ตอนที่ 32 ถูกเหยียดหยามและทุบตี

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 32 ถูกเหยียดหยามและทุบตี

ประโยคนี้ของอันหลิงเกอ เป็นเหตุให้องค์ชายเก้ารู้สึกหวาดหวั่นจนความเย่อหยิ่งบนใบหน้ามลายหายไปจนสิ้น

องค์ชาย องค์หญิงที่เติบโตในวังหลวง ต่างได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี ถึงแม้อายุยังน้อย แต่ก็รับรู้ได้ถึงความหมายที่แท้จริงของประโยคที่อันหลิงเกอได้กล่าวออกมา

หากเสด็จพ่อทรงทราบว่าตนเองทำเรื่องเหยียดหยามคุณชายของจวนโหวเช่นนี้ อีกทั้งยังตั้งตนให้สูงกว่าเสด็จพ่ออีก เสด็จพ่อรู้เข้าจะต้องเกลียดตนเป็นแน่

องค์ชายหรือองค์หญิงที่ถูกเสด็จพ่อเกลียด ตำแหน่งในวังหลวงนั้นช่างต่ำต้อย เสียยิ่งกว่านางกำนัลที่มีอำนาจเสียอีก

 เมื่อคิดได้เช่นนั้นสีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าอันเล็กที่เชิดขึ้นปรากฏความโกรธแค้นออกมา

“เจ้าช่างเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ กล้าคิดที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเสด็จพ่อ สมกับที่เป็นพี่สาวของเจ้าไพร่ชั้นต่ำเสียจริง”

เมื่อได้ฟังองค์ชายเก้าตรัสออกมาด้วยความเย็นชา ในสายตาของอันหลิงเกอราวกับสามารถทำให้คนแข็งเป็นหินได้ ใบหน้าที่งดงามแฝงไว้ด้วยความเชือดเชือน จนมิสามารถที่จะจ้องมองโดยตรงได้

“องค์ชายเก้านี่ช่างกล้าหาญเสียจริง”

พร้อมส่งเสียง เหอะ ! ออกมา จากนั้นสายตาได้หันไปยังด้านข้าง

 “มิรู้ว่าอี๋เฟยจะคิดเช่นนี้ด้วยหรือไม่ ? ”

อี๋เฟยที่แอบดูอยู่เมื่อเห็นว่าตนเองถูกจับได้ พลันใบหน้าก็ปรากฏร่องรอยความอึดอัดขึ้น แต่เพียงครู่เดียวก็จางหายไป

“เจ้าคงเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนโหวกระมัง ใบหน้างดงาม ท่าทางมิธรรมดาเสียจริง”

นางตรัสชมเชยอันหลิงเกออย่างตรงไปตรงมา ราวกับมิรู้สึกถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างผู้คนตรงหน้า

อันหลิงเกอยิ้มพอเป็นพิธี แต่ดวงตามิมีวี่แววของรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว

“อี๋เฟยเสด็จมาได้สักพักแล้วมิทราบว่าทรงคิดเห็นเรื่องที่องค์ชายเก้า เรียกน้องชายหม่อมฉันว่าไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงไรบ้างเพคะ ? ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของอี๋เฟยนั้นแข็งกระด้างขึ้นในทันที นางอยากที่จะให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างมิมีอันใดเกิดขึ้น ใครจะไปคิดว่าอันหลิงเกอกลับกัดมิปล่อย ภายในใจนางรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต้มอยู่

 “คุณหนูอันล้อเล่นแล้ว เจ้าเก้าเป็นเพียงแค่เด็กก็กล่าววาจาเหลวไหลออกไปเพียงเท่านั้น คำกล่าวของเด็ก ท่านยังถือสาเป็นจริงเป็นจังเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“องค์ชายเก้าปีนี้ 8 ชันษาแล้วกระมัง”

อันหลิงเกอยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม

 “สี่ปีก่อนตอนที่องค์ชายเก้าเริ่มศึกษา ฮ่องเต้ทรงเลือกน้องชายของหม่อมฉัน มาเป็นสหายร่วมเรียนขององค์ชายเก้า บัดนี้ผ่านไป 4 ปีแล้ว องค์ชายเก้าก็ยังเป็นเด็กที่มิรู้ความอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เหล่าอาจารย์ทั้งหลายก็ถือว่าบกพร่องในหน้าที่อย่างมากเลยทีเดียวนะเพคะ”

อันหลิงเกอกล่าวเสียงเรียบ แต่กลับทำให้อี๋เฟยถึงกับไปมิเป็น

หากนางกล่าวว่าพวกอาจารย์สอนมิดี ก็เท่ากับไปหาเรื่องขุนนางพวกนั้น แต่หากนางกล่าวว่าเหล่าอาจารย์สอนได้ดี ประกอบกับที่นางบอกว่าเจ้าเก้าเป็นเพียงแค่เด็กก็กล่าวเหลวไหลไปเพียงเท่านั้น นั่นหมายความว่าเจ้าเก้านั้นโง่เง่าเหลือทนถึงได้มิมีความก้าวหน้าเลยสักนิดน่ะสิ ?

ในตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของอี๋เฟยแทบจะเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยว จากนั้นจึงได้ปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยและดูเย็นชามากขึ้น

 “คุณหนูอันวันนี้จะมาเพื่อหาเรื่องข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

นางเปลี่ยนจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุกทันที พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังชัด

“แต่เจ้ากลับมิบอกข้าสักนิดว่าเหตุใดจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ มาถึงก็เอาแต่ตำหนิเจ้าเก้า อีกทั้งยังมาพูดจาบีบบังคับข้าเยี่ยงนี้ ทำท่าทางราวกับมาสืบหาคนผิด คนที่รู้ก็ดีไป แต่คนที่มิรู้คงจะคิดว่าเจ้าคือฮองเฮาเป็นแน่ ถึงได้บังอาจมาถามข้าเยี่ยงนี้ได้ ! ข้าขอถามหน่อย คุณหนูอันเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นฮองเฮาหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

อี๋เฟยนับว่าเป็นคนที่มีไหวพริบดีที่เดียว อันหลิงเกอกล่าวว่าองค์ชายเก้าวางมาดยิ่งกว่าฮ่องเต้ นางก็ตำหนิว่าอันหลิงเกอนั้นคิดร้ายต่อนางยิ่งกว่าฮองเฮาเสียอีก

ขณะที่อันหลิงเกอกำลังจะโต้กลับ แต่อี๋เฟยกลับมิให้โอกาสนั้นกับนาง หลังจากที่ได้ปะทะคารมเมื่อครู่แล้ว อี๋เฟยรู้ดีว่าฝีปากของอันหลิงเกอนั้นดีเพียงใด แทบจะมิต่างจากพวกขุนนางในท้องพระโรงเลยด้วยซ้ำไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางจะให้โอกาสอันหลิงเกออธิบายได้เยี่ยงไร ?

 จากนั้นอี๋เฟยตรัสเสียงดังออกมาว่า “เด็ก ๆ คุณหนูอันดูหมิ่นราชวงค์ กดขี่องค์ชาย ลงโทษโดยการตบหน้า 10 ครั้ง จากนั้นไล่ออกจากวังไปเดี๋ยวนี้ ! ”

“ห้ามรังแกพี่สาวข้านะ ”

อันหลิงจุนเห็นนางกำนัลท่าทางน่ากลัวเดินอ้อมเข้ามา จึงเดินหยุดยืนอยู่ตรงด้านหน้าของอันหลิงเกอโดยมิมีความลังเลแม้แต่น้อย

อันหลิงจุนมีรูปร่างที่ผอมและยังตัวเตี้ยกว่าอันหลิงเกอไปหนึ่งช่วงคอ แต่กล้าที่จะออกมายืนบังนาง ราวกับกำแพงเมืองที่มิมีวันสั่นคลอน เพื่อป้องกันนางจากอันตรายทั้งปวง

เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงนั้น เป็นเหตุให้อันหลิงเกอขอบตาแดงก่ำขึ้นมา ด้วยความรู้สึกสงสารน้องชายของตนยิ่งนัก น้องชายของนางถูกพาเข้าวังตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งยังถูกองค์ชายเก้ารังแกถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังปกป้องนางอย่างเต็มกำลัง ทั้งยังมิแค้นเคืองที่นางละเลยเขามาหลายปีแม้แต่น้อย

องค์ชายเก้าราวกับได้โอกาสแก้แค้นให้ตัวเอง จู่ ๆ ก็พุ่งตัวมาจากด้านข้างแล้วผลักอันหลิงจุนล้มลงไปกับพื้น

“เจ้าคนรับใช้ชั้นต่ำ ท่านแม่ ข้าจะจัดการคน เจ้ากล้ามาขวางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“จุนเอ๋อ ! ”

อันหลิงเกอตกใจอย่างมาก รีบเข้าไปพยุงอันหลิงจุนขึ้นมา

นางกำนัลพวกนั้นเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ

“คุณหนูอันเป็นห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่าเจ้าค่ะ ! ”

นางกำนัลคนแรกช่างรวดเร็วว่องไป เพียงครู่เดียวไม้ไผ่ในมือก็สะบัดลงบนใบหน้าของอันหลิงเกออย่างแรงเสียแล้ว จนอันหลิงเกอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีด จากนั้นก็คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น หน้าผากถึงกับมีเหงื่อผุดขึ้น

“ตีต่อไป ห้ามขาดแม้แต่ครั้งเดียว ! ”

รอยยิ้มอบอุ่นใจดีบนใบหน้าของอี๋เฟยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและชั่วร้ายทันที เมื่อเห็นรอยแดงบนใบหน้าของอันหลิงเกอ ก็ยิ่งเร่งให้นางกำนัลลงโทษให้เร็วขึ้น

“อี๋เฟยช่างมีอำนาจยิ่งนัก”

เสียงของมู่จวินฮานก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน จนอี๋เฟยรู้สึกตกใจรีบหันไปมองทางต้นเสียงก็พบเจอกับมู่จวินฮานที่มีใบหน้าหล่อเหลา สง่างาม สวมชุดยาวสีขาวสะอาดตา ด้านล่างสวมรองเท้าหนังปักลาย ค่อย ๆ เดินเข้ามา

“มู่ซือจื่อมานี่ได้เยี่ยงไรกัน ? ”

ใบหน้าของอี๋เฟยปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับส่งสายตาเพื่อให้โมโม่เอาตัวบังอันหลิงเกอไว้ด้านหลัง

“ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมเข้าวังมาปรึกษาเรื่องราชสำนัก อี๋เฟยอยากทราบหรือไม่ ? ”

มู่จวินฮานยิ้มที่มุมปาก ดูแล้วช่างสง่างามและโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างคอยเหลือบมองอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มิกล้าที่จะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง

อี๋เฟยกลับรีบโบกมือทันที

“เรื่องของราชสำนัก ข้ามิกล้าถามอยู่แล้ว”

นับแต่โบราณ พระสนมในวังหลังห้ามยุ่งเรื่องการเมือง หากนางฟังมู่จวินฮานพูดเรื่องในราชสำนัก แล้วถูกคนนำไปฟ้องเข้าจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่

เห็นนางระวังตัวเยี่ยงนี้ มู่จวินฮานก็ยกยิ้ม

“อี๋เฟยมิต้องระวังขนาดนั้นหรอก”

ประโยคนี้มิรู้ว่าเขากำลังชมเชยหรือว่าเยาะเย้ยกันแน่ อี๋เฟยจึงได้แต่สำรวมท่าทีของตน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ฟังเรื่องราชสำนัก ไปก็ฟังมิรู้เรื่อง อย่าได้รบกวนเวลาของซือจื่อเลย”

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น มู่จวินฮานก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา  แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปยังอันหลิงเกอด้วยความแปลกใจ

“คนผู้นั้นมิทราบว่าทำสิ่งใดให้อี๋เฟยมิพอพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“มิมีอันใดมาก แค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านั้น”

อี๋เฟยแอบภาวนาขอให้มู่จวินฮานรีบจากไปโดยเร็ว จะได้มิอยู่รบกวนการจัดการอันหลิงเกอของนางอีก ด้วยเหตุนี้จึงได้มองข้ามเรื่องงานอภิเษกที่ฮองเต้ทรงประทานให้กับทั้งสองตระกูลไปเสียสนิท

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นมู่จวินฮานก็ยกยิ้มขึ้นมาในทันที

“มิมีอันใดก็ดีแล้ว ข้ายังกังวลว่านางจะทำสิ่งใดให้อี๋เฟยมิพอพระทัยเข้า มิเช่นนั้นข้าคงต้องไตร่ตรองเรื่องการแต่งงานกับคุณหนูอันใหม่เสียแล้วพะยะค่ะ”

การแต่งงานระหว่างมู่จวินฮานกับอันหลิงเกอ ?

เมื่ออี๋เฟยได้ฟังก็เกิดความกังวลขึ้นมา ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทคล้ายกับรับสั่งประทานสมรสระหว่างจวนโหวกับจวนอ๋องมู่จริง ๆ แต่ตอนนั้นนางมิได้ใส่ใจอันใด วันนี้กลับถูกมู่จวินฮานตอกหน้าเข้าอย่างจัง