เล่ม 1 ตอนที่ 58 นางโชคดีขนาดนี้เชียวหรือ

ราชินีพลิกสวรรค์

ออกจากการประลองชิงเจียว?

 

 

จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร! พวกเขารอคอยวันนี้มานานมาก ยิ่งไปกว่านั้นอาจมีผู้มีอิทธิพลที่มาจากเมืองซั่งตูตรวจตราดูพวกเขาอยู่ก็ได้

 

 

คนที่พูดอยู่เงียบลง

 

 

คนที่ยืนอยู่บนเวทีสูง กวาดตามองแล้วถึงพูดต่อว่า “ในเมื่อไม่มีข้อสงสัยกันแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มการประลองได้ รับกระสุนของพวกเจ้าไป แล้วก็สามารถเข้าหุบเขาปู้กุยไปได้เลย อย่าลืมว่าทุกอย่างที่พวกเจ้าทำ ล้วนแต่มีคนคอยจับตาดูอยู่ อย่าแหกกฎล่ะ”

 

 

บอกกฎกติกาเสร็จ คนนับพันต่อแถวเข้าหุบเขาปู้กุย

 

 

เจียงหลีอยู่กลางแถว สำหรับหุบเขาปู้กุยนี้นางมีความคุ้นเคยอยู่ นางไม่เพียงทอดถอนใจ อยู่ในป่านานเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

“คุณหนู ข้าทำได้แค่รอท่านอยู่ด้านนอก ระวังตัวด้วยขอรับ” หม่าหยวนจย่าพูดกับเจียงหลี

 

 

เจียงหลีพยักหน้า

 

 

หลังจากที่เขาโค้งตัวคำนับ ก็ถอยออกไป

 

 

รับกระสุนแล้ว เจียงหลีก็เดินเข้าหุบเขาปู้กุย นางค้นพบว่ากระสุนเหมือนทำมากจากผงแป้งพิเศษชนิดหนึ่ง ขนาดประมาณเม็ดยา

 

 

ถ้าหากโดนบนตัวคน ก็จะทิ้งรอยสีเหลืองไว้ ยากที่จะเช็ดออก

 

 

ถ้าอยากจะเข้ารอบ กระสุนแค่นี้ไม่พอแน่ ยังต้องคิดหาวิธี เจียงหลีเก็บกระสุนของตนอย่างดีแล้วพูดในใจ

 

 

แกรบ!

 

 

นางเหยียบกิ่งไม้ เกิดเสียงดังขึ้น

 

 

ชั่วขณะนั้น นางก็รู้สึกได้ว่าผู้คนรอบๆ มองมาที่ตัวเองด้วยสายตาจ้องจะเขมือบ

 

 

อืม เด็กอายุสิบสองปี…

 

 

เจียงหลีฉุกคิด ถึงแม้ว่าอายุของนางจะผ่านข้อกำหนดของการประลองชิงเจียว แต่ดูเหมือนว่าเด็กที่เข้าร่วมการประลองแบบนางมีน้อยมาก

 

 

เหมือนจะมีนางแค่คนเดียวเสียด้วยซ้ำ

 

 

คนส่วนมากดูท่าทางอายุประมาณสิบห้าสิบหก สิบเจ็ดสิบแปดปีทั้งนั้น

 

 

เฮ้อ เจียงหลีถอนหายใจ แววตาที่สว่างไสวมองไปยังสายตารอบๆ ที่มองนางอยู่ “พี่ชาย พี่สาวทุกท่าน ไม่ใช่ว่าเราควรที่จะต้องจัดการกับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจก่อน แล้วค่อยจัดการเจ้าตัวน้อยอย่างข้าหรอกหรือ”

 

 

ผู้คนต่างตกตะลึง

 

 

ความคิดไม่เลว เก็บแรงไว้ จัดการกับคนเก่งๆ ก่อน เจ้าเด็กคนนี้ ปล่อยให้นางไปตามทางของนางเถอะ ดูท่าแล้วอยู่ไม่ถึงเจ็ดวัน ก็คงร้องไห้อยากจะกลับบ้านแล้ว

 

 

ดังนั้น ทำไมพวกเขาจะต้องเสียกระสุนที่มีค่าเพื่อคนที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรด้วย

 

 

ผู้เข้าร่วมการประลองไม่รู้พลังของกันและกัน ตอนที่เจียงหลีสมัคร มีแค่คนที่อยู่รอบๆ เท่านั้นที่ได้ยินนางบอกระดับขั้น แต่คนส่วนมากไม่รู้

 

 

และอายุของเจียงหลีเป็นเกราะคุ้มกันนางที่ดีที่สุด ไม่มีใครคิดว่าจะมีเด็กที่อายุน้อยและมีพลังมากกว่าตัวเองอยู่

 

 

จิตใต้สำนึกของคนเราก็แบบนี้ ในใจปฏิเสธว่าคนอื่นเก่งกว่าตัวเอง นอกเสียจากจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง

 

 

เพียงชั่วพริบตาเดียว คนที่จ้องมองนางก่อนหน้านี้ก็พากันแยกย้ายไป ไม่มีใครสนใจนาง เด็กสาวหน้าตาสะสวยที่มีดวงตาใสแจ๋วอีกเลย

 

 

ผู้คนแยกย้ายไป เจียงหลียืนงง

 

 

ทอดเสียงถอนหายใจแล้วนางก็เดินเอ้อระเหยอย่างสบายใจ

 

 

ทิวทัศน์ของหุบเขาปู้กุยช่างงดงามยิ่ง

 

 

แล้วทำไมจะต้องต่อสู้กันด้วยล่ะ

 

 

ระหว่างทางมีคนมากมายเห็นเจียงหลี แต่พอเห็นว่านางเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ร่างกายผอมแห้ง พวกเขาก็คิดแล้วว่าจะไม่เปลืองกระสุนมาใช้กำจัดนาง

 

 

เจียงหลีแววตาเป็นประกาย คอยจับตาดูคนที่เดินผ่านนางไปตลอด เห็นว่าพวกเขาไม่โจมตีตัวเอง นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก แววตาประกายระยิบระยับสื่อให้เห็นความเจ้าเล่ห์ของนาง

 

 

โธ่ ดีจัง แบบนี้ก็เข้ารอบสิบคนแรกง่ายๆ เลย แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือบางทีใช้วิธีนี้ก็ไม่เลว เจียงหลีหลงระเริงในใจ

 

 

นางคิดว่าตัวเองเก่งจริงๆ

 

 

ไม่ได้ปิดบังพลัง ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง แต่ว่าคนเหล่านี้กลับมองข้ามนาง แล้วนางจะทำอันใดได้เล่า

 

 

โธ่ แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือไม่ใช่ความปรารถนาของข้าตั้งแต่แรก เจียงหลีส่ายหัวพูดกับตัวเอง ในใจกลั้นไม่อยู่เหมือนอยากจะยิ้ม

 

 

แม้แต่ผู้ตรวจตราของจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นที่ซ่อนอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ไอเจ้าพวกนี้มันโง่หรืออย่างไร ปล่อยเจียงหลีไปหน้าตาเฉย

 

 

เจียงหลีผ่านวันแรกไปด้วยความสงบและสบาย

 

 

วันที่สอง คนเหล่านั้นที่เจอนาง ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็จากไป เจียงหลียากที่จะไม่หลงตัวเอง ลูบใบหน้าแล้วพูดว่า “คงเป็นเพราะข้าดูน่าสงสารมากเป็นแน่”

 

 

ผู้ตรวจตราได้ยินที่นางพูด อีกนิดเดียวก็จะร่วงลงจากต้นไม้แล้ว

 

 

ไม่มีทางเลือก ถอนหายใจ เขาทำตามกฎ เรื่องที่เกิดขึ้นในป่าทุกๆ วันล้วนต้องรายงานให้กับด้านนอกรับรู้

 

 

วันที่สาม ก็ยังคงไม่มีใครทำอะไรเจียงหลี

 

 

วันที่สี่ การแข่งขันผ่านไปครึ่งทางแล้ว คนที่ตกรอบก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ การแข่งขันก็ยิ่งดุเดือดขึ้น

 

 

เจียงหลีเดินผ่านคนสู้กันอยู่บ่อยๆ คนที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดเหล่านั้น หลังจากที่เห็นนางต่างก็หยุดชะงัก จากนั้นก็เมินนาง แล้วสู้ต่อ

 

 

เจียงหลีลูบจมูก ทันใดนั้นพูดด้วยความไม่สบายใจว่า “ดูแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าก็ไม่ต้องสะสมกระสุนแล้ว”

 

 

กระสุนสิบนัดยังอยู่ในกระเป๋านางอย่างดี สี่วันมานี้ไม่มีใครยอมเสียกระสุนเพื่อกำจัดนาง นางก็ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร

 

 

ส่ายหัวไปมา เจียงหลีเอามือไขว้หลัง เดินอย่างทะนงองอาจไปมาอยู่ในป่า ท่าทางแบบนั้นไม่เหมือนกับมาเข้าร่วมการประลอง แต่เหมือนมาตรวจตรา

 

 

ผู้ตรวจตราชินแล้ว

 

 

เดิมคิดว่าด้วยอายุของเจียงหลี เกรงว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงสองวัน แล้วก็ออกจากการประลองไปเอง แต่นึกไม่ถึงว่านางจะเดินเตร่อยู่ในป่าคนเดียวอย่างสบายอกสบายใจเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้บ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

รายงานบันทึกการตรวจตรา ส่งถึงบนเวทีที่อยู่ด้านนอก

 

 

หลังจากที่เฮ่อเหลียนเฟิงดูเสร็จ ก็ผลัดกันอ่านกับอู๋เชียน หนานอู๋เฮิ่น แม้แต่องค์หญิงอันผิง เขาก็ส่งให้ด้วยความสุภาพ

 

 

เพียงแต่ว่านางเหมือนจะสนใจแค่ข่าวคราวที่เกี่ยวกับไป๋หลี่เฟิ่ง คนอื่นนางไม่สนใจ

 

 

“ฮาๆๆ น่าสนใจๆ เจ้าพวกนี้ต้องเสียใจ” หลังจากหนานอู๋เฮิ่นเห็นบันทึกการตรวจตราของเจียงหลี ตาลุกวาวแล้วหัวเราะขึ้นมา

 

 

อู๋เชียนมองไปแล้วหัวเราะ “เด็กผู้หญิงคนนี้โชคดีจริงๆ”

 

 

คำพูดของทั้งสองคน ทำให้มู่หว่านโหรวกลับไปดูบันทึกการตรวจตราของเจียงหลี พูดอย่างคลุมเครือ “หากไร้ซึ่งความโชคดีแล้ว พอได้เจอกับคนที่เก่งกาจจริงๆ เกรงว่านางจะสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

 

 

ในใจพวกเขาทั้งสามคนต่างเงียบสนิท ต่างรู้ดีว่าคนที่เก่งกาจจริงๆ ที่องค์หญิงอันผิงพูดถึงคือใคร

 

 

 

 

เจียงหลีไม่รู้ว่าตัวเองถูกคนด้านนอกพูดถึง ยังคงเดินต่อไปในป่า

 

 

ทันใดนั้น ข้างหน้านางก็ปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ไม่พูดไม่จาล้อมนางไว้ตรงกลาง

 

 

นางมองไปรอบๆ เดิมคิดว่าคนเหล่านี้จะเหมือนกับกลุ่มคนก่อนหน้าที่คิดว่านางเป็นแค่เด็กผู้หญิงแล้วก็เดินจากไป แต่คนสิบกว่าคนตรงนี้กลับไม่ปล่อยนางไปอย่างที่คิด

 

 

—–