังหันไปดูไม่หยุด อาการชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านโดยไม่สนอะไรทั้งนั้นกำเริบอีกแล้ว

 

 

“คุณผู้หญิงครับ ช่วยสงบสติอารมณ์ด้วย คดีของหลิวฉางฝูยังอยู่ในช่วงการสืบสวน ผลการวินิจฉัยยังไม่ออก พรุ่งนี้คุณไปคุยกับพวกเราที่หน่วยงานได้ไหมครับ?”

 

 

เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเลี่ยวฟู่กุ้ยไม่ช่วยอะไร

 

 

ผู้หญิงคนนั้นพอเห็นเขายังไม่ใจอ่อนก็มองไปรอบๆแล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เจี่ยซิ่วฟางกับเสี่ยวเชี่ยน ทันใดนั้นก็คลานเข่าเข้าไปกอดขาเจี่ยซิ่วฟาง

 

 

“ท่านแม่ใต้เท้าเปา ให้ความยุติธรรมด้วย พี่ชายฉันต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัว ถ้าเขาต้องติดคุกแล้วครอบครัวจะอยู่ยังไง ช่วยพูดอะไรหน่อยสิคะ ฉันขอร้อง”

 

 

“เอ่อ คือว่า ฉัน…” เจี่ยซิ่วฟางยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกเสี่ยวเชี่ยนปิดปาก เรื่องแบบนี้พูดส่งเดชไม่ได้ เดี๋ยวซวย

 

 

เสี่ยวเชี่ยนลากเจี่ยซิ่วฟาง ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าไม่ได้รับความสงสารจึงพุ่งเป้าไปหาเสี่ยวเชี่ยนแทน

 

 

เธอกอดขาเจี่ยซิ่วฟางไว้ไม่ให้เดินหนี แต่หน้ากลับหันไปขอร้องเสี่ยวเชี่ยน

 

 

“เมียท่านใต้เท้าเปา ช่วยให้ความยุติธรรมกับฉันด้วย”

 

 

“ฉันไม่ใช่เมียเขา” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้พูดจาส่งเดช เอาเจี่ยซิ่วฟางเป็นแม่เลี่ยวฟู่กุ้ย เอาตัวเธอเป็นเมียเลี่ยวฟู่กุ้ย…ถุย น่ากลัวเหลือเกิน เสี่ยวเชี่ยนจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียวว่าผู้หญิงแบบไหนจะรับผู้ชายที่มีนิสัยชอบพูดจาภาษาหนังสือที่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องแบบนายฟู่กุ้ยได้

 

 

“พวกเขาสองคนไม่ใช่คนในครอบครัวของผม เชิญคุณกลับไปเถอะครับ เรื่องหลิวฉางฝูพวกเราจะตัดสินอย่างมีเหตุผลตามผลที่ออกมาครับ”

 

 

หลิวฉางฝูพี่ชายที่ผู้หญิงคนนี้พูดถึง เลี่ยวฟู่กุ้ยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆได้วินิจฉัยแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นโรคประสาท ถึงแม้คนครอบครัวเขาจะมีคนที่เป็นโรคประสาท แต่ตอนที่เขาเอามีดฟันคนที่มีปากเสียงด้วย พฤติกรรมของเขาเกิดจากการบันดาลโทสะของเขาเอง

 

 

พอได้ยินว่าตัดสินอย่างมีเหตุผลผู้หญิงคนนี้ก็เข้าใจว่าคงเล่นละครต่อไปไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นก็ควักมีดออกมาแล้วจี้คอเจี่ยซิ่วฟาง เจี่ยซิ่วฟางถึงกับร้องกรี๊ด

 

 

“พวกแกคิดจะบีบให้คนจนอย่างพวกเราจนมุม ใช่ไหม ครอบครัวเรามีพี่ชายหาเลี้ยงอยู่แค่คนเดียว ถ้าเขาติดคุก แม่ฉันที่เป็นอัมพาตใครจะมาดูแล”

 

 

เจี่ยซิ่วฟางนึกไม่ถึงว่าเป็นจีนมุงเฉยๆก็จะมาซวยไปด้วย เธอรู้สึกได้ถึงความแหลมคมจากปลายมีด ผู้หญิงคนนั้นหายใจพร้อมกลิ่นกระเทียมรดใส่หน้าเธอ เจี่ยซิ่วฟางตกใจจนตัวสั่น

 

 

เสี่ยวเชี่ยนเห็นเรื่องบานปลายมาถึงแม่เธอใบหน้าก็บึ้งตึงทันที เธอก้าวไปข้างหน้าหมายจะแย่งมีดจากผู้หญิงคนนั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสั่นเครือของผู้หญิงคนนั้นขู่กลับ

 

 

“อย่าเข้ามานะ ใครเข้ามาฉันจะฆ่าเขาซะ”

 

 

“คุณผู้หญิงใจเย็นๆก่อนครับ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกัน” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงเครียด เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะอารมณ์รุนแรงแบบนี้

 

 

“ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เว้นเสียแต่จะรับปากฉันเขียนจดหมายรับรองว่าพี่ชายฉันเป็นโรคประสาท ไม่ให้ศาลตัดสินเขา”

 

 

จะว่าไปมาถึงขนาดนี้แล้ว เสี่ยวเชี่ยนคิดอยู่ว่า ถ้าเลี่ยวฟู่กุ้ยทำตามที่ผู้หญิงคนนี้ขอ จากนั้นแม่เธอก็จะถูกปล่อยตัว เพราะหนังสือรับรองอะไรเนี่ยใช่ว่าเขียนแล้วจะได้ผล งานวินิจฉัยเป็นอะไรที่ซับซ้อน ถ้าไม่มีคนเซ็นรับรองพร้อมกันหลายคนก็ไม่เป็นผล ทำหลอกๆผู้หญิงคนนี้ไปก็ได้แล้ว

 

 

“ตอนนี้ผมเขียนให้คุณไปก็ใช้ไม่ได้ คุณปล่อยคนซะ คุณทำแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์”

 

 

คำพูดของเลี่ยวฟู่กุ้ยทำให้เสี่ยวเชี่ยนด่าในใจจัดหนักไปหนึ่งชุด อะไรของXวะแม่งนี่แหละพวกเรียนจนโง่ ไม่รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์เลยหรือไง?

 

 

“เขาเขียนให้คุณได้ คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ มีปัญหาอะไรพวกเราจะจัดการให้คุณ ช่วยปล่อยแม่ฉันก่อนนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนตัดบนเลี่ยวฟู่กุ้ยสมองหมู

 

 

“แต่เขาบอกว่าใช้ไม่ได้” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้เริ่มสติแตกแล้ว

 

 

เหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน เที่ยวไล่ขอร้องคนไปทั่ว แต่สิ่งที่ได้มาคือความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า สติเธอจึงกระเจิดกระเจิง ถึงได้ทำรุนแรงแบบนี้ นี่คือปฏิกิริยาของคนที่รับเรื่องหนักๆไม่ได้

 

 

“คำพูดเขาไม่มีน้ำหนักหรอก ฉันคือจิตแพทย์เฉินเสี่ยวเชี่ยน คำพูดฉันเชื่อได้มากกว่าเขา”

 

 

“จริงเหรอ?”

 

 

“จริงสิคะ ถ้าไม่เชื่อฉันจะให้เขาเขียน” เสี่ยวเชี่ยนถลึงตาใส่เลี่ยวฟู่กุ้ย เห็นเขายังยื่นเซ่ออยู่เฉยๆเธอจึงหยิบรองเท้าบนชั้นปาไป “รีบไปเขียนสิมองอะไรอยู่เล่า”

 

 

เลี่ยวฟู่กุ้ยตกใจกับท่าทีของเสี่ยวเชี่ยนที่อยู่ๆก็กลายร่างเป็นผู้หญิงโมโหร้าย เขารับรองเท้าที่ปามาถูกแว่น ไม่กล้ารอช้ารีบหากระดาษกับปากกามาเขียน

 

 

“ตอนนี้คุณจะปล่อยแม่ฉันได้หรือยังคะ?”

 

 

“ไม่ได้…รอเขาเขียนเสร็จ ปั๊มนิ้ว แล้วฉันถึงจะปล่อย” ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้องเขียนอะไรบ้าง แต่ผู้หญิงคนนี้คิดว่าถ้าปั๊มนิ้วก็คงเป็นอันใช้ได้

 

 

“คุณยืนอยู่น่าจะลำบาก พวกเราไปนั่งที่โซฟาดีไหมคะ? ฉันเห็นขอบตาคุณดำๆด้วย เหนื่อยใช่ไหมล่ะคะ? เพื่อเรื่องพี่ชาย คุณคงกลุ้มใจมาก ถ้าคุณไม่วางใจงั้นก็จี้ผู้หญิงอ้วนคนนี้ต่อไปแล้วกันค่ะ”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลง เจี่ยซิ่วฟางเดิมทีกลัวมาก ตัวสั่นไปหมด แต่พอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดว่าผู้หญิงอ้วนทันใดนั้นก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเท่าไรแล้ว

 

 

เธอมองเสี่ยวเชี่ยน อยากจะให้ลูกหนีไป อย่ามาอยู่ในที่อันตรายแบบนี้ แต่กลับเห็นเสี่ยวเชี่ยนส่งสายตาปลอบโยนกลับมา ไม่รู้ทำไม เจี่ยซิ่วฟางพอเห็นสายตาลูกสาวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจแบบนั้นความกลัวก็หายไปมาก

 

 

เลี่ยวฟู่กุ้ยหยิบกระดาษกับปากกามานั่งเขียนที่โต๊ะรับแขกอย่างรวดเร็ว เขียนอะไรไปบ้างตัวเขาเองก็ไม่รู้ สมองของเขาคิดแต่เรื่องที่เจี่ยซิ่วฟางถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ กลัวว่าเพื่อนบ้านอัธยาศัยดีคนนี้จะเป็นอะไรไปเพราะเขา

 

 

เสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากผู้หญิงคนนั้นไปไม่ไกล เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

 

“คุณลำบากไปมากเพื่อพี่ชาย สมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นน้องสาวที่เป็นห่วงพี่ชายแบบนี้เท่าไรแล้ว พี่ชายคุณอายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ทำไมเขาเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้พี่สะใภ้คุณไม่เห็นออกหน้าเลยล่ะคะ?”

 

 

“อย่าไปพูดถึงผู้หญิงคนนั้น มันรังเกียจที่บ้านเราจน หนีไปอยู่กับพวกคนรวยแล้ว พี่ฉันสะเทือนใจเพราะผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละเลยอารมณ์ไม่ดีมาตลอด วันนั้นเขาดื่มเหล้าเข้าไป คนๆนั้นหัวเราะเยาะเขา เขาโมโหก็เลยเอามีดไปทำเรื่องขาดสติแบบนั้น พ่อฉันเป็นโรคประสาท พอเขาตายพี่ก็เป็นความหวังของบ้าน ตอนนี้เขามาเป็นแบบนี้แล้วจะให้ฉันทำยังไง”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพูดชี้นำให้อีกฝ่ายได้ปลดปล่อยอารมณ์ สายตาเธอจ้องไปยังมีดที่จี้อยู่ที่คอแม่ตัวเอง แต่น้ำเสียงเธอยังคงนุ่มนวลทำให้อีกฝ่ายไม่ระแวง เธอต้องการใช้ความสามารถในหน้าที่การงานของเธอมาแก้วิกฤตให้แม่