บทที่ 28 สาวกของคนไม่เอาไหน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 28 สาวกของคนไม่เอาไหน

“ควับ”

เสียงกระบี่แหวกอากาศดังขึ้น

ก่อนที่เหลิงเย่จะได้ตอบโต้อะไร หัวไหล่ของเขาก็รู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา และเมื่อหันมองที่ไหล่ซ้ายของตน ก็พบว่าคมกระบี่ของหลินเป่ยเฉินนั้นมาวางพาดอยู่บนไหล่ของเขาเสียแล้ว

ความรู้สึกของความพ่ายแพ้เติมเต็มขึ้นมาในหัวใจที่หวาดกลัวของเหลิงเย่

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

“ทำไมกระบี่ของหลินเป่ยเฉินถึงมาพาดอยู่บนบ่าของข้าในเสี้ยวพริบตาเช่นนี้”

ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะตอบอะไรกับตัวเองได้ ความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาแทนที่ความรู้สึกของความพ่ายแพ้

“อะ…อ๊ากกกกก”

เหลิงเย่นั้นหวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเกินบรรยาย

“ชิ๊ง!!”

หลินเป่ยเฉินดึงกระบี่กลับมา

หยดเลือดสาดกระเซ็นออกมาจากปากแผล

เขากวัดแกว่งกระบี่อีกครั้ง และตบแก้มของเหลิงเย่ด้วยสันกระบี่ ก่อนที่เหลิงเย่นั้นจะทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

“สารเลว เจ้ากล้าดีมากนะที่มาท้าทายข้า”

หลินเป่ยเฉินนั่งยอง ๆ ลงเท่าระดับสายตาของเหลิงเย่ ก่อนจะเช็ดคราบเลือดบนกระบี่ของเขากับเสื้อของคู่ต่อสู้ เสร็จเรียบร้อยจึงค่อยถีบฝ่ายตรงข้ามทะลุม่านพลังกลิ้งตกเวทีประลองไป

“ตุบ!”

เหลิ่งเย่ร่วงลงกระแทกพื้นดินนอกม่านพลังและหมดสติไป

ผู้คุมสอบต่างตกตะลึง ก่อนจะหันไปมองอาจารย์ฉู่ผู้นั่งอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ เขาก็ประกาศออกมาดังก้อง “ผู้ชนะคือ…หลินเป่ยเฉิน!”

เบื้องล่างเวทีประลองเกิดความวุ่นวายขึ้นในพริบตา

ลูกศิษย์คนหนึ่งมองขึ้นไปบนเวที ก่อนจะยกมือชี้ไปยังหลินเป่ยเฉินและตะโกนออกมาเสียงดัง “หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันเลวเกินไปแล้ว นี่มันแค่การประลองเท่านั้น ไม่เห็นจะต้องแทงพี่เหลิงจริง ๆ เลยนี่ แกมันปิศาจชัด ๆ ”

“ข้าไม่ยอม เจ้าไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันอีกแล้ว เจ้ามันฆาตกร”

“เจ้ามันเลวอะไรขนาดนี้ ถึงกับทำร้ายเพื่อนร่วมสถาบันได้จนสาหัส”

“ข้าจะไปร้องเรียนกับอาจารย์ให้ยกเลิกการประลองของเจ้าซะ”

มีเด็กหนุ่มจำนวนไม่น้อยออกอาการโวยวายไม่พอใจ

หลินเป่ยเฉินชี้กระบี่ไปยังคนที่พูดอยู่เบื้องล่างและกล่าวว่า “ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ขึ้นมาประลองกับข้าซะสิ…มามะ”

“ขะ…ข้า”

ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

แม้จะเพียงถูกชี้หน้าด้วยกระบี่เท่านั้น แต่มันราวกับว่ามีคมกระบี่ทาบอยู่บนลำคอของพวกเขา ทำให้ร่างของคนพวกนั้นสั่นเทาไปด้วยความกลัว จนไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้แม้แต่คำเดียว

ทุกคนตื่นตะลึงกับคำท้าทายของหลินเป่ยเฉิน

ส่วนศิษย์ผู้ที่ถูกท้าทายก็ถึงกับสงบปากลง ราวกับไฟที่สุมในลำคอนั้น ได้ถูกราดดับจนตัวเย็นเยียบเสียอย่างนั้น

“แกร๊ง!”

เขาเก็บกระบี่เข้าในฝักขณะที่เดินลงจากเวทีประลอง

ผมดำขลับของหลินเป่ยเฉินปลิวไสวตามสายลม แสงแดดตกกระทบสะท้อนเป็นประกายเงางาม

“โธ่ เจ้าประคุณเอ๊ย หล่ออะไรขนาดนี้!”

ลูกศิษย์หญิง 3-4 คนหวีดร้องเสียงหลงในขณะที่ปิดหน้าด้วยความเขินอาย

อาจารย์ติงซานฉือที่เฝ้ามองการประลองมาตั้งแต่ต้น จ้องไปยังหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาเร่าร้อน

“อัจฉริยะ…เขาต้องเป็นเซียนกระบี่กลับชาติมาเกิดเป็นแน่ !”

“เพราะต่อให้ฝึกฝนวิชากระบี่สามพิฆาตมาตั้งแต่ยังเป็นทารกก็เถอะ แต่การจะใช้กระบวนท่าได้อย่างสมบูรณ์แบบใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ นี่แสดงให้เห็นว่าเด็กคนนี้นั้นมีความแกร่งกล้ามากขนาดไหน ฮี่ ๆ ๆ นี่แหละ…คนที่ข้าตามหามานาน”

และในตอนนั้นเอง ที่อาจารย์อาวุโสได้ตัดสินใจทำบางสิ่งโดยไม่ลังเล

ห่างขึ้นมาเล็กน้อย

บนแท่นสังเกตการณ์ด้านบน

อาจารย์ฉู่นั้นถึงกับหุบยิ้มไม่ลงในขณะที่กล่าวกลั้วขำ “ฮ่า ๆ ท่านหลี่ ในตอนนี้ท่านได้เห็นความสามารถของหลินเป่ยเฉินในการประลองแล้ว ท่านคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ”

ผู้สังเกตการณ์หลี่หลิ่วตามอง กล่าวตอบว่า “คู่ต่อสู้ของเขาน่ะอ่อนหัดเกินไป ข้าคงยังให้ความเห็นอะไรไม่ได้”

อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่ยิ้มจนปากแทบฉีกถึงรูหู พูดว่า “เอาล่ะ ฮ่า ๆ เราดูกันไปก่อนแล้วกัน”

ในตอนนี้ หลินเป่ยเฉินนั้นดูราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าของสถาบันแห่งนี้ไปเสียแล้ว

ถึงแม้ผลการวัดค่าพลังลมปราณของหลินเป่ยเฉินจะเป็นโมฆะไปชั่วคราว ทว่ามันก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น

เพราะผู้เป็นอาจารย์และคนอื่น ๆ ต่างรู้ผลกันดีอยู่แล้ว

สิ่งที่เรียกว่าความผิดพลาดของแท่งหินวัดค่าพลังงานนั่น มันเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะผู้สังเกตการณ์หลี่อยากได้ข้อสรุปของการทดสอบที่ชัดเจน และเมื่อแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 มาถึง ทุกอย่างก็จะถูกไขข้อสงสัยในไม่ช้า

“อะฮะฮะฮ่า ๆ ๆ ”

เมื่อถึงตอนนั้น สถานศึกษากระบี่ที่สาม ก็จะได้มีลูกศิษย์สุดยอดอัจฉริยะกับเขาบ้างเสียที

และมันก็คงถึงคราวแล้วที่อาจารย์ฉู่ผู้นี้จะสามารถเชิดหน้าชูตากับคนอื่นได้บ้าง ซ้ำยังสามารถพูดในการประชุมทางไกลกับอาจารย์จากสถานศึกษาอื่น ๆ โดยไม่อายปากว่า “ไม่เอาน่า…เขาน่ะเป็นสุดยอดอัจฉริยะจากสถานศึกษาที่สามเลยนะ” และในที่สุด เขาก็จะสามารถโน้มน้าวคนอื่นได้บ้างเสียที เพียงนึกภาพเหล่านั้น ในหัวใจก็เปี่ยมไปด้วยความสดชื่นเกินบรรยายแล้ว

การประลองยังดำเนินต่อไป

ช่วงเวลา 2 ก้านธูป การประลองรอบแรกก็จบลง

ลูกศิษย์ 50 คนถูกคัดออกจากการประลอง

ส่วนอีก 50 คนผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

เพื่อที่จะรับรองความโปร่งใสและประสิทธิภาพในสอบวัดความสามารถครั้งนี้ การประลองทั้งหมดจะต้องถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิดจากอาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่ ผู้สังเกตการณ์หลี่ และอาจารย์คุมสอบท่านอื่น ๆ

หลังจากผ่านครึ่งแรกมาได้ บรรดาลูกศิษย์ผู้เข้ารอบทั้ง 50 คนก็ได้จับหมายเลขแบบสุ่มอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินได้หมายเลข 47

“ทำไมเราต้องได้อะไรที่มีเลข 7 ตลอดเลยวะ”

หรือนี่จะเป็นโชคชะตาของเขากันนะ?

หลินเป่ยเฉินมองหมายเลขบนแผ่นไม้ที่อยู่ในมือ

และไม่นานเกินรอ เวลาประลองของเขาก็มาถึง

และเมื่อเด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปยังม่านพลัง เขาก็ได้เห็นคู่ต่อสู้ของตนเต็ม ๆ ตา

“ฮะฮ่า บังเอิญอะไรเช่นนี้” หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว

เพราะคู่ต่อสู้ที่กำลังหวาดกลัวอยู่เบื้องหน้า คือลูกสมุนที่ออกมาปกป้องเหลิงเย่และกล่าวโทษหลินเป่ยเฉินในการประลองรอบล่าสุดนั่นเอง

“เจ้า…ห้ามทำรุนแรงกับข้าเด็ดขาดเชียวนะ” เขาพูดออกมาอย่างหวาด ๆ

ส่วนหลินเป่ยเฉินนั้นแทบจะกลั้นขำไม่อยู่

บทสนทนานั่นจะดูน่าสนใจก็ต่อเมื่อคนกล่าวเป็นชายหญิงคุยกันเท่านั้นแหละ

“ถ้าข้าจำไม่ผิด…เจ้ามาจากห้อง 1…ใช่ไหม?” หลินเป่ยเฉินกล่าวถาม

“ใช่…สหายรักของข้าคือพี่อู๋…อู๋เสี่ยวฟาง…เจ้า…”

ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบประโยค วิถีกระบี่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

“ฟึ่บ!”

“ฟึ่บ!”

เสียงคมกระบี่ดังแหวกอากาศทะลุผ่านเลือดเนื้อและถูกชักกลับออกมาดังขึ้นห่างกันเพียงเสี้ยววินาที

“ผลั่ก!”

หลินเป่ยเฉินวาดขาขึ้นอัดหน้าแข้งเข้าที่ท้องฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถูกเตะทะลุม่านพลังและตกลงบนพื้นด้านล่างเวทีในพริบตาต่อมา

ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นในพริบตาเดียวเท่านั้น

ก่อนที่ศิษย์ผู้นั้นจะเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

เช่นเดียวกับเหลิงเย่ แขนขวาของเขานั้นถูกแทงกลายเป็นแผลเหวอะหวะ

แต่นี่ก็ไม่ถือว่าผิดกติกาการประลองแต่อย่างใด

เพราะในสถานศึกษานี้มียาและสมุนไพรที่สามารถรักษาบาดแผลเหล่านี้ได้ภายในเวลาอันสั้น

ตราบใดที่ผู้เข้าแข่งขันยังไม่เสียชีวิต ก็สามารถหายเป็นปกติได้ทุกอาการ เว้นแต่ว่าจะประสบเหตุแขนขาหักหรืออัมพาตเท่านั้น ถึงต้องใช้ระยะเวลารักษานานสักหน่อย

หนึ่งในจุดประสงค์ของการประลองรูปแบบนี้ ก็เพื่อให้บรรดาศิษย์ในสถาบันได้สัมผัสประสบการณ์เสี่ยงตายและจดจำช่วงเวลานี้เอาไว้ในการสู้รบจริงในอนาคต การมีข้อห้ามมากเกินไป อาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของการประลองลดลงโดยไม่รู้ตัว

และด้วยภาพที่เกิดขึ้น จึงทำให้ไม่มีใครกล้ากล่าวโทษใดต่อหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว

การแก้แค้นผู้คนอย่างพร่ำเพรื่อเช่นนี้ทำให้หลายคนถึงกับตัวสั่น

หลังจากผู้คุมสอบประกาศผลการประลอง หลินเป่ยเฉินก็ถือกระบี่ที่อยู่ในห่อผ้าสีครามลงจากเวทีอย่างใจเย็น

“โอ๊ย! หล่อเหลาอะไรแบบนี้!”

ลูกศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งต่างกรี๊ดกร๊าดเอามือปิดหน้าปิดตาด้วยความเขินอาย

และแล้วสาวกของคนไม่เอาไหนผู้นี้ก็ได้เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ

เวลาผ่านไป

การประลองดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ

“ตุบ!”

เซวียเยว่ผู้เป็นตัวแทนลูกศิษย์จากห้อง 9 ตกลงมาจากเวทีประลอง ก่อนจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดและเป็นลมล้มพับไป

“บอกแล้วว่าข้าจะจัดการศิษย์จากห้อง 9 ทุกคนที่ข้าประลองด้วย”

อู๋เสี่ยวฟางกล่าวขึ้นกลางเวทีด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ก่อนมองลงมาและกล่าวต่อว่า “พวกเจ้าโทษตัวเองเอาแล้วกันที่ดันไปอยู่ห้องเดียวกับหลินเป่ยเฉิน”

ลูกศิษย์ห้อง 9 ต่างหวาดกลัวไม่กล้าพูดอะไรออกมา

อู๋เสี่ยวฟางนั้นช่างโหดเหี้ยมเกินบรรยาย

เห็นได้ชัดเลยว่าเป้าหมายของอู๋เสี่ยวฟางเจาะจงเฉพาะศิษย์ห้อง 9 ไม่เพียงแค่เอาชนะคนเหล่านั้น หากแต่ยังทำร้ายร่างกายคู่ต่อสู้จนบาดเจ็บสาหัส และยังกล่าวดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรี เช่นที่เกิดขึ้นกับเฉิงขู่กับเซวียเยว่ สิ่งที่อู๋เสี่ยวฟางทำนั้นเกินกว่าเหตุและเกินกว่าจุดประสงค์ของการประลองไปมาก เขาตั้งใจสบประมาทคู่ต่อสู้จากห้อง 9 ทุกคนต่อไป และไม่ว่าใครก็มาขัดขวางเขาไม่ได้อีกแล้ว