ตอนที่ 30 แผนการล้มเหลว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 30 แผนการล้มเหลว

ฮองเฮาจ้องมองหลี่ซื่อร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก แต่สีหน้าของพระนางก็ยังคงนิ่งเฉยมิบ่งบอกอารมณ์อันใด จนกระทั่งนางหยุดร้องไห้ลง ฮองเฮาจึงได้ตรัสว่า “นี่เป็นเพียงคำกล่าวของเจ้าเพียงฝ่ายเดียว ข้ามิสามารถนำมาตัดสินได้ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ ? ”

หลี่ซื่อรีบตอบกลับทันควัน

“ถึงแม้หม่อมฉันจะมิมีหลักฐาน แต่มีคนเห็นคุณหนูใหญ่ผลักพระนางกุ้ยเฟยตกน้ำเพคะ”

เมื่อนางกล่าวจบนางกำนัลกระโปรงสีแดงก็รีบลุกขึ้นยืน

“ทูลฮองเฮาเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันอยู่ข้างกายของกุ้ยเฟยเพคะ บังเอิญเห็นคุณหนูอัน มิทราบว่าด้วยสาเหตุใด นางก็พุ่งตัวมาทางกุ้ยเฟย แล้วก็ผลักกุ้ยเฟยตกน้ำลงไปเพคะ”

ฮองเฮาทรงทำเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย เมื่อฟังนางกำนัลผู้นั้นกล่าวจบ

“หลี่กุ้ยเฟยยังมิฟื้นอีกหรือ ? เรื่องนี้ต้องฟังนางที่เป็นผู้เสียหายเสียก่อน”

เมื่อกล่าวถึงผู้เสียหาย ใบหน้าของหลี่ซื่อก็เผยความสะใจขึ้นมาบาง ๆ ดูเอาเถิด ในเมื่อฮองเฮาทรงตรัสว่า หลี่กุ้ยเฟยเป็นผู้เสียหายแล้วเยี่ยงนี้ แสดงว่าต้องทรงเชื่อในคำกล่าวของพวกนางอย่างแน่นอน

หลี่ซื่อที่กำลังดื่มด่ำกับความสุขกลับ มิทันสังเกตเห็นความเย้ยหยันที่แวบผ่านสายพระเนตรของฮองเฮา หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดหลี่กุ้ยเฟยก็ฟื้นขึ้นมา

 “พี่หญิง”

นางมองไปทางหลี่ซื่อ บนใบหน้าไร้เดียงสามีหยดน้ำตาไหลริน ยิ่งทำให้ดูน่าสงสาร

“ข้าเกือบจะมิได้เห็นหน้าท่านอีกแล้ว”

นางหลั่งน้ำตาเสียอกเสียใจ ราวกับพึ่งรอดพ้นจากความตายมาได้

หลี่ซื่อเองก็ร่วมเล่นละครไปกับนางด้วย พี่น้องสองคนพูดคุยกันอยู่สักพัก และได้มีการกล่าวถึงอันหลิงเกอที่เป็น ‘คนร้าย’ ในละครฉากใหญ่นี้ด้วย ผ่านไปสักพักหลี่กุ้ยเฟยจึงได้เงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังฮองเฮาที่ยืนอยู่

“หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอประทานอภัยหม่อมฉันมิทราบว่าฮองเฮาเสด็จมาเพคะ พวกเจ้ายังมิรีบนำเก้าอี้มาให้ฮองเฮาทรงประทับนั่งอีก”

ฮองเฮาจ้องมองท่าทีของพวกนางและมิได้หลงไปกับการแสดงฉากใหญ่ของพวกนาง เพียงแค่ตรัสถามด้วยเสียงอันอบอุ่นว่า “นางกำนัลในตำหนักของเจ้ากล่าวว่า เจ้าถูกคุณหนูอันผลักเจ้าตกน้ำ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ? ”

“เรื่องนี้มิอาจโทษนาง”

หลี่กุ้ยเฟยหลับตาลง

“เป็นเพราะตำแหน่งที่หม่อมฉันยืนมิดีเอง จึงถูกคุณหนูอันผลักเพียงนิดเดียวก็ตกลงไปในทะเลสาบได้โดยง่าย”

นางตรัสว่ามิได้โทษอันหลิงเกอ แต่สิ่งที่อธิบายมานั้นกลับเป็นการยืนยันว่าอันหลิงเกอเป็นคนผลักนางให้ตกน้ำในครานี้อยู่ดี

เมื่อได้ฟังนางตรัสออกมา สายตาน่าเกรงขามของฮองเฮามองไปยังหลี่กุ้ยเฟยแล้วตรัสถามขึ้นอีกว่า “ถ้าเช่นนั้น คุณหนูอันคือคนที่ผลักกุ้ยเฟยตกน้ำเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่กุ้ยเฟยพยักหน้า

“หม่อมฉันรู้สึกว่ามีคนมาผลักหม่อมฉัน แล้วตอนนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านข้างหม่อมฉันมากที่สุดก็มีเพียงคุณหนูอันเพคะ”

แต่หลี่กุ้ยเฟยเองยังคงต้องรักษาภาพลักษณ์อันไร้เดียงสาไว้ จึงได้เอ่ยต่อไปว่า “แต่ว่าคุณหนูอันอาจมิได้ตั้งใจ ขอพี่หญิงได้โปรดอย่าโทษนางเลยนะเพคะ”

“จะทำอย่างนั้นได้เยี่ยงไร ? ”

เมื่อได้ฟังหลี่ซื่อก็แสร้งดุหลี่กุ้ยเฟยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วกล่าวเสริมออกมาอีกว่า “ที่ทะเลสาบหมิงซินมีคนยืนอยู่ตั้งมากมาย เหตุใดนางถึงมิผลักคนอื่น แต่ต้องมาผลักเจ้าด้วยเล่า ? ”

“ข้าคิดว่าคุณหนูใหญ่คงตั้งใจที่จะลอบทำร้ายเจ้า กล้าลอบทำร้ายกุ้ยเฟยถึงในวังหลวง คุณหนูใหญ่คงจะโกรธแค้นข้าอยู่ในใจ จึงได้พาลมาลงที่เจ้าด้วย ! ”

คำกล่าวนี้ของหลี่ซื่อเต็มไปด้วยท่าทางของพี่สาวแสนดีที่เป็นห่วงน้องสาว จากนั้นจึงได้ขอร้องฮองเฮาออกมา

“ฮองเฮาเพคะ ตามหลักแล้วคุณหนูใหญ่คือบุตรีของภริยาเอกแห่งจวนโหว ส่วนหม่อมฉันเป็นแม่เลี้ยงของนาง จึงมิควรที่จะไปตำหนินาง”

เมื่อนางกล่าวจบจากนั้นจึงหยุดไปครู่หนึ่งและกล่าวต่อด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยโทสะ

“แต่คุณหนูใหญ่กล้าทำร้ายน้องสาวของหม่อมฉัน จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ หม่อมฉันทนมิได้จริง ๆ ขอฮองเฮาได้โปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเพคะ ! ”

พวกนางสองคน คนหนึ่งเล่นบทไม้อ่อนคนหนึ่งเล่นบทไม้แข็ง กล่าวไปกล่าวมาจนอันหลิงเกอกลายเป็นคนโหดร้ายไปได้

เมื่อได้รับฟัง ฮองเฮาก็เหลือบมองหน้าหลี่ซื่อ แล้วตรัสออกมาว่า “หากความจริงของเรื่องนี้เป็นเช่นที่เจ้าว่า คุณหนูอันย่อมต้องถูกลงโทษ”

เมื่อตรัสแล้วสายตาน่าเกรงขามของนาง ก็จ้องมองไปยังอันหลิงเกอ

“คุณหนูอัน แม้แต่หลี่กุ้ยเฟยก็ยังบอกว่าเจ้าเป็นคนผลักนางตกน้ำ เจ้าจักว่าเยี่ยงไร ? ”

อันหลิงเกอเห็นความหมายลึกซึ้งในดวงตาของพระนาง  แต่กลับกล่าวอย่างมิรีบร้อน

“ทูลฮองเฮาเพคะ คนที่ผลักหลี่กุ้ยเฟยตกน้ำหาใช่หม่อมฉันไม่ คนร้ายคือคนอีกผู้หนึ่งเพคะ”

“อ้อ เยี่ยงนั้นคุณหนูอันลองกล่าวมาสิ คนร้ายผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ? ”

ฮองเฮาตรงตรัสถามอันหลิงเกอ ด้วยน้ำเสียงยังคงสงบนิ่งมิเปลี่ยนแปลง

ดวงตาของอันหลิงเกอมองไปยังหลี่ซื่อ

“คนร้ายตัวจริงคือพี่สาวของหลี่กุ้ยเฟย หลี่ซื่อเพคะ ! ”

“เกอเอ๋อ เจ้าจะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเยี่ยงนั้นหรือ ! ”

หลี่ซื่อกล่าวแย้งออกมาเสียงดัง ราวกับถูกกระทำอย่างโหดร้าย

“ข้าเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของหลี่กุ้ยเฟย เหตุใดข้าจักต้องผลักนางตกน้ำด้วย ? เกอเอ๋อ ต่อให้เจ้าอยากจะปัดความผิดออกจากตัวเพียงใด  แต่จะมาโยนความผิดให้ผู้อื่นเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน”

“อี๋เหนียงมิต้องรีบชี้แจงให้ตัวเองเยี่ยงนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอมองนางคล้ายกับจะยิ้ม

 “ในตอนนั้นคนที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบหมิงซินมีแค่หลี่กุ้ยเฟย ท่าน และข้าสามคน เหล่านางกำนัลยืนห่างออกไปเกินสามก้าวจริงหรือไม่ ? ”

หลี่ซื่อมิแน่ใจจึงได้แต่พยักหน้า

อันหลิงเกอจึงพูดต่อ “ก็หมายความว่า คนที่ทำให้หลี่กุ้ยเฟยตกน้ำได้มีเพียงแค่ท่านกับข้าสองคนเท่านั้น หรือตัวหลี่กุ้ยเฟยเองก็สามารถกระโดดลงน้ำไปก็ได้”

“กุ้ยเฟยจะกระโดดลงน้ำเองไปด้วยเหตุใดกัน เพื่อจะใส่ร้ายเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่ซื่อจ้องมองอันหลิงเกออย่างเยาะเย้ย แต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นขึ้นมา

อันหลิงเกอจึงได้กล่าวต่อจากคำพูดของนางว่า “ถ้าตามที่อี๋เหนียงกล่าวก็มีเพียงหนึ่งในสองคนระหว่างท่านกับข้า ที่เป็นคนผลักหลี่กุ้ยเฟยตกน้ำ”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเกอ ฮองเฮาก็หันมองไปทางอันหลิงเกอ แล้วตรัสถามออกไป

“หรือว่านี่คือหลักฐานของคุณหนูอัน ? ”

“หม่อมฉันเพียงแค่จะกล่าวว่าในเมื่อหม่อมฉันและอี๋เหนียงล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย เช่นนั้นอี๋เหนียงกล่าวหาว่าหม่อมฉันเป็นคนผลักหลี่กุ้ยเฟยตกน้ำ งั้นหม่อมฉันก็กล่าวหาว่าอี๋เหนียงเป็นคนผลักหลี่กุ้ยเฟยตกน้ำได้เช่นกันเพคะ”

อันหลิงเกอพูดมีเหตุผล

“ส่วนนางกำนัลผู้นั้นยืนอยู่ห่างเกิน 3 ก้าว จะมองเห็นคนที่ผลักหลี่กุ้ยเฟยตกน้ำได้อย่างชัดเจนได้เยี่ยงไรว่าเป็นหม่อมฉันหรือว่าอี๋เหนียง ? ”

“เจ้ากล่าวมานั้นมีเหตุผล เพียงแต่คุณหนูอันก็มิมีหลักฐานใช่หรือไม่ ? ”

ฮองเฮากล่าวนิ่ง ๆ

“หากคุณหนูอันมิสามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ ข้าคงจักปล่อยเจ้าไปอย่างคลุมเครือมิได้เช่นกัน”

“หม่อมฉันมิมีหลักฐานเพคะ”

อันหลิงเกอมีท่าทีมิเดือดเนื้อร้อนใจเช่นเดิม จากนั้นก็พูดประโยคพลิกสถานการณ์ออกมาว่า “แต่หม่อมฉันสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้เพคะ”

อันหลิงเกอชี้ไปที่หลี่กุ้ยเฟย จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “ฮองเฮาได้โปรดทอดพระเนตรเพคะ วันนี้หลี่กุ้ยเฟยได้สวมชุดที่ทำจากผ้าทอไหมฟ้า ผ้าชนิดนี้บางเบาเป็นพิเศษ เช่นนั้นหลี่กุ้ยเฟยจึงได้สวมเสื้อคลุมสีม่วงเข้มทับเพื่อป้องกันความหนาว”

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าว สายตาของฮองเฮาก็มองไปยังชุดที่ทำจากผ้าทอไหมฟ้า ลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั่นมีความเกลียดชังพาดผ่าน

ผ้าทอไหมฟ้าที่เป็นเครื่องบรรณาการจากม่อเป่ย ตำหนักของนางยังได้รับแค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แต่ทว่าหลี่กุ้ยเฟยกลับสามารถนำมาทำเป็นชุดได้ ช่างเป็นที่โปรดปรานเสียจริง !

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ใบหน้าของฮองเฮากลับมิได้บ่งบอกอารมณ์อันใดออกมา

“คุณหนูอันต้องการจะกล่าวสิ่งใด มิสู้เอ่ยออกมาตามตรงเลยจักดีกว่า”

เมื่อฮองเฮาตรัสเช่นนั้น อันหลิงเกอก็ยกยิ้มออกมาแล้วกล่าวต่อว่า “วิธีการย้อมสีม่วงเข้มนั้นพึ่งจะถูกคิดค้นเมื่อครึ่งปีก่อนจึงยังมิสมบูรณ์แบบ ชุดที่ทำจากสีม่วงเข้มมิควรวางไว้ใกล้ที่ชื้น มิเช่นนั้นจะทำให้สีตกขึ้นมาได้ แต่หลี่กุ้ยเฟยนั้นยืนอยู่ที่ทะเลสาบหมิงซินที่มีไอน้ำกระจายอยู่มากมายเช่นนั้นอยู่เกือบครึ่งเค่อ จึงเป็นเหตุให้ชุดคลุมสีม่วงเข้มนั่นเกิดการตกสี ฮองเฮามิสู้ลองดูที่มือของอี๋เหนียงสิเพคะว่ามีสีม่วงติดอยู่หรือไม่”

หลี่ซื่อเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ตกตะลึงงันไป เมื่อรู้ตัวก็รีบนำมือไปซ่อนไว้ด้านหลังทันที

วางแผนมาดิบดี แต่กลับมีช่องโหว่จนได้