ตอนที่ 31 ตัวประกันของจวนโหว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 31 ตัวประกันของจวนโหว

สายตาของฮองเฮามองไปยังมือหลี่ซื่อที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง แล้วสั่งนางกำนัลประจำตัว

“จางโมโม่ ไปตรวจดูมือของพวกนางสองคนทีสิ”

นางมิได้ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใด จึงให้จางโมโม่ไปตรวจสอบทั้งสองคน

อันหลิงเกอยื่นมือออกมาอย่างมิร้อนรนอันใด เพื่อให้จางโมโม่ตรวจสอบฝ่ามือ

แต่หลี่ซื่อกลับตื่นตระหนก นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังหลี่กุ้ยเฟย แต่กับได้รับเพียงสายตาปลอบโยนจากอีกฝ่ายกลับมาเท่านั้น เมื่อเห็นจางโมโม่ตรวจสอบมือของอันหลิงเกอเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินมาทางหลี่ซื่อจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วยื่นมือออกไป

จางโมโม่ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง แม้ว่าผู้สูงวัยนั้นสายตาจะสั้น แต่สายตาของนางยังคงเฉียบคมดังเดิม สายตาของนางไล่สำรวจมือของหลี่ซื่ออย่างละเอียดทั่วทั้งมือ แล้วก็นิ่งไปจนหลี่ซื่อเริ่มหวาดหวั่น ขณะมองตามสายตาของจางโมโม่ ก็ไปหยุดอยู่ที่รอยสีม่วงจาง ๆ ตรงง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้

“เรียนฮองเฮาเพคะ ฝ่ามือของคุณหนูอันสะอาดดีเจ้าค่ะ แต่ตรงง่ามมือของหลี่ซื่อนั้นมีรอยสีม่วงขนาดเล็กติดอยู่เพคะ”

รอยสีม่วงขนาดเล็กเพียงเท่านั้น หากอันหลิงเกอมิพูดขึ้นมา หลี่ซื่อเองก็มิทันสังเกตเห็น

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นแล้ว เพียงพริบตาเดียวสายตาของฮองเฮาก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้น

 “หลี่ซื่อ ตอนนี้หลักฐานชัดเจนแล้ว เจ้ามีสิ่งใดจักกล่าวอีกหรือไม่ ? ”

เมื่อหลี่ซื่อถูกสายตาน่าเกรงขามนั้นจ้องมองถึงกับตกตะลึงงันไป จนก้าวถอยหลังโดยมิรู้ตัว ริมฝีปากสั่นระริก กล่าวอันใดมิออก

เมื่อหลี่กุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นก็รีบช่วยนางแก้ตัวในทันที

“ฮองเฮาได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยเพคะ ที่ฝ่ามือของพี่หญิงมีสีม่วง อาจเป็นเพราะเปื้อนตอนที่ช่วยหม่อมฉันเลือกชุดก็เป็นได้เพคะ”

มาถึงตอนนี้นางมิสนใจที่จะแสร้งทำตัวอ่อนแออีกแล้ว กล่าววาจาออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว

“เสื้อคลุมตัวนี้พี่หญิงเป็นคนสวมให้หม่อมฉัน อาจจะเปื้อนตอนนั้นก็ได้เพคะ”

เมื่อได้ฟังหลี่กุ้ยเฟยแก้ต่างให้กับหลี่ซื่อแล้วนั้น อันหลิงเกอก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา พร้อมกล่าวแย้งออกไปในทันที

“ภายในตำหนักของหลี่กุ้ยเฟยอบอุ่นเช่นนี้ หาใช่สถานที่ที่เต็มไปด้วยไอน้ำนี่เพคะ”

ประโยคนี้ของอันหลิงเกอหมายความว่ามีเพียงที่ทะเลสาบหมิงซินเท่านั้น ที่ชุดสีม่วงเข้มถึงจะเกิดการตกสีได้ บนมือของหลี่ซื่อถึงปรากฏร่องรอยสีม่วงขึ้นมา

เมื่อเห็นท่าทีของสองพี่น้องที่แก้ต่างให้กันไปมานั้น เป็นเหตุให้ฮองเฮาทรงกริ้วขึ้นมาในทันที

“หลี่ซื่อ น่าเสียดายที่หลี่กุ้ยเฟยปกป้องเจ้าถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับคิดที่จะลอบทำร้ายนาง อีกทั้งยังคิดใช้โอกาสนี้ใส่ร้ายคุณหนูอัน เจ้านี่ช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยมเสียงจริง ! คิดจะฆ่าน้องสาวตัวเองเพื่อใส่ร้ายลูกเลี้ยง ช่างเป็นแผนการที่แยบยลเสียจริง ! ”

ฮองเฮาตรัสจบก็จ้องมองนางด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยโทสะ

หลี่ซื่อได้แต่อ้าปากค้าง ในสมองกำลังคิดหาวิธีตอบโต้เป็นพัลวัน

“ฮองเฮาเพคะ ได้โปรดอย่าทรงกริ้วเพคะ”

 หลี่ซื่อคุกเข่าลงไปกับพื้น ร่างกายสั่นเทา

“หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจะผลักน้องหญิงตกน้ำ ภายในใจเกิดความหวาดกลัวอย่างมาก จึงได้โยนความผิดให้แก่คุณหนูใหญ่ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจะใส่ร้ายคุณหนูใหญ่จริง ๆ นะเพคะ ขอฮองเฮาได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ ! ”

เมื่อหลี่ซื่อคิดตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ได้แต่นึกกับตนเองภายในใจว่า มิว่าเยี่ยงไรเรื่องนี้จะดึงน้องสาวของตัวเองเข้ามายุ่งด้วยมิได้เป็นอันขาด

เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น นางก็รีบปรับสีหน้าทำทีสำนึกผิด นางที่เป็นฮูหยินที่มีอำนาจดูแลจวนโหว ได้คุกเข่าต่อหน้าฮองเฮา เพื่อเป็นการบีบให้ฮองเฮาเห็นแก่หน้าจวนโหวและอภัยให้แก่นาง

เมื่อฮองเฮาทอดพระเนตรถึงการกระทำของนางแล้วนั้น เหตุใดตนจะมิรู้ถึงแผนการเหล่านี้ของฮูหยินรองแห่งจวนโหวผู้นี้กัน นางคิดหรือว่าแผนการเพียงแค่นี้ตนจะมองมิออก

เมื่อคิดได้เช่นนั้นพลันมุมปากของพระนางก็ยกยิ้มขึ้นอย่างมีความนัยแฝงอยู่ แล้วตรัสออกมาว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างเจ้ากับหลี่กุ้ยเฟย งั้นข้าจะปล่อยให้หลี่กุ้ยเฟยเป็นคนจัดการเองก็แล้วกัน ดูสิว่านางจะปล่อยเจ้าไปหรือไม่”

หลี่ซื่อที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก ช่างแตกต่างกับใบหน้าของหลี่กุ้ยเฟยที่กลับดูมิสู้ดีนักขึ้นมาทันที และพลันบังเกิดความกังวลขึ้นมาในใจ มิว่านางจะทำเยี่ยงไรในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามิส่งผลดีต่อนางเอาเสียเลย หากนางลงโทษพี่หญิงไป พี่หญิงจักต้องห่างเหินจากนางเป็นแน่ แต่หากนางมิสั่งลงโทษแล้วอยู่ในวังนี้ต่อไปจะเหลือศักดิ์ศรีอันใดกัน ?

ฮองเฮาทอดพระเนตรเห็นสีหน้าลำบากใจของหลี่กุ้ยเฟย ก็ทรงแย้มพระสรวลด้วยความเบิกบาน

“ส่วนคุณหนูอัน วันนี้ทำให้เจ้าต้องตกใจแล้ว ข้าขอมอบกำไลสมปรารถนาชิ้นนี้ให้เจ้า ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้าก็แล้วกันนะ”

หลังจากตรัสจบ พระนางทรงถอดกำไลหยกมันแพะที่มีสีขาวนวลออกจากข้อพระหัตถ์ แล้ววางลงบนฝ่ามือของอันหลิงเกอ อันหลิงเกอที่กำลังตั้งท่าจะปฏิเสธ กลับถูกฮองเฮากล่าวตัดหน้าก่อน

“เจ้าถูกใส่ร้ายขณะอยู่ในวังหลังถึงเพียงนี้ แต่ข้าทำได้เพียงให้เจ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ถือว่านี่คือการชดเชยจากข้า ขอคุณหนูได้โปรดรับไว้เถอะ”

อันหลิงเกอจึงทำได้เพียงรับเอาไว้

ฮองเฮาที่เห็นนางรู้ความถึงเพียงนี้ แววตาจึงเต็มไปด้วยความพึงพอใจและชื่นชม

“ตอนนี้ก็มากเย็นแล้ว จางโมโม่วันนี้คุณหนูอันคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมิน้อย เจ้าจงไปส่งนางออกจากวังที” จางโมโม่รับคำสั่งเสร็จ อันหลิงเกอจึงถวายพระพร และกล่าวทูลลาฮองเฮา จากนั้นก็เดิมตามจางโมโม่ออกไป

“คลานไป คลานไป ถ้าเจ้าคลานไปข้าจะมิแกล้งเจ้าอีก”

 เสียงเด็กผู้ชายดังขึ้นมาจากทางไกล เป็นเหตุให้อันหลิงเกอต้องขมวดคิ้วขึ้น

“จางโมโม่ เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นรึ ? ”

อันหลิงเกอหยุดฝีเท้าลง มองไปทางตำหนักที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง

จางโมโม่จึงตอบด้วยท่าทางนอบน้อม

“เรียนคุณหนูอันเจ้าค่ะ ตรงนั้นคือตำหนักของอี้เฟย เมื่อครู่คงจะเป็นเสียงองค์ชายเก้ากำลังเล่นอยู่เจ้าค่ะ”

องค์ชายเก้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นก็ได้นึกถึงใบหน้าของน้องชายตนเองขึ้นมาพร้อมกับพรึมพรำกล่าวกับตนเองเสียงเบาว่า “จุนเอ๋อเป็นสหายร่วมเรียนขององค์ชายเก้ามิใช่หรือ ? ”

เมื่อนึกถึง มือน้อย ๆ ขาว ๆ อ้วน ๆ ที่มักจะโบกไปมา คนที่มักจะเรียกหาพี่สาวของตนอยู่เสมอ ซึ่งถูกฮ่องเต้รับเข้าวังตั้งแต่อายุได้เพียง 8 ปี จากนั้นนางก็มิได้พบหน้าอีกเลย

เมื่อคิดได้เช่นนั้น อันหลิงเกอจึงหยุดเดิน

 “จางโมโม่ ข้ามีบางอย่างที่ต้องไปทำ ท่านกลับไปเรียนฮองเฮาก่อนเถิด”

เมื่อกล่าวจบนางก็เดินตรงไปทางตำหนักอี้เฟยในทันที เมื่อมาถึงก็มองเห็นเงาคนสองคนที่อยู่นอกตำหนักจากทางไกล

อันหลิงเกออดมิได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นางจึงได้เห็นเด็กชายอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ สวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา เงยใบหน้าเล็กน้อยที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งขึ้น ขณะนี้เขาได้ชี้ไปที่หว่างขาของตัวเอง แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสว่า  “ถ้าเจ้าคลานลอดไป วันนี้ข้าก็จะมิแกล้งเจ้า”

อันหลิงจุนปีนี้มีอายุเพียง 10 ขวบ แต่บนใบหน้ากลับมิมีความไร้เดียงสาอย่างเด็กทั่วไปอีกแล้ว เขากำหมัดแน่น เงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น แต่มิได้ส่งเสียงอันใดออกมา

องค์ชายเก้าเห็นเยี่ยงนั้นก็ยิ่งรู้สึกโมโห

“เจ้าไพร่ชั้นต่ำ กล้ามิฟังคำสั่งของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ! ”

จากนั้นเขาก็ถีบไปที่ร่างของอันหลิงจุน จนอีกฝ่ายถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“ข้ามิใช่ไพร่ชั้นต่ำ ข้าเป็นคุณชายแห่งจวนโหว ! ”

“ถุย ! แม่ของข้าบอกว่า เจ้าเป็นแค่ตัวประกันของจวนโหว หากเสด็จพ่อมิพอใจก็สามารถฆ่าเจ้าได้ในทันที”

องค์ชายเก้ากล่าวจบก็ยกเท้าขึ้นอีกอย่างขุ่นเคือง หวังที่จะถีบอันหลิงจุนไปอีกครา

“ไพร่สารเลว กล้าตะโกนใส่หน้าข้าเยี่ยงนั้นหรือ”

“หยุดนะ ! ”

อันหลิงเกอรีบวิ่งเข้าไป ดวงตาดำขลับมองออกไปทางองค์ชายเก้าอย่างโกรธเคือง

“เป็นถึงองค์ชาย ได้รับการสั่งสอนมาเช่นนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องไปทูลฮองเฮา ให้ทรงทราบเสียหน่อย ว่าควรส่งท่านไปให้พระนางอบรม”

ส่งตนไปหาฮองเฮา ?

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวออกมา องค์ชายเก้าก็เริ่มตัวสั่น รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในทันที แต่ยังคงกล่าวต่อว่า “เจ้าเป็นใครกัน กล้าดีเยี่ยงไรมายุ่งเรื่องของข้า ? ”

“หม่อมฉันมีนามว่าอันหลิงเกอเพคะ”

เมื่อนางกล่าวชื่อของตนเองออกไป แววตาของอันหลิงจุนก็เป็นประกายขึ้น

พี่หญิง พี่หญิงมาหาข้าแล้ว

ส่วนองค์ชายเก้าที่ได้ฟังชื่อของอันหลิงเกอก็โต้กลับทันควัน

“เจ้าเป็นพี่สาวของเจ้าไพร่ชั้นต่ำนี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อได้รับฟังดวงตาสีดำสนิทของอันหลิงเกอก็เข้มขึ้นทันที ราวกับมีคลื่นพายุกำลังโหมกระหน่ำภายในมหาสมุทรที่จะฝังคนเอาไว้ใต้ท้องทะเลที่ลึกจนมิมีใครพบเจอ

องค์ชายเก้าเมื่อเห็นสายตาเช่นนั้นที่จ้องมองมาที่ตนก็ตกตะลึงงันไป จนถึงกับพูดติดอ่าง

“เจ้า…เจ้าจะทำอันใด ? ”

“ไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อันหลิงเกอแสยะยิ้ม

 “องค์ชายเก้ามีฐานะสูงศักดิ์ แต่กลับกล้าเรียกคุณชายแห่งจวนโหวว่าไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงนั้นหรือ เกรงว่าเรื่องนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็คงจะมิกล้าตรัสออกมา มิทราบว่าองค์ชายเก้าทรงคิดอันใดอยู่เพคะ ? ”