เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าแม่ตัวเองดีทุกอย่าง เพียงแต่นิสัยชอบรับรู้เรื่องราวสารทุกข์สุขดิบเยี่ยมเยียนประชาราษฎร์เนี่ยออกจะน่าปวดหัวไปเสียหน่อย
คนเขากำลังทำกับข้าวจะเข้าไปทำไม
โดยเฉพาะบ้านของเลี่ยวฟู่กุ้ย ที่นี่มีเลี่ยวฟู่กุ้ย เขาชอบพูดจามีหลักการ บุคคลที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นเป็นอยากเดินอ้อมไปอีกทาง แต่แม่เธอกลับเดินเข้าไปหา โว้ย อะไรกันวะ
แต่เจี่ยซิ่วฟางไม่ได้ยินเสียงในใจที่ลูกสาวตะโกน เดินดุ่มๆเข้าไปในบ้านของเลี่ยวฟู่กุ้ย
เสี่ยวเชี่ยนทำได้แค่เดินตามเข้าไปอย่างเซ็งๆ อันที่จริงเธอชอบทางเดินในตึกมากกว่า กลิ่นผักกาดขาวเน่าที่ถูกวางกองไว้ข้างหน้าตอนหน้าหนาวที่ยังไม่จางหายไปยังหอมกว่าบ้านคนหัวโบราณอย่างเลี่ยวฟู่กุ้ยเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้เมื่อชาติก่อนเธอจะได้เจอกับตานี่อยู่บ้างตอนทำงาน แต่ก็ไม่เคยมาบ้านเขา พอได้เข้ามาเสี่ยวเชี่ยนก็แอบตกใจเล็กน้อย
แม่บอกว่าตานี่อาศัยอยู่กับพ่อ ผู้ชายโสดอยู่กันสองคนแต่กลับเก็บบ้านได้สะอาดเป็นระเบียบมาก
ถึงแม้บ้านของอวี๋หมิงหลางก็สะอาด แต่แตกต่างจากบ้านตานี่ อวี๋หมิงหลางไม่ค่อยได้กลับบ้าน ของก็ไม่ค่อยซื้อ ในบ้านมีแค่เฟอร์นิเจอร์ง่ายๆ ดูก็รู้เลยว่าเป็นบ้านชายโสดแท้ๆ ส่วนเลี่ยวฟู่กุ้ยกับพ่ออาศัยอยู่อย่างแท้จริง ในบ้านปลูกดอกไม้ไว้มากมายเต็มระเบียง มีกรงนกหลายกรงที่ข้างในเลี้ยงนกอยู่ไม่น้อย สะอาดสะอ้าน มีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยมา ให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นอายของบ้านที่มีคนอยู่
พอนึกถึงเสี่ยวเฉียงของเธอเสี่ยวเชี่ยนก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปทำความสะอาดบ้านเขาเสียหน่อยแล้วค่อยกลับมหาวิทยาลัย คราวก่อนเสี่ยวเฉียงให้กุญแจสำรองกับเธอไว้
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังใจลอยคิดถึงอวี๋หมิงหลางเลี่ยวฟู่กุ้ยก็แอบมองเธอ เขารู้สึกว่าผู้หญิงที่ดูเย็นชาคนนี้ในเวลานี้ดูเหมือนจะให้ความรู้สึกอบอุ่น เธอนั่งอยู่บนโซฟามองต้นตะบองเพชรที่ระเบียงอย่างเงียบๆ ความทรงจำเมื่อแรกพบที่ดูหยิ่งๆ ตอนนี้กลับดูเป็นอีกแบบ สองสไตล์ในตัวคนๆเดียวกัน แต่กลับดูมีชีวิตชีวา
“น้องเสี่ยวเชี่ยนชอบตะบองเพชรเหรอครับ?”
เสี่ยวเชี่ยนยังคงใจลอยคิดถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ที่จะไปบ้านอวี๋หมิงหลาง เจี่ยซิ่วฟางจึงสะกิดลูกสาว เสี่ยวเชี่ยนถึงได้สติกลับมา
“หืม?”
เลี่ยวฟู่กุ้ยถามอีกครั้ง
“อ่อ ไม่ชอบค่ะ”
เกิดความกระอักกระอ่วน
บรรยากาศดูแย่ลง เดิมเลี่ยวฟู่กุ้ยอยากหาเรื่องคุยเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับตอบออกมาแบบนี้ ไม่เหลือทางให้เดินต่อ
เจี่ยซิ่วฟางไม่รู้เรื่องราวบาดหมางระหว่างลูกสาวตัวเองเมื่อชาติก่อนกับเลี่ยวฟู่กุ้ย เธอรู้สึกว่าวันนี้ลูกสาวดูผิดปกติจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“เขาจะไปเข้าใจอะไร รู้จักแต่เรียนหนังสือ กลายเป็นพวกหนอนหนังสือไปแล้ว ไม่รู้เรื่องภายนอกเท่าไร จะปลูกดอกไม้เป็นได้ยังไง หยุนฉาง เราปลูกดอกไม้สวยมากเลยนะ เลี้ยงง่ายไหม?”
“ง่ายอยู่ครับ ไม่ต้องรดน้ำบ่อยๆ น้าเจี่ยอยากได้ไหมครับ? ผมจะเด็ดใบมันให้แล้วน้าเอาไปปลูกลงกระถางที่บ้าน อีกไม่กี่วันรากมันก็จะงอกเอง เลี้ยงง่ายมากครับ”
“งั้นก็ดีเลยจ้ะ”
จังหวะที่เลี่ยวฟู่กุ้ยออกไปเด็ดใบตะบองเพชรเจี่ยซิ่วฟางก็ถลึงตาใส่เสี่ยวเชี่ยน ไอ้ลูกเวร มารยาทกินเป็นข้าวเย็นหมดแล้วหรือไง?
เสี่ยวเชี่ยนเบ้ปาก เมื่อเทียบกับที่ตานี่กวนประสาทเธอเมื่อชาติที่แล้ว ท่าทางของเธอในวันนี้ยังมีมารยาทเกินไปด้วยซ้ำ
เสี่ยวเชี่ยนจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่ดูอ่อนโยนแบบนี้อีกสิบกว่าปีให้หลังจะกลายเป็นชายแก่โสดสนิทที่หัวรั้น
เมื่อชาติที่แล้วทั้งสองคนจุดยืนต่างกัน เวลาเจอกันก็ทะเลาะกันบ่อยๆ แต่ลึกๆแล้วเสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าตาคนนี้เก่งมากในหน้าที่การงาน และที่น่าชื่นชมมากก็คือ เขาเป็นคนมีหลักการมาก ในสภาพแวดล้อมที่มีความพิเศษแบบนั้น เขาไม่เกรงกลัวอำนาจบารมีหรืออำนาจของเงิน รักษาความยุติธรรมอย่างเหนียวแน่น นี่เป็นจุดที่เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกนับถือเขาที่สุด
หากว่ากันตามกฎแล้ว คนที่มีปัญหาทางประสาทหากทำผิดในช่วงที่อาการกำเริบสามารถหนีความผิดได้ เลี่ยวฟู่กุ้ยเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะที่วินิจฉัยว่าใครมีอาการทางประสาท มีคนคิดจะติดสินบนให้เขามากมาย แต่เขายึดมั่นในหลักการอย่างสูงส่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ข่มขู่เขาอย่างไร เขาก็ยังยืนหยัดในความถูกต้อง เป็นโรคก็บอกว่าเป็น ไม่เป็นก็บอกไม่เป็น ใครจะมาหา เขาไม่สนทั้งนั้น
ครั้นแล้วเมื่อชาติที่แล้วจึงมีเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวที่มีบารมีมากแต่ยากจน ถึงแม้เสี่ยวเชี่ยนจะอคติกับเขาในบางเรื่อง แต่ก็รู้สึกนับถือในความเถรตรงของเขาที่เหมือนกับอาจารย์ของเธอ
คนที่ยืนหยัดในความยุติธรรมได้ปีสองปีนั้นมีเยอะ แต่คนที่ทำได้ตลอดชีวิตโดยไม่ออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย หรือถึงขนาดที่ว่าหลายครั้งถูกคนทำร้ายก็ยังยืนหยัดคำเดิม มีไม่มากเลยจริงๆ
ก็ได้ เจอแล้วก็เจอ ยังไงซะวงการของเธอก็ไม่ได้ใหญ่ คนที่สามารถเดินไปถึงจุดสูงสุดจนเป็นที่ยอมรับในประเทศก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน ที่ต้องได้เจอช้าเร็วยังไงก็ต้องเจอ เสี่ยวเชี่ยนปลอบตัวเองแล้วเหลือบมองเลี่ยวฟู่กุ้ยที่กำลังเอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อใบตะบองเพชรให้เจี่ยซิ่วฟาง ดูเหมือนตานี่ก็ไม่ได้น่ารำคาญเหมือนอีกสิบปีให้หลังนะ ไม่มีคำพูดติดปากร่ายยาวเหมือนสวดมนต์…
“ไม่รู้ว่าน้าจะปลูกขึ้นไหมนะ” เจี่ยซิ่วฟางรับมาแล้วพูดอย่างถ่อมตัว
“ไม่เป็นไรครับ ชื่อแห่งความสุขก็คือการสร้าง คุณน้าได้สร้างประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นคุณน้าก็คือคนที่มีความสุขครับ” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดอย่างจริงจัง
เห็นได้ชัดว่าเจี่ยซิ่วฟางไม่เข้าใจ จึงได้แต่ยิ้มแก้เขิน แต่ในใจพูดว่า เด็กคนนี้ดีทุกอย่าง แต่จะดีกว่านี้ถ้าพูดอะไรที่เข้าใจยากให้น้อยลงหน่อย
เสี่ยวเชี่ยนเขียนคำว่า เหอๆ ตัวโตๆในใจ ดู๊ ตานี่นี่คงไม่เหมาะกับคำชม กำลังอยากจะชมเลี่ยวฟู่กุ้ยว่าไม่ได้แย่เหมือนเมื่อชาติก่อน เขาก็ปล่อยคำพูดออกมาทันที
กลัวว่าเจี่ยซิ่วฟางจะอยากอยู่คุยต่อเสี่ยวเชี่ยนจึงดึงแขนเสื้อแม่ “แม่หนูหิวแล้ว”
“ได้เวลากลับไปทำกับข้าวแล้ว ฝากทักทายคุณพ่อด้วยนะหยุนฉาง พวกเราขอตัวกลับก่อน”
พ่อของเลี่ยวฟู่กุ้ยเป็นผู้พิพากษา เวลานี้ยังนั่งทำงานต่อไม่กลับบ้าน เสี่ยวเชี่ยนไม่เคยเจอเมื่อชาติที่แล้ว แต่ได้ยินว่าเหมือนกับเลี่ยวฟู่กุ้ยเปี๊ยบ อารมณ์แบบเป็นเลี่ยวฟู่กุ้ยเวอร์ชั่นแอดว้านซ์
เลี่ยวฟู่กุ้ยเดินมาส่งสองแม่ลูกที่ประตู พอเปิดประตูก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดดำทั้งตัวยืนอยู่ เจี่ยซิ่วฟางสะดุ้งตกใจ
ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเคาะประตู อยู่ๆประตูก็เปิดออกเธอจึงตกใจ แต่หลังจากที่เห็นคนในบ้านเธอก็รีบปรับสีหน้ายิ้มกว้างออกมา
“ใช่รองหัวหน้าเลี่ยวแพทย์นิติเวชหรือเปล่าคะ?”
ตอนนี้เลี่ยวฟู่กุ้ยยังไม่เป็นศาสตราจารย์ ตำแหน่งของเขาในศูนย์วิจัยคือรองหัวหน้าแพทย์นิติเวช
“ใช่ครับ คุณคือ…”
“ท่านใต้เท้าเปา ช่วยให้ความเป็นธรรมกับพี่ชายของฉันด้วย” ผู้หญิงคนนั้นอยู่ๆก็คุกเข่าลง
เล่นเอาเจี่ยซิ่วฟางตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว อะไรกันเนี่ย แค่มาเอาต้นไม้ทำไมถึงได้เกิดเรื่องได้?
เสี่ยวเชี่ยนแค่เห็นก็เข้าใจ นี่คงจะเป็นญาติผู้ต้องหาสักคดี คิดจะมาติดสินบนเลี่ยวฟู่กุ้ยสินะ
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำงานของผม กรุณากลับไปด้วยครับ มีเรื่องอะไรค่อยไปคุยกันที่หน่วยงานครับ” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดอย่างมีมารยาท
เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากยุ่งเรื่องวุ่นวายพวกนี้ เธอรีบลากแม่ที่อยากรู้เรื่องชาวบ้านออกไป แม่ งานมา หนีเร็ว